๘...
“ต้องขอพระราชทานอภัยด้วยที่หม่อมฉันกระทำการที่ไม่เหมาะสมกับธิดาแห่งเซนารัก” กษัตริย์อัสมันทรงตรัสด้วยพระพักตร์ขรึมต่อหน้ากษัตริย์
ของเซนารัก ข้างพระวรกายยังมีพระสหายอานามานัสที่ทรงกำลังแย้มพระสรวลอย่างเงียบๆ
“อาเข้าใจ เอาเถิด ว่าแต่ฝ่าบาทจะเสด็จกลับเลยหรือ ไม่รอให้ไข้ลดก่อน”
“หาไม่ได้เสด็จอา หม่อมฉันเห็นทีจะต้องลากลับแล้ว มาอยู่ที่เซนารักสองสามวันแล้วอีกอย่างหม่อมฉันก็เป็นห่วงในพระอาการของเสด็จลุง ช่วงนี้หมอหลวงเข้าออกในพระตำหนักเสด็จลุงเป็นว่าเล่น”
“เสด็จลุงงั้นหรือ ฝ่าบาทคงไม่ได้หมายความถึงเจ้าชายฟาล์วเล็มพระเชษฐาของพระราชาอิมรูนนาซอฟหรอกนะ”
“ทรงรับสั่งถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุงยังทรงมีพระชนต์ชีพอยู่ ทุกคนอาจเข้าใจตรงกันว่าเสด็จลุงเสด็จสวรรคตแล้วแต่เวลานี้พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่” กษัตริย์บาฮาซารีทรงแย้มพระสรวลอย่างนึกไม่ถึง
“แล้วพระองค์ทรงเป็นเช่นไรบ้าง”
“ยังไม่ทรงฟื้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุงถูกลอบวางยาแต่หมอหลวงหาชนิดของยาพิษนั้นไม่พบ เสด็จลุงทรงเป็นเจ้าชายนิทรามาเนินนานแล้ว” ตรัสตอบพร้อมกับหันพระพักตร์ไปทางธิดาน้อยแห่งเซนารัก ควรไม่ควรพระองค์ก็ทำไปแล้วหากไม่ได้มีจิตพิศวาสก็คงไม่ดิ้นรนถึงเพียงนี้
“งั้นก็ตามใจเถิด เดินทางปลอดภัย อุปสรรคแคล้วคลาด” พระราชาบาฮาซารีทรงให้พรชัย
“ขอบพระทัยเสด็จอา”
“กลับไปครั้งนี้หวังว่าจะเสด็จมาอีกทีก็ตอนมาสู่ขอน้องหญิงของหม่อมฉันนะฝ่าบาท” เจ้าชายอานามานัสทรงแทรกคำพูด แย้มพระสรวลอย่างหยอกล้อ หันกลับมามองน้องรักมีเพียงพระพักตร์หวานที่แดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุกก็ไม่ปาน
“หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้น” กษัตริย์อัสมันทรงตรัส แม้ตัวจากแต่หากใจจะยังอยู่ที่นี่ อยู่ใกล้โฉมงามนางในดวงหทัยของพระองค์
“น้องหญิง ไปส่งเสด็จหน่อยสิ” ยังไม่เลิกจัดแจงแม้แอนนาริตาจะทรงรู้อยู่แก่ใจว่าพระเชษฐาของนางทรงคิดสิ่งใดแต่นางก็ไม่อาจขัดตรัสของพระองค์ได้ เกรงว่าหากขัดต่อจะเป็นการเสียมารยาทแก่ฝ่าบาทต่างเมือง นางจึงจำเป็นต้องขานรับไป
“เพคะ” เอ่ยเสร็จก็รีบตามเสด็จออกไป เจ้าชายอานามานัสทรงทอดพระเนตรอย่างพอพระทัยไม่วายหันมาสบพระเนตรอย่างเป็นสุขแก่ผู้เป็นพระบิดา
“พี่ไปแล้วแต่น้องห้ามหมายใจให้ชายผู้อื่น แม้น้องให้พี่รอ พี่ก็จะรอแต่ตัวน้องห้ามปักใจให้ชายอื่นเป็นอันขาด” ทรงออกคำสั่งไว้ก่อนจาก แอน
นาริตาชักสีหน้าเรียบเฉยอยากต่อปากกับพระองค์ว่านางหรือจะมักมากต่อผู้ชาย
“พระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นผู้หญิงหลายใจหรือเพคะ”
“ทรงอย่าเข้าใจผิด พี่ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ที่พูดก็เพื่อกันไว้น้องลืม”
“หม่อมฉันไม่ลืมหรอกเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นพี่ใคร่อยากได้...” กษัตริย์แห่งบันนาตุกะไม่ทันได้ตรัสสิ่งใด ริมพระโอษฐ์หวานก็ปล่อยวาจาออกไปขัดขวางพระองค์ก่อน
“กลับเถอะเพคะ ถ้าสายกว่านี้เกรงว่าจะทรงร้อน เดี๋ยวไข้จะกลับมาอีก” แม้ไม่พอใจกับการกระทำของนางที่ไปตัดเยื้อใยแก่พระองค์แต่จะทำเช่นไรได้เพราะรักแล้วก็ย่อมต้องทำตาม ไม่อยากเชื่อว่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จะมาพ่ายรักต่อนางผู้นี้ ยัซซินที่ยืนรอฝ่าบาทแอบอมยิ้มให้กับการกระทำของพระองค์ แต่ในส่วนลึกของยัซซินใคร่อยากเจอมายาอีกสักหนแต่ดูเหมือนนางจะไม่ยอมให้เจอ
“ก็ได้ น้องสัญญาแล้วนะว่าจะไม่ลืมพี่ พี่ไปคราวนี้จะนำเรื่องดีของเรากลับไปกราบทูลทุกคนและจะมาสู่ขอน้องในอีกวันข้างหน้า”
“หม่อมฉันจะรอเพคะและนี่” เจ้าชายอัสมันมองฉลององค์ที่อยู่ในมือของนาง
“หม่อมฉันถักเองด้วยมือของหม่อมฉัน ตอนแรกว่าจะถักให้เจ้าพี่อานามานัสทรงสวมไว้แต่คิดว่าฉลององค์ชิ้นนี้น่าจะมีประโยชน์ต่อฝ่าบาท เป็นผ้าหนาเพคะ สามารถให้ความอบอุ่นแก่กายได้ หม่อมฉันมอบให้พระองค์ ขอพระราชทานอภัยนะเพคะ” ฉลององค์สีหวานถูกสวมไว้บนวรกายของพระองค์ ราชาอัสมันแย้มพระสรวลอย่างชื่นชมตื้นตันที่นางไม่ลืมห่วงใย แม้จะจากลาไกลแต่ยังคะนึงหวงหา หากไม่ติดที่ว่าพี่จากบ้านเมืองมานานจะอยู่ต่ออีกสักวันสองวัน
กษัตริย์อัสมันแย้มพระสรวลอย่างเป็นสุข ในวันข้างหน้าพระองค์คงมีราชินีที่มีนามว่าแอนนาริตามาแนบกาย คงมีสุขจนล้นอกยิ่งมีเจ้าตัวน้อยสักคนสองคนสุขน้อยๆ นั้นคงแปรเปลี่ยนเป็นสุขที่ยิ่งใหญ่แล้ว
“ทรงทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ ถึงสามารถชนะใจเจ้าหญิงผู้ทรงขึ้นชื่อว่าไร้ความรู้สึกต่อบุรุษเพศทุกคน” ยัซซินถามอย่างอยากรู้เพราะเจ้าหญิงแอนนาริตาทรงเลื่องลือในเรื่องของไร้ความรู้สึก แม้นางมีจิตเมตตามนุษย์แต่คงไม่เมตตาจนรับรักของฝ่าบาทได้
“เราก็เอาความรักชนะใจนางนะสิ”
“ทรงพระปรีชาสามารถมากพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมนึกไม่ถึงว่าพระองค์จะเอาตัวเองตากฝนให้ทรงพระประชวรทรงทุ่มเทมาก” เจ้าชายหนุ่มทรงตริตรอง ไม่ใช่แค่เพียงประชวรเท่านั้นหากพระองค์ต้องเป็นมากกว่านั้นก็จะทรงยอมทำขอเพียงให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าพระองค์รักนางมากเพียงใด มันเป็นการเอาชนะต่อความแข็งกระด้างของนางให้เปิดใจรักพระองค์บ้าง ไม่ต้องรักเลยก็ได้ขอเพียงรักขึ้นทุกวันก็เป็นพอ
“เขาเรียกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เจ้าเองก็เถอะ เรารู้นะว่าเจ้าก็แอบหมายตาบ่าวน้อยของแอนนาริตาอยู่เช่นกัน”
“ทรงหมายถึงมายาหรือพ่ะย่ะค่ะ” ยัซซินเอ่ยอย่างอึดอัดก่อนจะเสียรู้ฝ่าบาทจนได้เมื่อเผลอเอ่ยชื่อนางกำนัลคนสนิทของเจ้าหญิงแอนนาริตา
“นั่นแนะ จำชื่อนางไม่ผิดเพี้ยน”
“กระหม่อมก็แค่นึกสนุกชอบแกล้งนางให้หัวเสีย อีกอย่างชื่อของนางก็จำง่ายดีไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลยพ่ะย่ะค่ะ” ยัซซินค้าน หาได้หลงใคร่มายา เป็นเพียงบุรุษคนหนึ่งที่นึกสนุกแกล้งหยอกเย้านางเล่นก็เท่านั้น
“เอาเถิดแล้วเราจะคอยดู” ยัซซินแม้เจ้าไม่ยอมรับว่าชอบนางแต่เอาเถิดพระองค์จะรอดูคนปากแข็งว่าจุดจบสุดท้ายจะเป็นเช่นไร แต่สำหรับพระองค์ไกลจากเซนารักเท่าใดหัวใจก็เริ่มหวาดผวา ยิ่งห่างออกไปพาใจวุ่นวายซ้ำฝันร้ายนั้นยังตามมาหลอกมาหลอนไม่เสื่อมคลาย แม้แต่ยามนอนยามตื่นก็ยังไม่หายกลัว ฝันนั้นช่างโหดร้ายเกินทน ไม่ทันที่ความคิดขององครักษ์หนุ่มจะหายไปสายตาอันแหลมคมก็คว้าดาบขึ้นมาปัดไม้ธนูที่ปล่อยมาจากที่สูงอย่างรวดเร็วก่อนจะทำหน้าที่คุ้มกันฝ่าบาท
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าปลอดภัย ธนูนั่นมาจากที่ใด” ราชาอัสมันตรัสถามด้วยความสนพระทัยก่อนจะหลบหลีกธนูดอกที่สองที่เฉียดพระพักตร์เพียงเสี้ยวเดียว
“กระหม่อมไม่ทราบแต่...” ยัซซินรีบกลาบทูล “ฝ่าบาทหมอบพ่ะย่ะค่ะ” ธนูหลายๆ ดอกถูกปล่อยลงมาจากที่สูง
“รีบหาที่หลบก่อนเถอะ เห็นทีพวกมันจะมีมากกว่าหนึ่ง” ยัซซินรีบขี่ม้าตามพระราชาไปหาที่หลบซึ่งเบื้องหน้ามีถ้ำอยู่ที่พอจะอาศัยเป็นที่หลบพวกก่อกวนนั่นได้
“พวกมันเป็นพวกไหนกัน” ราชาอัสมันสงสัย ยัซซินเสริม
“ที่แน่ๆ พวกมันต้องการชีวิตฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่เราไม่เคยมีศัตรู” ราชาอัสมันตรัสอย่างมั่นใจ เพราะตลอดชีวิตของพระองค์ไม่เคยต้องไปสู้รบหรือขัดผลประโยชน์กับผู้ใดและไม่ใช่แค่ครั้งนี้เพราะพระองค์รู้สึกและรับรู้ได้ว่าชีวิตพระองค์เป็นที่ต้องการของใครคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังและคนๆ นั้นกำลังจับตามองดูพระองค์อยู่เงียบๆ เพื่อรอวันที่จะกำจัดพระองค์ให้สิ้น ยัซซินเห็นความเงียบเตรียมจะออกไป
“ไม่ต้องออกไปหรอกยัซซิน เราไม่ควรเสี่ยง พวกมันอาจจะนิ่งเฉยเพื่อให้เราตายใจแล้วล่อให้ติดกับดักมันก็ได้ ทางที่ดีเราควรเปลี่ยนทิศทางกลับ” ยัซซินพยักหน้ารับทราบ หลังจากที่เปลี่ยนทิศทางการเดินทางกลับ กษัตริย์อัสมันพร้อมองครักษ์ต่างคิดตรงกันว่านอกจากจะไม่ต้องสู้รบปรบมือกับพวกที่คิดร้ายกับพระองค์แล้วยังสามารถหาที่หยุดพักได้
“พวกมันคงคิดว่าฝ่าบาทยังประทับอยู่ในถ้ำนั่น คงคิดไม่ถึงว่าถ้ำแห่งนี้มีทางออกไปอีกทาง” ยัซซินเอ่ย ตนออกไปหาผลไม้ในป่ามาได้เพียงมะม่วงป่าที่สุกงอมได้ที่นำมาถวายแก่ฝ่าบาท
“แต่เราจะชะล่าใจไม่ได้ รีบกินแล้วรีบเดินทางเถิด พวกมันอาจจะรู้ตัวแล้วก็ได้ว่าเราเปลี่ยนทิศทางกลับ” คงเพราะเห็นว่าพระองค์ไม่ได้เสวยผลไม้ที่ยัซซินไปหามาให้ องครักษ์หนุ่มจึงถามอย่างสงสัย
“ทรงคิดอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ เห็นพระพักตร์เลื่อนลอยหนักหนา” พระพักตร์เริ่มขรึม
“เราเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี ตอนที่อยู่เซนารัก เราฝันอยู่หลายครั้งในความฝันเหมือนจริงมาก เราไม่อยากคิดว่าถ้าฝันนั้นเป็นจริงอะไรมันจะเกิด”
“ทรงพระสุบินว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ยัซซินถามด้วยความอยากรู้ แม้แต่ความฝันก็ยังทำให้ฝ่าบาททรงเป็นเช่นนี้หากเป็นจริงอย่างที่พระองค์ทรงตรัส ความเดือดร้อนคงบังเกิดแน่แท้
“เราฝันว่าแอนนาริตาจะไม่รักเรา ในฝันนางพยายามหนีเรา เราเองก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้นางต้องโกรธแค้นเคืองจนต้องพาตัวหนีออกห่าง เรากลัว กลัวว่าหากฝันนั้นเป็นจริงเมื่อใด หัวใจของเราจะต้องแตกสลายไปพร้อมกับการจากไปของนาง” แม้มีอาหารวางตรงหน้า มีที่หลับนอนแสนสบายหากหัวใจที่ยังวิตกไม่เลิกก็ยังมิอาจทำอะไรได้ พระองค์ฝันเช่นนี้มาหลายครา ในฝันนางเอาแต่วิ่งหนีจนผู้ตามอย่างพระองค์เริ่มเหนื่อยล้า หาสาเหตุไม่พบว่าเพราะเหตุใดนางถึงหนีจากพระองค์ไป
“ทรงวิตกเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทก็ทรงเห็นว่าเจ้าหญิงแอนนาริตาทรงยอมรับรักพระองค์แล้ว คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงจะต้องไม่ผิดคำตรัสพ่ะย่ะค่ะ”
“เราก็หวังไว้เช่นนั้น บางทีเราก็อาจจะคิดมากเหมือนอย่างที่เจ้าว่าก็ได้ ยัซซิน” ตรัสออกไปแล้วแต่พระพักตร์ยังไม่สู้ดีแต่ก็ไม่ควรเชื่อความฝันมากเพราะถึงอย่างไรฝันก็ยังเป็นฝันอยู่วันยังค่ำความจริงต่างหากคือสิ่งที่ต้องเชื่อในเมื่อนางเองก็ทรงยอมรับรักในตัวพระองค์แล้วและต่อให้มีสิ่งอื่นใดมาขวางกั้นก็ไม่อาจทำให้พระองค์เลิกรักนางได้
ดวงยิหวาแห่งราชันย์
“ต้องขอพระราชทานอภัยด้วยที่หม่อมฉันกระทำการที่ไม่เหมาะสมกับธิดาแห่งเซนารัก” กษัตริย์อัสมันทรงตรัสด้วยพระพักตร์ขรึมต่อหน้ากษัตริย์
ของเซนารัก ข้างพระวรกายยังมีพระสหายอานามานัสที่ทรงกำลังแย้มพระสรวลอย่างเงียบๆ
“อาเข้าใจ เอาเถิด ว่าแต่ฝ่าบาทจะเสด็จกลับเลยหรือ ไม่รอให้ไข้ลดก่อน”
“หาไม่ได้เสด็จอา หม่อมฉันเห็นทีจะต้องลากลับแล้ว มาอยู่ที่เซนารักสองสามวันแล้วอีกอย่างหม่อมฉันก็เป็นห่วงในพระอาการของเสด็จลุง ช่วงนี้หมอหลวงเข้าออกในพระตำหนักเสด็จลุงเป็นว่าเล่น”
“เสด็จลุงงั้นหรือ ฝ่าบาทคงไม่ได้หมายความถึงเจ้าชายฟาล์วเล็มพระเชษฐาของพระราชาอิมรูนนาซอฟหรอกนะ”
“ทรงรับสั่งถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุงยังทรงมีพระชนต์ชีพอยู่ ทุกคนอาจเข้าใจตรงกันว่าเสด็จลุงเสด็จสวรรคตแล้วแต่เวลานี้พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่” กษัตริย์บาฮาซารีทรงแย้มพระสรวลอย่างนึกไม่ถึง
“แล้วพระองค์ทรงเป็นเช่นไรบ้าง”
“ยังไม่ทรงฟื้นเลยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จลุงถูกลอบวางยาแต่หมอหลวงหาชนิดของยาพิษนั้นไม่พบ เสด็จลุงทรงเป็นเจ้าชายนิทรามาเนินนานแล้ว” ตรัสตอบพร้อมกับหันพระพักตร์ไปทางธิดาน้อยแห่งเซนารัก ควรไม่ควรพระองค์ก็ทำไปแล้วหากไม่ได้มีจิตพิศวาสก็คงไม่ดิ้นรนถึงเพียงนี้
“งั้นก็ตามใจเถิด เดินทางปลอดภัย อุปสรรคแคล้วคลาด” พระราชาบาฮาซารีทรงให้พรชัย
“ขอบพระทัยเสด็จอา”
“กลับไปครั้งนี้หวังว่าจะเสด็จมาอีกทีก็ตอนมาสู่ขอน้องหญิงของหม่อมฉันนะฝ่าบาท” เจ้าชายอานามานัสทรงแทรกคำพูด แย้มพระสรวลอย่างหยอกล้อ หันกลับมามองน้องรักมีเพียงพระพักตร์หวานที่แดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุกก็ไม่ปาน
“หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้น” กษัตริย์อัสมันทรงตรัส แม้ตัวจากแต่หากใจจะยังอยู่ที่นี่ อยู่ใกล้โฉมงามนางในดวงหทัยของพระองค์
“น้องหญิง ไปส่งเสด็จหน่อยสิ” ยังไม่เลิกจัดแจงแม้แอนนาริตาจะทรงรู้อยู่แก่ใจว่าพระเชษฐาของนางทรงคิดสิ่งใดแต่นางก็ไม่อาจขัดตรัสของพระองค์ได้ เกรงว่าหากขัดต่อจะเป็นการเสียมารยาทแก่ฝ่าบาทต่างเมือง นางจึงจำเป็นต้องขานรับไป
“เพคะ” เอ่ยเสร็จก็รีบตามเสด็จออกไป เจ้าชายอานามานัสทรงทอดพระเนตรอย่างพอพระทัยไม่วายหันมาสบพระเนตรอย่างเป็นสุขแก่ผู้เป็นพระบิดา
“พี่ไปแล้วแต่น้องห้ามหมายใจให้ชายผู้อื่น แม้น้องให้พี่รอ พี่ก็จะรอแต่ตัวน้องห้ามปักใจให้ชายอื่นเป็นอันขาด” ทรงออกคำสั่งไว้ก่อนจาก แอน
นาริตาชักสีหน้าเรียบเฉยอยากต่อปากกับพระองค์ว่านางหรือจะมักมากต่อผู้ชาย
“พระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นผู้หญิงหลายใจหรือเพคะ”
“ทรงอย่าเข้าใจผิด พี่ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ที่พูดก็เพื่อกันไว้น้องลืม”
“หม่อมฉันไม่ลืมหรอกเพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นพี่ใคร่อยากได้...” กษัตริย์แห่งบันนาตุกะไม่ทันได้ตรัสสิ่งใด ริมพระโอษฐ์หวานก็ปล่อยวาจาออกไปขัดขวางพระองค์ก่อน
“กลับเถอะเพคะ ถ้าสายกว่านี้เกรงว่าจะทรงร้อน เดี๋ยวไข้จะกลับมาอีก” แม้ไม่พอใจกับการกระทำของนางที่ไปตัดเยื้อใยแก่พระองค์แต่จะทำเช่นไรได้เพราะรักแล้วก็ย่อมต้องทำตาม ไม่อยากเชื่อว่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จะมาพ่ายรักต่อนางผู้นี้ ยัซซินที่ยืนรอฝ่าบาทแอบอมยิ้มให้กับการกระทำของพระองค์ แต่ในส่วนลึกของยัซซินใคร่อยากเจอมายาอีกสักหนแต่ดูเหมือนนางจะไม่ยอมให้เจอ
“ก็ได้ น้องสัญญาแล้วนะว่าจะไม่ลืมพี่ พี่ไปคราวนี้จะนำเรื่องดีของเรากลับไปกราบทูลทุกคนและจะมาสู่ขอน้องในอีกวันข้างหน้า”
“หม่อมฉันจะรอเพคะและนี่” เจ้าชายอัสมันมองฉลององค์ที่อยู่ในมือของนาง
“หม่อมฉันถักเองด้วยมือของหม่อมฉัน ตอนแรกว่าจะถักให้เจ้าพี่อานามานัสทรงสวมไว้แต่คิดว่าฉลององค์ชิ้นนี้น่าจะมีประโยชน์ต่อฝ่าบาท เป็นผ้าหนาเพคะ สามารถให้ความอบอุ่นแก่กายได้ หม่อมฉันมอบให้พระองค์ ขอพระราชทานอภัยนะเพคะ” ฉลององค์สีหวานถูกสวมไว้บนวรกายของพระองค์ ราชาอัสมันแย้มพระสรวลอย่างชื่นชมตื้นตันที่นางไม่ลืมห่วงใย แม้จะจากลาไกลแต่ยังคะนึงหวงหา หากไม่ติดที่ว่าพี่จากบ้านเมืองมานานจะอยู่ต่ออีกสักวันสองวัน
กษัตริย์อัสมันแย้มพระสรวลอย่างเป็นสุข ในวันข้างหน้าพระองค์คงมีราชินีที่มีนามว่าแอนนาริตามาแนบกาย คงมีสุขจนล้นอกยิ่งมีเจ้าตัวน้อยสักคนสองคนสุขน้อยๆ นั้นคงแปรเปลี่ยนเป็นสุขที่ยิ่งใหญ่แล้ว
“ทรงทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ ถึงสามารถชนะใจเจ้าหญิงผู้ทรงขึ้นชื่อว่าไร้ความรู้สึกต่อบุรุษเพศทุกคน” ยัซซินถามอย่างอยากรู้เพราะเจ้าหญิงแอนนาริตาทรงเลื่องลือในเรื่องของไร้ความรู้สึก แม้นางมีจิตเมตตามนุษย์แต่คงไม่เมตตาจนรับรักของฝ่าบาทได้
“เราก็เอาความรักชนะใจนางนะสิ”
“ทรงพระปรีชาสามารถมากพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมนึกไม่ถึงว่าพระองค์จะเอาตัวเองตากฝนให้ทรงพระประชวรทรงทุ่มเทมาก” เจ้าชายหนุ่มทรงตริตรอง ไม่ใช่แค่เพียงประชวรเท่านั้นหากพระองค์ต้องเป็นมากกว่านั้นก็จะทรงยอมทำขอเพียงให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าพระองค์รักนางมากเพียงใด มันเป็นการเอาชนะต่อความแข็งกระด้างของนางให้เปิดใจรักพระองค์บ้าง ไม่ต้องรักเลยก็ได้ขอเพียงรักขึ้นทุกวันก็เป็นพอ
“เขาเรียกว่าอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เจ้าเองก็เถอะ เรารู้นะว่าเจ้าก็แอบหมายตาบ่าวน้อยของแอนนาริตาอยู่เช่นกัน”
“ทรงหมายถึงมายาหรือพ่ะย่ะค่ะ” ยัซซินเอ่ยอย่างอึดอัดก่อนจะเสียรู้ฝ่าบาทจนได้เมื่อเผลอเอ่ยชื่อนางกำนัลคนสนิทของเจ้าหญิงแอนนาริตา
“นั่นแนะ จำชื่อนางไม่ผิดเพี้ยน”
“กระหม่อมก็แค่นึกสนุกชอบแกล้งนางให้หัวเสีย อีกอย่างชื่อของนางก็จำง่ายดีไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่นเลยพ่ะย่ะค่ะ” ยัซซินค้าน หาได้หลงใคร่มายา เป็นเพียงบุรุษคนหนึ่งที่นึกสนุกแกล้งหยอกเย้านางเล่นก็เท่านั้น
“เอาเถิดแล้วเราจะคอยดู” ยัซซินแม้เจ้าไม่ยอมรับว่าชอบนางแต่เอาเถิดพระองค์จะรอดูคนปากแข็งว่าจุดจบสุดท้ายจะเป็นเช่นไร แต่สำหรับพระองค์ไกลจากเซนารักเท่าใดหัวใจก็เริ่มหวาดผวา ยิ่งห่างออกไปพาใจวุ่นวายซ้ำฝันร้ายนั้นยังตามมาหลอกมาหลอนไม่เสื่อมคลาย แม้แต่ยามนอนยามตื่นก็ยังไม่หายกลัว ฝันนั้นช่างโหดร้ายเกินทน ไม่ทันที่ความคิดขององครักษ์หนุ่มจะหายไปสายตาอันแหลมคมก็คว้าดาบขึ้นมาปัดไม้ธนูที่ปล่อยมาจากที่สูงอย่างรวดเร็วก่อนจะทำหน้าที่คุ้มกันฝ่าบาท
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าปลอดภัย ธนูนั่นมาจากที่ใด” ราชาอัสมันตรัสถามด้วยความสนพระทัยก่อนจะหลบหลีกธนูดอกที่สองที่เฉียดพระพักตร์เพียงเสี้ยวเดียว
“กระหม่อมไม่ทราบแต่...” ยัซซินรีบกลาบทูล “ฝ่าบาทหมอบพ่ะย่ะค่ะ” ธนูหลายๆ ดอกถูกปล่อยลงมาจากที่สูง
“รีบหาที่หลบก่อนเถอะ เห็นทีพวกมันจะมีมากกว่าหนึ่ง” ยัซซินรีบขี่ม้าตามพระราชาไปหาที่หลบซึ่งเบื้องหน้ามีถ้ำอยู่ที่พอจะอาศัยเป็นที่หลบพวกก่อกวนนั่นได้
“พวกมันเป็นพวกไหนกัน” ราชาอัสมันสงสัย ยัซซินเสริม
“ที่แน่ๆ พวกมันต้องการชีวิตฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่เราไม่เคยมีศัตรู” ราชาอัสมันตรัสอย่างมั่นใจ เพราะตลอดชีวิตของพระองค์ไม่เคยต้องไปสู้รบหรือขัดผลประโยชน์กับผู้ใดและไม่ใช่แค่ครั้งนี้เพราะพระองค์รู้สึกและรับรู้ได้ว่าชีวิตพระองค์เป็นที่ต้องการของใครคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังและคนๆ นั้นกำลังจับตามองดูพระองค์อยู่เงียบๆ เพื่อรอวันที่จะกำจัดพระองค์ให้สิ้น ยัซซินเห็นความเงียบเตรียมจะออกไป
“ไม่ต้องออกไปหรอกยัซซิน เราไม่ควรเสี่ยง พวกมันอาจจะนิ่งเฉยเพื่อให้เราตายใจแล้วล่อให้ติดกับดักมันก็ได้ ทางที่ดีเราควรเปลี่ยนทิศทางกลับ” ยัซซินพยักหน้ารับทราบ หลังจากที่เปลี่ยนทิศทางการเดินทางกลับ กษัตริย์อัสมันพร้อมองครักษ์ต่างคิดตรงกันว่านอกจากจะไม่ต้องสู้รบปรบมือกับพวกที่คิดร้ายกับพระองค์แล้วยังสามารถหาที่หยุดพักได้
“พวกมันคงคิดว่าฝ่าบาทยังประทับอยู่ในถ้ำนั่น คงคิดไม่ถึงว่าถ้ำแห่งนี้มีทางออกไปอีกทาง” ยัซซินเอ่ย ตนออกไปหาผลไม้ในป่ามาได้เพียงมะม่วงป่าที่สุกงอมได้ที่นำมาถวายแก่ฝ่าบาท
“แต่เราจะชะล่าใจไม่ได้ รีบกินแล้วรีบเดินทางเถิด พวกมันอาจจะรู้ตัวแล้วก็ได้ว่าเราเปลี่ยนทิศทางกลับ” คงเพราะเห็นว่าพระองค์ไม่ได้เสวยผลไม้ที่ยัซซินไปหามาให้ องครักษ์หนุ่มจึงถามอย่างสงสัย
“ทรงคิดอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ เห็นพระพักตร์เลื่อนลอยหนักหนา” พระพักตร์เริ่มขรึม
“เราเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี ตอนที่อยู่เซนารัก เราฝันอยู่หลายครั้งในความฝันเหมือนจริงมาก เราไม่อยากคิดว่าถ้าฝันนั้นเป็นจริงอะไรมันจะเกิด”
“ทรงพระสุบินว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ยัซซินถามด้วยความอยากรู้ แม้แต่ความฝันก็ยังทำให้ฝ่าบาททรงเป็นเช่นนี้หากเป็นจริงอย่างที่พระองค์ทรงตรัส ความเดือดร้อนคงบังเกิดแน่แท้
“เราฝันว่าแอนนาริตาจะไม่รักเรา ในฝันนางพยายามหนีเรา เราเองก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้นางต้องโกรธแค้นเคืองจนต้องพาตัวหนีออกห่าง เรากลัว กลัวว่าหากฝันนั้นเป็นจริงเมื่อใด หัวใจของเราจะต้องแตกสลายไปพร้อมกับการจากไปของนาง” แม้มีอาหารวางตรงหน้า มีที่หลับนอนแสนสบายหากหัวใจที่ยังวิตกไม่เลิกก็ยังมิอาจทำอะไรได้ พระองค์ฝันเช่นนี้มาหลายครา ในฝันนางเอาแต่วิ่งหนีจนผู้ตามอย่างพระองค์เริ่มเหนื่อยล้า หาสาเหตุไม่พบว่าเพราะเหตุใดนางถึงหนีจากพระองค์ไป
“ทรงวิตกเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทก็ทรงเห็นว่าเจ้าหญิงแอนนาริตาทรงยอมรับรักพระองค์แล้ว คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงจะต้องไม่ผิดคำตรัสพ่ะย่ะค่ะ”
“เราก็หวังไว้เช่นนั้น บางทีเราก็อาจจะคิดมากเหมือนอย่างที่เจ้าว่าก็ได้ ยัซซิน” ตรัสออกไปแล้วแต่พระพักตร์ยังไม่สู้ดีแต่ก็ไม่ควรเชื่อความฝันมากเพราะถึงอย่างไรฝันก็ยังเป็นฝันอยู่วันยังค่ำความจริงต่างหากคือสิ่งที่ต้องเชื่อในเมื่อนางเองก็ทรงยอมรับรักในตัวพระองค์แล้วและต่อให้มีสิ่งอื่นใดมาขวางกั้นก็ไม่อาจทำให้พระองค์เลิกรักนางได้