ตอนที่ ๔...
ความริษยาและชิงชัง
“เจ้าเห็นผลมะม่วงที่อยู่บนต้นไม้นั่นหรือไม่” ปลายองคุลีแกร่งที่ทรงชี้ไปยังผลมะม่วงสุกที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่สร้างความฉงนงงแก่เจ้าหญิงแห่งเซนารักมาก พระขนงขมวดเข้าหากันราวกับที่พระองค์ทรงรับสั่งเป็นแค่เรื่องง่ายดาย
“ทรงให้หม่อมฉันใช้ธนูยิงมะม่วงนั่นหรือเพคะ”
“ทรงเข้าใจถูกแล้ว แต่มีข้อแม้ว่า เจ้าหญิงจะต้องยิงให้ถูกสามลูกติดๆ กัน”
“หากหม่อมฉันทำได้ดั่งที่ฝ่าบาททรงตรัสไว้ หม่อมฉันจะได้อะไรเป็นการตอบแทนเพคะ”
“เจ้าหญิงอยากได้สิ่งใดล่ะ” พระพักตร์คมเข้ม ดวงพระเนตรคมกริบที่กำลังมองพระพักตร์รูปไข่ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้พระองค์ นางเปรียบเหมือนม้าตัวหนึ่งที่ทั้งพยศและไม่ยอมใครหากพระองค์ก็พร้อมที่จะเข้าไปปราบม้าพยศตัวนั้นให้ยอมสยบราบคาบเทียบพระบาทของพระองค์
“ไว้ให้หม่อมฉันทำสำเร็จก่อนแล้วหม่อมฉันจะบอกว่าต้องการสิ่งใดจากพระองค์”
“ถ้าอย่างนั้นก็สุดแล้วแต่ใจเจ้าหญิงแอนนาริตาเถอะ พี่พร้อมแล้วที่จะได้เห็นฝีมือการยิงธนูของเจ้าหญิง ดูสิว่าจะแม่นมากแค่ไหน” สิ้นพระสุรเสียงแกร่ง สายพระเนตรคมจึงทอดมองไปยังวรกายอรชรภายใต้ฉลององค์ที่รัดกุมเหมือนเด็กผู้ชายก็ไม่ปาน พระหัตถ์เล็กที่ถือลูกธนูตั้งฉากกับพระหัตถ์เล็กที่จับขันธนูขึ้นมาอยู่เหนือพระอุระ พระขนองที่ตั้งตรงอีกทั้งสายพระเนตรแน่วแน่ก่อนที่พระหัตถ์เล็กจะดึงศรเข้าเหนือบ่าและปล่อยออกอย่างรู้ตำแหน่ง ลูกที่หนึ่งผ่านพ้นไปด้วยดีเมื่อลูกมะม่วงตกลงถึงพื้นหญ้าอย่างสวยงาม พระพักตร์รูปไข่จึงหันมามองยิ้มๆ ให้กษัตริย์รูปงามที่กำลังพระพักตร์นิ่งและลูกที่สองจนถึงลูกสุดท้ายก็เป็นไปตามคาดหมาย
“หม่อมฉันพิสูจน์ให้ฝ่าบาทเห็นแล้วว่าหม่อมฉันไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใดในเมื่อหม่อมฉันมีอาวุธป้องกันตัวและครั้งนี้ฝ่าบาทก็ต้องให้ในสิ่งที่หม่อมฉันทูลขอ”
“แล้วเจ้าหญิงต้องการสิ่งใด” กษัตริย์อัสมันทรงตรัสถาม ยิ่งได้แลเห็นพระพักตร์รูปไข่ที่เหมือนมีบางอย่างแอบแฝงก็ยิ่งหวั่นพระทัยกลัวในสิ่งที่นางกำลังจะทูลขอ
“หม่อมฉัน...” เจ้าหญิงแอนนาริตาทรงนิ่งคิดสักครู่ก่อนจะรับสั่งออกมา
“หม่อมฉันขอยกเลิกงานราชาอภิเษกสมรสระหว่างหม่อมฉันกับฝ่าบาทเพคะ”
สุรเสียงเรียบเฉยพอๆ กับพระพักตร์รูปไข่ที่ไม่มีทีท่าว่าจะทรงหยอกล้อในคำพูดที่ทรงตรัส จนทำให้ดวงหทัยของอัสมันเหมือนจะหยุดนิ่งไปกับคำพูดอันไร้ความเมตตาของนาง เหตุใดเจ้าหญิงแอนนาริตาถึงไม่อยากอภิเษกสมรสกับพระองค์ทั้งที่มีหญิงงามอีกมากมายที่พร้อมจะถวายตัวเพื่อให้พระองค์ได้เลือกมาเป็นชายาเคียงกาย
“แอนนาริตา เหตุใดน้องถึงไม่อยากแต่งงานกับพี่ น้องทำเหมือนพี่เป็นคนไม่สำคัญ หรือพี่หามีความหมายกับน้องไม่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านพี่ไม่เคยอยู่ในหัวใจของน้องบ้างเลยหรือ” สุรเสียงฝ่าบาทดูตัดพ้อและน่าสงสารจนริมพระโอษฐ์เล็กเม้มเข้าหากันด้วยความเห็นใจ เจ้าหญิงแอนนาริตาทรงนิ่ง นางเพียงแค่อยากทำในสิ่งที่ถูกต้องเพราะตอนนี้หัวใจของนางเองก็เจ็บปวด การอภิเษกสมรสระหว่างสองเมืองจำต้องดำเนินต่อไปแม้นคำพูดของนางในตอนนี้จะขอยกเลิกก็ตามแต่ในความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะได้ในสิ่งที่เอ่ยขอในตอนนี้ ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้หมดแล้วจริงๆ
“เพราะหม่อมฉันไม่เคยรักฝ่าบาทเลย หากพระองค์จะยังทรงยึดมั่นที่จะอภิเษกกับหม่อมฉัน ก็สมควรที่จะได้รับรู้ความในของหม่อมฉันเสียแต่ตอนนี้หากพระองค์ทรงรับได้...”
“พี่รักน้อง แอนนาริตา นั่นคือเหตุผลที่พี่ต้องการแต่งงานกับน้อง พี่เชื่อว่าสักวันน้องจะรักพี่” กษัตริย์หนุ่มเอ่ยลั่นเสียงดังกึงก้องทั่วผืนป่าส่วนเจ้าหญิงแอนนาริตาก็ได้แต่นิ่งอึ้งในสิ่งที่พระองค์ได้ยินมา จริงหรือที่พระองค์รักนาง ไม่ใช่แค่ความลุ่มหลงหรอกหรือ เจ้าหญิงแอนนาริตาสะอึก
“หยุดพูดเถอะเพคะ เลิกหวังว่าหม่อมฉันจะรักพระองค์เพราะมันไม่มีทางเป็นจริงได้ ไม่มีทางเลย”
กษัตริย์อัสมันเศร้า ฝีพระบาทที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะทรงดึงวรกายอรชรที่พยายามจะหลบหนีพระองค์ให้เข้าสู้อ้อมพระกรอย่างโหยหา กลิ่นบัวแรกแย้มจากเนื้อสาวแท้กำลังทำดวงหทัยของกษัตริย์หนุ่มหวั่นไหว อีกทั้งความนุ่มนิ่มที่พยายามเคลื่อนไหวไปมาบนพระอุระหนาของพระองค์ยิ่งสร้างความปรารถนาในตัวของกษัตริย์หนุ่มได้ดี
“จะทรงทำอะไรหม่อมฉันเพคะ ฝ่าบาท ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะเพคะ” แม้เจ้าหญิงแอนนาริตาจะทรงพยายามแกะพระหัตถ์หนาแกร่งที่กำลังถือโอกาสกอดวรกายอรชรและยิ่งกระชับวงมากขึ้นจนนางแทบหายใจไม่ออก
“พี่ไม่ทำอะไรน้องหรอก เพียงแค่อยากให้น้องโปรดรับฟังความในใจของพี่ พี่มีเรื่องมากมายที่อยากพูดกับน้อง ได้โปรด โปรดฟังพี่สักนิดเถิดแม่ยอดยิหวาของพี่”
“ก็ได้เพคะแต่พระองค์จะต้องปล่อยหม่อมฉันก่อน” เพียงแค่นางยอมรับฟังในคำพูดของพระองค์ เจ้าชายอัสมันก็พอพระทัยมากแล้ว พระองค์ยอมทำตามที่นางขอแม้จะรู้สึกเสียดายมากก็ตาม
“ตลอดเวลานับสิบปีที่พี่เฝ้าคิดถึงคะนึงหาแต่น้อง พี่หลงรักน้องตั้งแต่เจอกันครั้งแรก แอนนาริตา พี่เฝ้ารอวันเวลาที่น้องจะเป็นบัวแรกแย้มที่บานเต็มที่ พี่เฝ้ารอน้องมาเกือบสิบปี”
“ทรงหมายความเช่นใดกัน หม่อมฉันไม่เข้าใจ”
ฝีพระหัตถ์หนายังคงมิยอมปล่อยร่างอรชรให้หลุดลอยไปจากวรกายกำยำปลายนิ้วแกร่งที่กำลังลูบไล้พระเกศาหอมนุ่มอย่างลื่นมือก่อนจะเอ่ยตอบ
“หากน้องไม่เชื่อพี่ ก็ลองกลับไปทูลถามพระเชษฐาของน้องดู เพราะพระองค์ทรงรู้ดีว่าพี่รักน้องมากเพียงไหน”
ทุกสิ่งที่นางได้ยินมามันเหมือนเป็นความฝันที่นางไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอ การที่องค์กษัตริย์แห่งบันนาตุกะตรัสพูดเช่นนี้มันหมายความเช่นใดกัน พระองค์หลงรักนางเสียตั้งแต่ตอนพบกันครั้งแรก ทำไมเล่าทำไมนางถึงไม่เคยรู้มาก่อน เจ้าหญิงแอนนาริตาเงียบงันสักครู่ก่อนที่จะนึกถึงคำพูดของพระบิดา หากแม้นางรู้ถึงความรู้สึกภายในจิตใจของกษัตริย์แห่งบันนาตุกะที่มีต่อนางแต่ก็ไม่อาจสนองความรักให้แก่พระองค์ได้ คำขอร้องของพระบิดาดังกึงก้องในจิตใจของนางจนรู้สึกสับสนไปหมด หากเวลานี้นางหาใช่ธิดาแห่งเซนารักทุกอย่างมันคงจะไม่ยากเย็นเช่นนี้ เจ้าหญิงแอนนาริตากำลังอยู่ในอ้อมพระกรของเจ้าชายแห่งบันนาตุกะซึ่งไม่เหมาะสมหากผู้ใดมาเห็นเข้า
“ปล่อยหม่อมฉันเถอะเพคะ ฝ่าบาทจะทรงทำเหมือนหม่อมฉันเป็นนางสนมหรือนางโลมไม่ได้”
“ใครว่าพี่คิดเช่นนั้นเล่า ใจของพี่อยากได้น้องมาเป็นชายาแทบขาด” ทุกคำพูดของเจ้าชายต่างเมืองสร้างความวุ่นวายในพระทัยของเจ้าหญิงเป็นอย่างมาก พระองค์กำลังทำให้เจ้าหญิงผู้เข็งแกร่งดั่งสายน้ำแน่นิ่งเป็นสายน้ำที่ร้อนละอุจนมิอาจทานทนไหว
วรกายอรชรขยับอีกครั้งก่อนที่ฝีพระบาทเล็กจะทรงกระทืบจนถูกเท้าของกษัตริย์หนุ่ม พระหัตถ์แกร่งหลุดร่วงจากวรกายอรชรทันที
“ขอบพระทัยที่ทรงพูดคำหวาน หากเป็นหญิงอื่น ป่านนี้นางคงพอพระทัยในคำพูดหวานของฝ่าบาทแต่สำหรับหม่อมฉัน ฝ่าบาทอย่าทรงได้หวังว่าหม่อมฉันจะเออออไปกับพระองค์ด้วย ไม่มีวันเพคะ” สิ้นพระสุรเสียงเฉียบบางและคมก่อนพระบาทเล็กจะกระโดดขึ้นอานม้าพร้อมทั้งผลมะม่วงที่ทรงยิงได้ก่อนจะโยนไปให้กษัตริย์บันนาตุกะทั้งหมด
“แอนนาริตา หากน้องจะยอมเปิดใจรับความรักที่พี่มีให้น้องบ้างสักนิด น้องจะรู้ว่าพี่รักน้องมากแค่ไหน” ราชาอัสมันตรัสรับสั่ง พระพักตร์ยังไม่สู้ดี
“หม่อมฉันจะพยายาม แต่เวลานี้หม่อมฉันยังไม่เห็นถึงความรักที่พระองค์มีให้หม่อมฉัน หม่อมฉันเห็นแต่เพียงความลุ่มหลงและอยากเอาชนะของพระองค์”
“แล้วพี่จะทำให้น้องรู้ว่า ความรักของพี่ที่มีต่อน้องมันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน แอนนาริตา”
“เอาเถอะเพคะ แล้วหม่อมฉันจะคอยดู” พระพักตร์รูปไข่อมยิ้มเล็กน้อยเป็นการส่งท้ายก่อนจะเร่งม้าให้ออกเดินทางโดยมีวรกายกำยำแข็งแรงมองอย่างไม่ละ
แอนนาริตา พี่ควรทำเช่นใดที่จะพิสูจน์ให้น้องเห็นว่าพี่รักน้องมากเพียงใด
สายน้ำเยือกเย็นไม่เท่ากับพระพักตร์รูปไข่ที่เรียบเฉยเย็นชาของเจ้าหญิงแห่งเซนารัก เหตุใดนางถึงมิได้รักเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักนางบ้าง ดวงหทัยที่เข้มแข็งของนางเหมือนจะสะกดจิตให้พระองค์นึกท้อแท้ใจ หัวใจแกร่งที่กำลังร้อนรุมดั่งไฟแผดเผากำลังคิดหาทางพิสูจน์รักในครานี้ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ฟ้าจะนำพา
“ทรงฟังพี่ก่อน แอนนาริตา”
เจ้าชายอานามานัสขยับวรกายสูงใหญ่ลงจากแท่นม้าก่อนจะก้าวเท้าใหญ่เข้าไปขวางพระขนิษฐาที่พระพักตร์บึ้งตึง เมื่อสามารถมาขวางนางได้ พระองค์จึงเริ่มเอ่ยวาจานิ่มนวลเพื่อดับความโกรธเคืองในตัวพระขนิษฐาของพระองค์แม้รู้อยู่ว่านางเป็นคนเข้มแข็งเพียงใด
“น้องโกรธพี่หรือ แอนนาริตา”
“เจ้าพี่คิดว่าน้องไม่ควรเคืองเจ้าพี่หรือเพคะ ทรงทำเช่นนี้กับน้องได้อย่างไรกัน” แอนนาริตาพูดน้ำเสียงแข็ง ดวงพระเนตรสีน้ำตาลเข้มมีแววตำหนิพระเชษฐาอย่างมากที่ปล่อยให้นางอยู่กับบุรุษเพศตามลำพัง
“พี่รู้ดีว่าสิ่งที่พี่ทำลงไป จะทำให้น้องรู้สึกไม่พอใจแต่น้องจะไม่ฟังเหตุผลของพี่สักหน่อยหรือ”
“เหตุผลหรือเพคะ เดิมทีน้องเป็นคนที่มีเหตุผลพอควรแต่ครั้งนี้สิ่งที่เจ้าพี่ทรงทำกับน้อง มันทำให้น้องกลายเป็นคนไร้เหตุผลเพราะเจ้าพี่ทำให้น้องกลายเป็นเช่นนี้”
“แอนนาริตา พี่ก็แค่อยากให้น้องได้สร้างสัมพันธ์ไมตรีกับกษัตริย์แห่งบันนาตุกะ ถึงอย่างไรน้องก็หนีการอภิเษกสมรสในครั้งนี้ไม่พ้น” เจ้าชายอานามานัสเอ่ยพูด ทรงลอบสังเกตพระพักตร์ของแอนนาริตาแต่นางก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
“พี่รู้ว่าน้องไร้ความรู้สึกในเรื่องนี้ แต่ราชาอัสมัน พระองค์ทรงรักน้องอย่างจริงใจ”
“เจ้าพี่อย่าพูดให้น้องต้องรู้สึกผิดเลยเพคะที่ไม่อาจจะรักกษัตริย์แห่งบันนาตุกะได้”
“เหตุใดถึงรับรักกษัติรย์อัสมันไม่ได้เล่า”
“เพราะ...” แอนนาริตามิอาจเอ่ยความจริงออกมาได้ เจ้าชายอานามานัสทรงคาดคั้น
“เพราะอะไร น้องบอกพี่ได้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงรักกษัตริย์อัสมันไม่ได้”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้เพคะ ได้โปรดอย่าทรงคาดคั้นน้องเลย เพราะตัวน้องเองก็ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวน้องเองเลย” สายพระเนตรคู่นั้นดูเศร้าสลดจนเจ้าชายอานามานัสสงสัย
“เหตุใดน้องจึงเอ่ยเช่นนี้ แอนนาริตา น้องมีสิ่งใดปิดบังพี่อยู่ หรือน้องไม่มั่นใจในความรักที่ฝ่าบาททรงมีให้น้อง” เจ้าหญิงแอนนาริตาสบสายตาพระเชษฐา
“นั่นก็ด้วยเพคะ เจ้าพี่จะให้น้องคิดเช่นใดเล่า กษัตริย์หนุ่มรูปงาม ผู้มีสายเลือดแห่งนักรบเต็มเปี่ยมหลงรักน้องซึ่งเพิ่งเห็นได้เพียงไม่กี่ครั้งคราว เจ้าพี่จะให้น้องเชื่อได้อย่างไรว่านั่นคือรักหาใช่หลง” อานามานัสเงียบ
“หากการแค่พบกันไม่กี่ครั้งจะเรียกว่ารัก ถ้าเป็นเช่นนั้นกษัตริย์แห่งเมืองต่างๆ ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเซนารักและได้เห็นน้องเพียงแค่พริบตาเดียวและพอพระทัยจะไม่เรียกว่ารักน้องหมดทุกพระองค์หรือเพคะและหากว่าเจ้าพี่จะแย้งน้องว่าฝ่าบาททรงเคยพบน้องเมื่อสิบปีที่ผ่าน น้องก็ว่ามันยังไม่ใช่ความรัก” แอนนาริตาให้เหตุผลในขณะที่พระเชษฐายังคงเงียบอยู่
“แอนนาริตา น้องคงลืมความสัมพันธ์ในวัยเด็กไปแล้วจริงๆ พี่ไม่อยากเชื่อว่าน้องของพี่จะไม่เหลือเยื้อใยที่เคยมีให้ฝ่าบาทเมื่อสิบปีที่แล้ว”
เจ้าหญิงแอนนาริตาเศร้า พระพักตร์แน่นิ่ง ดวงพระเนตรที่สบพระเนตรพระเชษฐาอย่างอ่อนล้าก่อนที่นางจะเสด็จออกจากพระตำหนักเก็บม้าโดยมีพระเชษฐาที่ยืนมองด้วยพระพักตร์อิดโรย สงสัยการในครั้งนี้คงไม่สำเร็จง่ายๆ เพราะแอนนาริตาทรงเข้มแข็งเกินกว่าที่พระองค์คิดไว้
ดวงยิหวาแห่งราชันย์ ตอนที่ 4
ความริษยาและชิงชัง
“เจ้าเห็นผลมะม่วงที่อยู่บนต้นไม้นั่นหรือไม่” ปลายองคุลีแกร่งที่ทรงชี้ไปยังผลมะม่วงสุกที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่สร้างความฉงนงงแก่เจ้าหญิงแห่งเซนารักมาก พระขนงขมวดเข้าหากันราวกับที่พระองค์ทรงรับสั่งเป็นแค่เรื่องง่ายดาย
“ทรงให้หม่อมฉันใช้ธนูยิงมะม่วงนั่นหรือเพคะ”
“ทรงเข้าใจถูกแล้ว แต่มีข้อแม้ว่า เจ้าหญิงจะต้องยิงให้ถูกสามลูกติดๆ กัน”
“หากหม่อมฉันทำได้ดั่งที่ฝ่าบาททรงตรัสไว้ หม่อมฉันจะได้อะไรเป็นการตอบแทนเพคะ”
“เจ้าหญิงอยากได้สิ่งใดล่ะ” พระพักตร์คมเข้ม ดวงพระเนตรคมกริบที่กำลังมองพระพักตร์รูปไข่ที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้พระองค์ นางเปรียบเหมือนม้าตัวหนึ่งที่ทั้งพยศและไม่ยอมใครหากพระองค์ก็พร้อมที่จะเข้าไปปราบม้าพยศตัวนั้นให้ยอมสยบราบคาบเทียบพระบาทของพระองค์
“ไว้ให้หม่อมฉันทำสำเร็จก่อนแล้วหม่อมฉันจะบอกว่าต้องการสิ่งใดจากพระองค์”
“ถ้าอย่างนั้นก็สุดแล้วแต่ใจเจ้าหญิงแอนนาริตาเถอะ พี่พร้อมแล้วที่จะได้เห็นฝีมือการยิงธนูของเจ้าหญิง ดูสิว่าจะแม่นมากแค่ไหน” สิ้นพระสุรเสียงแกร่ง สายพระเนตรคมจึงทอดมองไปยังวรกายอรชรภายใต้ฉลององค์ที่รัดกุมเหมือนเด็กผู้ชายก็ไม่ปาน พระหัตถ์เล็กที่ถือลูกธนูตั้งฉากกับพระหัตถ์เล็กที่จับขันธนูขึ้นมาอยู่เหนือพระอุระ พระขนองที่ตั้งตรงอีกทั้งสายพระเนตรแน่วแน่ก่อนที่พระหัตถ์เล็กจะดึงศรเข้าเหนือบ่าและปล่อยออกอย่างรู้ตำแหน่ง ลูกที่หนึ่งผ่านพ้นไปด้วยดีเมื่อลูกมะม่วงตกลงถึงพื้นหญ้าอย่างสวยงาม พระพักตร์รูปไข่จึงหันมามองยิ้มๆ ให้กษัตริย์รูปงามที่กำลังพระพักตร์นิ่งและลูกที่สองจนถึงลูกสุดท้ายก็เป็นไปตามคาดหมาย
“หม่อมฉันพิสูจน์ให้ฝ่าบาทเห็นแล้วว่าหม่อมฉันไม่เคยเกรงกลัวต่อสิ่งใดในเมื่อหม่อมฉันมีอาวุธป้องกันตัวและครั้งนี้ฝ่าบาทก็ต้องให้ในสิ่งที่หม่อมฉันทูลขอ”
“แล้วเจ้าหญิงต้องการสิ่งใด” กษัตริย์อัสมันทรงตรัสถาม ยิ่งได้แลเห็นพระพักตร์รูปไข่ที่เหมือนมีบางอย่างแอบแฝงก็ยิ่งหวั่นพระทัยกลัวในสิ่งที่นางกำลังจะทูลขอ
“หม่อมฉัน...” เจ้าหญิงแอนนาริตาทรงนิ่งคิดสักครู่ก่อนจะรับสั่งออกมา
“หม่อมฉันขอยกเลิกงานราชาอภิเษกสมรสระหว่างหม่อมฉันกับฝ่าบาทเพคะ”
สุรเสียงเรียบเฉยพอๆ กับพระพักตร์รูปไข่ที่ไม่มีทีท่าว่าจะทรงหยอกล้อในคำพูดที่ทรงตรัส จนทำให้ดวงหทัยของอัสมันเหมือนจะหยุดนิ่งไปกับคำพูดอันไร้ความเมตตาของนาง เหตุใดเจ้าหญิงแอนนาริตาถึงไม่อยากอภิเษกสมรสกับพระองค์ทั้งที่มีหญิงงามอีกมากมายที่พร้อมจะถวายตัวเพื่อให้พระองค์ได้เลือกมาเป็นชายาเคียงกาย
“แอนนาริตา เหตุใดน้องถึงไม่อยากแต่งงานกับพี่ น้องทำเหมือนพี่เป็นคนไม่สำคัญ หรือพี่หามีความหมายกับน้องไม่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านพี่ไม่เคยอยู่ในหัวใจของน้องบ้างเลยหรือ” สุรเสียงฝ่าบาทดูตัดพ้อและน่าสงสารจนริมพระโอษฐ์เล็กเม้มเข้าหากันด้วยความเห็นใจ เจ้าหญิงแอนนาริตาทรงนิ่ง นางเพียงแค่อยากทำในสิ่งที่ถูกต้องเพราะตอนนี้หัวใจของนางเองก็เจ็บปวด การอภิเษกสมรสระหว่างสองเมืองจำต้องดำเนินต่อไปแม้นคำพูดของนางในตอนนี้จะขอยกเลิกก็ตามแต่ในความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะได้ในสิ่งที่เอ่ยขอในตอนนี้ ทุกอย่างได้ถูกกำหนดไว้หมดแล้วจริงๆ
“เพราะหม่อมฉันไม่เคยรักฝ่าบาทเลย หากพระองค์จะยังทรงยึดมั่นที่จะอภิเษกกับหม่อมฉัน ก็สมควรที่จะได้รับรู้ความในของหม่อมฉันเสียแต่ตอนนี้หากพระองค์ทรงรับได้...”
“พี่รักน้อง แอนนาริตา นั่นคือเหตุผลที่พี่ต้องการแต่งงานกับน้อง พี่เชื่อว่าสักวันน้องจะรักพี่” กษัตริย์หนุ่มเอ่ยลั่นเสียงดังกึงก้องทั่วผืนป่าส่วนเจ้าหญิงแอนนาริตาก็ได้แต่นิ่งอึ้งในสิ่งที่พระองค์ได้ยินมา จริงหรือที่พระองค์รักนาง ไม่ใช่แค่ความลุ่มหลงหรอกหรือ เจ้าหญิงแอนนาริตาสะอึก
“หยุดพูดเถอะเพคะ เลิกหวังว่าหม่อมฉันจะรักพระองค์เพราะมันไม่มีทางเป็นจริงได้ ไม่มีทางเลย”
กษัตริย์อัสมันเศร้า ฝีพระบาทที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะทรงดึงวรกายอรชรที่พยายามจะหลบหนีพระองค์ให้เข้าสู้อ้อมพระกรอย่างโหยหา กลิ่นบัวแรกแย้มจากเนื้อสาวแท้กำลังทำดวงหทัยของกษัตริย์หนุ่มหวั่นไหว อีกทั้งความนุ่มนิ่มที่พยายามเคลื่อนไหวไปมาบนพระอุระหนาของพระองค์ยิ่งสร้างความปรารถนาในตัวของกษัตริย์หนุ่มได้ดี
“จะทรงทำอะไรหม่อมฉันเพคะ ฝ่าบาท ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้นะเพคะ” แม้เจ้าหญิงแอนนาริตาจะทรงพยายามแกะพระหัตถ์หนาแกร่งที่กำลังถือโอกาสกอดวรกายอรชรและยิ่งกระชับวงมากขึ้นจนนางแทบหายใจไม่ออก
“พี่ไม่ทำอะไรน้องหรอก เพียงแค่อยากให้น้องโปรดรับฟังความในใจของพี่ พี่มีเรื่องมากมายที่อยากพูดกับน้อง ได้โปรด โปรดฟังพี่สักนิดเถิดแม่ยอดยิหวาของพี่”
“ก็ได้เพคะแต่พระองค์จะต้องปล่อยหม่อมฉันก่อน” เพียงแค่นางยอมรับฟังในคำพูดของพระองค์ เจ้าชายอัสมันก็พอพระทัยมากแล้ว พระองค์ยอมทำตามที่นางขอแม้จะรู้สึกเสียดายมากก็ตาม
“ตลอดเวลานับสิบปีที่พี่เฝ้าคิดถึงคะนึงหาแต่น้อง พี่หลงรักน้องตั้งแต่เจอกันครั้งแรก แอนนาริตา พี่เฝ้ารอวันเวลาที่น้องจะเป็นบัวแรกแย้มที่บานเต็มที่ พี่เฝ้ารอน้องมาเกือบสิบปี”
“ทรงหมายความเช่นใดกัน หม่อมฉันไม่เข้าใจ”
ฝีพระหัตถ์หนายังคงมิยอมปล่อยร่างอรชรให้หลุดลอยไปจากวรกายกำยำปลายนิ้วแกร่งที่กำลังลูบไล้พระเกศาหอมนุ่มอย่างลื่นมือก่อนจะเอ่ยตอบ
“หากน้องไม่เชื่อพี่ ก็ลองกลับไปทูลถามพระเชษฐาของน้องดู เพราะพระองค์ทรงรู้ดีว่าพี่รักน้องมากเพียงไหน”
ทุกสิ่งที่นางได้ยินมามันเหมือนเป็นความฝันที่นางไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอ การที่องค์กษัตริย์แห่งบันนาตุกะตรัสพูดเช่นนี้มันหมายความเช่นใดกัน พระองค์หลงรักนางเสียตั้งแต่ตอนพบกันครั้งแรก ทำไมเล่าทำไมนางถึงไม่เคยรู้มาก่อน เจ้าหญิงแอนนาริตาเงียบงันสักครู่ก่อนที่จะนึกถึงคำพูดของพระบิดา หากแม้นางรู้ถึงความรู้สึกภายในจิตใจของกษัตริย์แห่งบันนาตุกะที่มีต่อนางแต่ก็ไม่อาจสนองความรักให้แก่พระองค์ได้ คำขอร้องของพระบิดาดังกึงก้องในจิตใจของนางจนรู้สึกสับสนไปหมด หากเวลานี้นางหาใช่ธิดาแห่งเซนารักทุกอย่างมันคงจะไม่ยากเย็นเช่นนี้ เจ้าหญิงแอนนาริตากำลังอยู่ในอ้อมพระกรของเจ้าชายแห่งบันนาตุกะซึ่งไม่เหมาะสมหากผู้ใดมาเห็นเข้า
“ปล่อยหม่อมฉันเถอะเพคะ ฝ่าบาทจะทรงทำเหมือนหม่อมฉันเป็นนางสนมหรือนางโลมไม่ได้”
“ใครว่าพี่คิดเช่นนั้นเล่า ใจของพี่อยากได้น้องมาเป็นชายาแทบขาด” ทุกคำพูดของเจ้าชายต่างเมืองสร้างความวุ่นวายในพระทัยของเจ้าหญิงเป็นอย่างมาก พระองค์กำลังทำให้เจ้าหญิงผู้เข็งแกร่งดั่งสายน้ำแน่นิ่งเป็นสายน้ำที่ร้อนละอุจนมิอาจทานทนไหว
วรกายอรชรขยับอีกครั้งก่อนที่ฝีพระบาทเล็กจะทรงกระทืบจนถูกเท้าของกษัตริย์หนุ่ม พระหัตถ์แกร่งหลุดร่วงจากวรกายอรชรทันที
“ขอบพระทัยที่ทรงพูดคำหวาน หากเป็นหญิงอื่น ป่านนี้นางคงพอพระทัยในคำพูดหวานของฝ่าบาทแต่สำหรับหม่อมฉัน ฝ่าบาทอย่าทรงได้หวังว่าหม่อมฉันจะเออออไปกับพระองค์ด้วย ไม่มีวันเพคะ” สิ้นพระสุรเสียงเฉียบบางและคมก่อนพระบาทเล็กจะกระโดดขึ้นอานม้าพร้อมทั้งผลมะม่วงที่ทรงยิงได้ก่อนจะโยนไปให้กษัตริย์บันนาตุกะทั้งหมด
“แอนนาริตา หากน้องจะยอมเปิดใจรับความรักที่พี่มีให้น้องบ้างสักนิด น้องจะรู้ว่าพี่รักน้องมากแค่ไหน” ราชาอัสมันตรัสรับสั่ง พระพักตร์ยังไม่สู้ดี
“หม่อมฉันจะพยายาม แต่เวลานี้หม่อมฉันยังไม่เห็นถึงความรักที่พระองค์มีให้หม่อมฉัน หม่อมฉันเห็นแต่เพียงความลุ่มหลงและอยากเอาชนะของพระองค์”
“แล้วพี่จะทำให้น้องรู้ว่า ความรักของพี่ที่มีต่อน้องมันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน แอนนาริตา”
“เอาเถอะเพคะ แล้วหม่อมฉันจะคอยดู” พระพักตร์รูปไข่อมยิ้มเล็กน้อยเป็นการส่งท้ายก่อนจะเร่งม้าให้ออกเดินทางโดยมีวรกายกำยำแข็งแรงมองอย่างไม่ละ
แอนนาริตา พี่ควรทำเช่นใดที่จะพิสูจน์ให้น้องเห็นว่าพี่รักน้องมากเพียงใด
สายน้ำเยือกเย็นไม่เท่ากับพระพักตร์รูปไข่ที่เรียบเฉยเย็นชาของเจ้าหญิงแห่งเซนารัก เหตุใดนางถึงมิได้รักเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักนางบ้าง ดวงหทัยที่เข้มแข็งของนางเหมือนจะสะกดจิตให้พระองค์นึกท้อแท้ใจ หัวใจแกร่งที่กำลังร้อนรุมดั่งไฟแผดเผากำลังคิดหาทางพิสูจน์รักในครานี้ซึ่งจะสำเร็จหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ฟ้าจะนำพา
“ทรงฟังพี่ก่อน แอนนาริตา”
เจ้าชายอานามานัสขยับวรกายสูงใหญ่ลงจากแท่นม้าก่อนจะก้าวเท้าใหญ่เข้าไปขวางพระขนิษฐาที่พระพักตร์บึ้งตึง เมื่อสามารถมาขวางนางได้ พระองค์จึงเริ่มเอ่ยวาจานิ่มนวลเพื่อดับความโกรธเคืองในตัวพระขนิษฐาของพระองค์แม้รู้อยู่ว่านางเป็นคนเข้มแข็งเพียงใด
“น้องโกรธพี่หรือ แอนนาริตา”
“เจ้าพี่คิดว่าน้องไม่ควรเคืองเจ้าพี่หรือเพคะ ทรงทำเช่นนี้กับน้องได้อย่างไรกัน” แอนนาริตาพูดน้ำเสียงแข็ง ดวงพระเนตรสีน้ำตาลเข้มมีแววตำหนิพระเชษฐาอย่างมากที่ปล่อยให้นางอยู่กับบุรุษเพศตามลำพัง
“พี่รู้ดีว่าสิ่งที่พี่ทำลงไป จะทำให้น้องรู้สึกไม่พอใจแต่น้องจะไม่ฟังเหตุผลของพี่สักหน่อยหรือ”
“เหตุผลหรือเพคะ เดิมทีน้องเป็นคนที่มีเหตุผลพอควรแต่ครั้งนี้สิ่งที่เจ้าพี่ทรงทำกับน้อง มันทำให้น้องกลายเป็นคนไร้เหตุผลเพราะเจ้าพี่ทำให้น้องกลายเป็นเช่นนี้”
“แอนนาริตา พี่ก็แค่อยากให้น้องได้สร้างสัมพันธ์ไมตรีกับกษัตริย์แห่งบันนาตุกะ ถึงอย่างไรน้องก็หนีการอภิเษกสมรสในครั้งนี้ไม่พ้น” เจ้าชายอานามานัสเอ่ยพูด ทรงลอบสังเกตพระพักตร์ของแอนนาริตาแต่นางก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย
“พี่รู้ว่าน้องไร้ความรู้สึกในเรื่องนี้ แต่ราชาอัสมัน พระองค์ทรงรักน้องอย่างจริงใจ”
“เจ้าพี่อย่าพูดให้น้องต้องรู้สึกผิดเลยเพคะที่ไม่อาจจะรักกษัตริย์แห่งบันนาตุกะได้”
“เหตุใดถึงรับรักกษัติรย์อัสมันไม่ได้เล่า”
“เพราะ...” แอนนาริตามิอาจเอ่ยความจริงออกมาได้ เจ้าชายอานามานัสทรงคาดคั้น
“เพราะอะไร น้องบอกพี่ได้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงรักกษัตริย์อัสมันไม่ได้”
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้เพคะ ได้โปรดอย่าทรงคาดคั้นน้องเลย เพราะตัวน้องเองก็ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวน้องเองเลย” สายพระเนตรคู่นั้นดูเศร้าสลดจนเจ้าชายอานามานัสสงสัย
“เหตุใดน้องจึงเอ่ยเช่นนี้ แอนนาริตา น้องมีสิ่งใดปิดบังพี่อยู่ หรือน้องไม่มั่นใจในความรักที่ฝ่าบาททรงมีให้น้อง” เจ้าหญิงแอนนาริตาสบสายตาพระเชษฐา
“นั่นก็ด้วยเพคะ เจ้าพี่จะให้น้องคิดเช่นใดเล่า กษัตริย์หนุ่มรูปงาม ผู้มีสายเลือดแห่งนักรบเต็มเปี่ยมหลงรักน้องซึ่งเพิ่งเห็นได้เพียงไม่กี่ครั้งคราว เจ้าพี่จะให้น้องเชื่อได้อย่างไรว่านั่นคือรักหาใช่หลง” อานามานัสเงียบ
“หากการแค่พบกันไม่กี่ครั้งจะเรียกว่ารัก ถ้าเป็นเช่นนั้นกษัตริย์แห่งเมืองต่างๆ ที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเซนารักและได้เห็นน้องเพียงแค่พริบตาเดียวและพอพระทัยจะไม่เรียกว่ารักน้องหมดทุกพระองค์หรือเพคะและหากว่าเจ้าพี่จะแย้งน้องว่าฝ่าบาททรงเคยพบน้องเมื่อสิบปีที่ผ่าน น้องก็ว่ามันยังไม่ใช่ความรัก” แอนนาริตาให้เหตุผลในขณะที่พระเชษฐายังคงเงียบอยู่
“แอนนาริตา น้องคงลืมความสัมพันธ์ในวัยเด็กไปแล้วจริงๆ พี่ไม่อยากเชื่อว่าน้องของพี่จะไม่เหลือเยื้อใยที่เคยมีให้ฝ่าบาทเมื่อสิบปีที่แล้ว”
เจ้าหญิงแอนนาริตาเศร้า พระพักตร์แน่นิ่ง ดวงพระเนตรที่สบพระเนตรพระเชษฐาอย่างอ่อนล้าก่อนที่นางจะเสด็จออกจากพระตำหนักเก็บม้าโดยมีพระเชษฐาที่ยืนมองด้วยพระพักตร์อิดโรย สงสัยการในครั้งนี้คงไม่สำเร็จง่ายๆ เพราะแอนนาริตาทรงเข้มแข็งเกินกว่าที่พระองค์คิดไว้