ดิฉันตัวใหญ่ตั้งแต่เกิดค่ะ เกิดมาก็หนัก 3.8 กิโลกรัมละ แถมโตมากินเก่งมาก ชอบกินข้าวเป็นที่สุด กับข้าวไม่เน้น มีกับแค่หยิบมือ ฉันสามารถเขมิบข้าวได้เป็นกะละมัง
ฉันน้ำหนัก 60 กิโล ตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย แล้วก็ไม่เลยลงต่ำกว่าเลข 6 อีกเลย สิ่งที่ชอบกินนอกจากข้าวแล้ว คือ อาหารจั้งฟู้ดทั้งหลายแหล่ โดยเฉพาะเฟรนฟราย ของโปรดอันดับ 1 เลยค่ะ
ก็ทำน้ำหนักขึ้นมาเรื่อยๆ จากเลข 6 มาเป็นเลข 7 และรู้สึกตัวเองว่า น้ำหนักสูงสุดที่จะไปแตะคือ 74 กิโล เมื่อรู้สึกว่าอึดอัดมาก จนตัวจะแตก แล้วไปชั่งน้ำหนัก ก็จะได้เลข 74 ทุกครั้ง ไม่เคยเกินนี้ แล้วก็จะสำนึกได้ว่า ต้องลดน้ำหนักลงบ้างแล้วสินะ ก็จะกินสิ่งที่ทำให้อ้วนน้อยลงหน่อย น้ำหนักก็จะลงมาหน่อย เป็นอย่างนี้มาตลอด
จนกระทั้ง อายุย่างเข้าเลข 3.. และแล้ว สถิติก็ถูกทำลายลง เมื่อฉันรู้สึกตัวจะแตกอีกครั้ง ไปชั่งน้ำหนัก คราวนี้ 76 จ้า...โอ้ว!!! แม่เจ้า สถิติใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แล้วมันก็ค่อยๆ ขยับขึ้นเป็น 78 กิโล และนี่...คือตัวเลขสูงสุดที่ฉันชั่งได้
ฉันเริ่มมีความคิดว่า ชาตินี้ ฉันคงเป็นยายแก่อ้วนๆ ที่น่าอนาตซะแล้วล่ะ คงไม่มีปัญญาลดน้ำหนักให้ผอมกว่านี้ได้ละ
ด้วยอายุที่มากขึ้นทุกวัน ทุกวัน และทุกวัน
จนกระทั้งอิฉัน ได้มารู้จักกับเพื่อนใหม่คนนึง นางชอบออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ จากคนที่เคยป่วยใกล้ตาย นางหายสนิทด้วยการออกกำลัง (นางเป็นไอดอลของอีช้านเลยคร้าาาา)
ฉันจึงได้ความคิดรักสุขภาพมาจากนาง และเริ่มที่จะออกกำลัง และลดน้ำหนัก ด้วยวัย 35 ปี
ในช่วงแรก ไม่รู้เรื่องหลักการกิน และการออกกำลังใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความตั้งใจ และทำตามความรู้ความเข้าใจแค่หางอึ่งที่มีอยู่คือ กินของที่ทำให้อ้วนน้อยลง แต่ยังกินอยู่ไหม ก็ยังกินอยู่ (แต่น้อยลง) ออกกำลังสิ่งแรกที่เลือกทำ คือการปั่นจักรยาน เพราะช่วงนั้น ฉันเจ็บหัวเข่ามาก และบอกตัวเองมาเสมอ ว่าฉันไม่สามารถวิ่งได้
ฉันลงทุนซื้อจักรยานเสือภูเขา 1 คัน เริ่มปั่นไปทำงาน ซึ่งไม่ไกลนัก ห่างจากที่พักประมาณ 4 กิโลเมตร
วันแรกของการปั่น ลืมตัว นึกว่าตัวเองยังวัยรุ่นอยู่ ไม่มีการซ้อม การวอมใดๆ ทั้งสิ้น ปั่นไปได้ครึ่งทาง ใจจะขาด แต่ก็บอกตัวเองว่า “เอ็งหยุดไม่ได้นะ ถ้าเอ็งหยุด เอ็งต้องจูงจักรยานกลับบ้านแน่นอน” เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็กัดฟันปั่นไปจนถึงที่ทำงาน ถึงในสภาพปางตาย นั่งพักครึ่งชั่วโมงยังหอบอยู่
ถามว่าเข็ดไหม?? ไม่เลย 555... คิดว่าตั้งใจแล้วต้องทำให้ได้ วันที่ 2 เจียมตัวขึ้นมาหน่อย ค่อยๆ ไป วางแผนการใช้แรงให้ดีขึ้น ไปถึงที่ทำงาน อาการปางตายเช่นเดิม แถมด้วยอาการปวดตรูด และขา จากการปั่นเมื่อวาน แถมมาอีกด้วย
กว่าจะเข้าที่เข้าทาง ใช้เวลาอยู่ประมาณ ครึ่งเดือน ร่างกายก็เริ่มฟิตขึ้น ปั่นได้สบายมากขึ้น หายเหนื่อยเร็วขึ้น น้ำหนักลดลงนิดหน่อย เพราะยังคงกินของที่ทำให้อ้วนอยู่ ถึงจะน้อยลงก็เถอะ
หลังจากนั้นก็เริ่มจริงจังกับการลดน้ำหนักมากขึ้น เพิ่มการออกกำลัง เป็นการเดินในตอนเช้า วันละ 8 กิโลเมตร ตอนบ่าย ไปศูนย์กีฬาของ กทม. ค่าสมาชิกถูกมาก ปีละ 40 บาทเอง ฉันเริ่มลองวิ่ง และบอกตัวเองว่า ฉันวิ่งได้ ไม่โฟกัสอาการเจ็บหัวเข่าอีกต่อไป ในที่สุดฉันก็วิ่งได้ แน่นอน แรกๆ ก็เหนื่อยเกือบตาย ปวดขา ปวดตัว (ออกกำลังต้องปวดนะคะ ถึงจะได้) ก็ยังคง คาร์ดิโอ เพียงอย่างเดียว
ต่อมา... ก็เริ่มศึกษาหาข้อมูล จากแหล่งต่างๆ อ่านบทความเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร บทความเกี่ยวกับวิธีการออกกำลังกาย เริ่มมีความรู้มากขึ้น แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเอง ช่วงแรกๆ นี่ ไม่กล้าใช้อาหารเสริมเข้ามาช่วย เพราะยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้จัก ยังคิดว่าเป็นยาลดความอ้วนไปซะหมด (ไม่เคยคิดจะแตะยาลดความอ้วนนะคะ เพราะรู้ว่าเอฟเฟคมันน่ากลัวแค่ไหน)
ฉันเริ่มรู้จัก และเริ่มศึกษาอาหารเสริมลดน้ำหนัก ก็ตอนที่เมื่อลดน้ำหนักไปสักพักนึง แล้วน้ำหนักมันเริ่มคงที่ ไม่ค่อยลงแล้ว (ต้องบอกก่อนว่าฉันเป็นคนที่ระบบเผาผลาญแย่มากๆ ควบคุมอาหาร ออกกำลังสม่ำเสมอ น้ำหนักก็ยังไม่ค่อยจะลงสักเท่าไหร่)
จึงปรึกษาคุณเพื่อน ผู้เป็นแรงบันดาลใจของฉัน นางจึงแนะนำว่า มันมีสารสะกัดตัวนึง ที่ช่วยในการเบิร์นไขมันเก่าออกได้นะ แล้วยังช่วยให้ออกกำลังได้ดีขึ้นด้วย อย่างปลอดภัย
เมื่อได้ศึกษาถึงคุณสมบัติ ความปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงจัดการทดลองด้วยตัวเองค่ะ ประสิทธิภาพของสารสะกัดตัวนี้ มันเยี่ยมจริงๆ สามารถออกกำลังได้นานขึ้น และน้ำหนักก็ลงอย่างต่อเนื่อง
และแล้ว น้ำหนักของฉัน ก็กลับมาแตะเลข 6 อีกครั้ง แต่ยังเป็น 60 ปลายๆ อยู่นะคะ
มาถึงตอนนี้ เริ่มเรียนรู้การควบคุมอาหารมากขึ้น เริ่มรู้ละ ว่าการควบคุมอาหาร ไม่ได้แปลว่ากินให้น้อย หรืออดมื้อใดมื้อใดมื้อหนึ่ง แต่การควบคุมอาหารคือ การเลือกกิน กินในปริมาณที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
ฉันเริ่มควบคุมอาหาร จากการเลือกลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดตร ข้าว แป้ง น้ำตาล ของทอด ของมัน ขนมขบเคียว ดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว โดยการเลือกกินในมื้อเช้า กินโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย + ไข่ขาวต้ม 2 ฟอง มื้อกลางวัน เกาเหลาไก่สับน้ำใส (ไม่ปรุง) และลดปริมาณมื้อเย็นลง เป็นผลไม้ไม่หวาน อย่างแอปเปิ้ลเขียว หรือฝรั่ง และออกกำลังเป็นประจำ สม่ำเสมอ
และช่วงนี้ เพื่อนสาวของฉัน นางกำลังปรับปรุงสูตรอาหารเสริมลดน้ำหนักของนางอยู่ ฉันจึงได้เป็นหนูทดลองให้นาง มันเริดค่ะ ฉันทำสถิติไว้ 4 วัน น้ำหนักลง 3 กิโลกรัม แบบไม่โทรม สดชื่น เบิกบาน
ตอนนี้ฉันกลายเป็นผู้หญิงผอมเพรียว น้ำหนักอยู่ที่ 57 กิโลกรัม ติดการออกกำลังเป็นชีวิตจิตใจ เลือกกินอาหารเก่งขึ้น และกำลังจะสร้าง six pack
ในการลดน้ำหนัก 20 กว่ากิโลของฉัน บอกเลยว่ามันไม่ง่ายค่ะ มันยากมากด้วย แต่ฉันก็ทำได้ ฉันสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง โดยฉันเลือกเพื่อนสาวของฉันเป็นไอดอล ฉันให้กำลังใจตัวเองในเวลาที่ท้อ ช่วงที่น้ำหนักค้างไม่ลงสักที ฉันมีตัวช่วยที่ทำให้เห็นผลของความพยายามอย่างต่อเนื่อง ฉันบอกตัวเองว่า “ฉันเป็นผู้หญิงผอมเพรียว และสุขภาพดี”
มาวันนี้ฉันภูมิใจกับสิ่งที่ฉันทำได้ ความภูมิใจ มันไม่ใช่อยู่ที่ผลลัพธ์ 20 กว่ากิโล ที่ฉันทำไขมันหายไปได้ แต่มันอยู่ที่ระหว่างทาง แต่ละวัน แต่ละกิโล ที่ฉันขจัดมันออกไปได้ สุขภาพที่ค่อยๆ ดีขึ้นของฉัน การเอาชนะใจตัวเอง เรื่องการกิน การออกกำลังกาย การควบคุมอารมณ์ รักษาระดับการตัดสินใจของฉันให้ต่อเนื่อง
ฉันศึกษาวิธีองค์ประกอบของการลดน้ำหนัก และนำมาทดลองกับตัวเอง สรุปได้สั้นๆ ว่า การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุด คือการใช้หลัก 3 อ.
1. อาหาร (ควบคุมปริมาณ และเลือกกินให้ถูกต้องเหมาะสมกับร่างกายเรา) สำคัญ 80% ของการลดน้ำหนัก
ฉันเน้นกินอกไก่ และผัก
2. ออกกำลัง (สม่ำเสมอ และสมดุล ทั้งการคาร์ดิโอ และการเวทเทรานิ่ง) สำคัญ 20% ของการลดน้ำหนัก
3. อารมณ์ รักษาระดับการตัดสินใจลดน้ำหนักไว้อย่างต่อเนื่อง (ไม่เลิกล้มก่อนสำเร็จ) ห้ามใจตัวเองไม่กินอาหารขยะที่ทำให้อ้วน สำคัญ 100% ของการลดน้ำหนัก
ภาพนี้คือภาพโปรไฟล์ Line ของอีช้าน ที่ตั้งไว้ตั้งแต่น้ำหนัก 78 และบอกตัวเองทุกวัน ว่าฉันจะผอมเพรียว และสุขภาพดี เหมือนในรูปนี้
ส่วนอาหารเสริม สามารถช่วยเราลดน้ำหนักได้จริง (ควรศึกษาและเลือกผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้ ไม่แอบใส่ยาลดน้ำหนัก) แต่ก็ต้องอยู่ในหลัก 3 อ.นี้ด้วย ไม่มีอาหารเสริม (ที่ปลอดภัย) ใดๆ ในโลก ที่กินแล้ว ไม่ควบคุมอาหาร ไม่ออกกำลังกาย ก็ทำให้น้ำหนักลดได้ (นั่นคือโฆษณาชวนเชื่อ)
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ คือภาพโดยรวม ในการลดน้ำหนักของฉัน ซึ่งยังมีรายละเอียดอีกมาก ขอเรียกว่าบทความนี้เป็น part 1 ละกันนะคะ แล้วจะทยอย เล่าในรายละเอียดของแต่ละ อ. ให้ฟัง ใน part ต่อๆ ไปนะคะ
ปล. จากหญิงอ้วน อายุ 35 ที่เคยมีความคิดว่า ชาตินี้ ฉันคงเป็นหญิงแก่อ้วนๆ ที่ไม่มีใครเอา ลดน้ำหนักจาก 78 มาเหลือ 57 ได้ ฉันมั่นใจว่า ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ถ้าตัดสินใจจะลดน้ำหนักจริงๆ ทุกคนทำได้ค่ะ
ปล 2. จากคนที่มีอาหารเจ็บหัวเข่า (เส้นเอ็นหัวเข่าอักเสบเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้) และมีความคิดฝังหัวว่า ชาตินี้ฉันไม่สามารถออกกำลังด้วยการวิ่งได้อีกแล้ว สามารถเปลี่ยนความคิด จนปัจจุบันแทบจะเรียกได้ว่า เป็นนักวิ่งมินิมารธอนมือสมัครเล่นได้ ฉันว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ว่า เราเลือกที่จะฝังหัวกับความคิดเรื่องนั้นๆ ว่าอย่างไรมากกว่า (อ.ที่ 3)
ปล. สุดท้าย ฉันขอเป็นกำลังใจ และอาจพอจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหญิงอายุเลข 3 ขึ้นไป และหญิงที่มีข้ออ้างว่าตัวเองลดน้ำหนักยากทุกคน ถ้าฉันทำได้ ทุกคนก็ทำได้ ฟันธง และ คอนเฟิร์มค่ะ
part 2 (อ.1 อาหาร)
http://ppantip.com/topic/33691425
part 3 (อ.2 ออกกำลัง)
http://ppantip.com/topic/33700099
ตัดสินใจลดน้ำหนัก 20 กว่ากิโล ในวัย 35 ปี
ฉันน้ำหนัก 60 กิโล ตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย แล้วก็ไม่เลยลงต่ำกว่าเลข 6 อีกเลย สิ่งที่ชอบกินนอกจากข้าวแล้ว คือ อาหารจั้งฟู้ดทั้งหลายแหล่ โดยเฉพาะเฟรนฟราย ของโปรดอันดับ 1 เลยค่ะ
ก็ทำน้ำหนักขึ้นมาเรื่อยๆ จากเลข 6 มาเป็นเลข 7 และรู้สึกตัวเองว่า น้ำหนักสูงสุดที่จะไปแตะคือ 74 กิโล เมื่อรู้สึกว่าอึดอัดมาก จนตัวจะแตก แล้วไปชั่งน้ำหนัก ก็จะได้เลข 74 ทุกครั้ง ไม่เคยเกินนี้ แล้วก็จะสำนึกได้ว่า ต้องลดน้ำหนักลงบ้างแล้วสินะ ก็จะกินสิ่งที่ทำให้อ้วนน้อยลงหน่อย น้ำหนักก็จะลงมาหน่อย เป็นอย่างนี้มาตลอด
จนกระทั้ง อายุย่างเข้าเลข 3.. และแล้ว สถิติก็ถูกทำลายลง เมื่อฉันรู้สึกตัวจะแตกอีกครั้ง ไปชั่งน้ำหนัก คราวนี้ 76 จ้า...โอ้ว!!! แม่เจ้า สถิติใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แล้วมันก็ค่อยๆ ขยับขึ้นเป็น 78 กิโล และนี่...คือตัวเลขสูงสุดที่ฉันชั่งได้
ฉันเริ่มมีความคิดว่า ชาตินี้ ฉันคงเป็นยายแก่อ้วนๆ ที่น่าอนาตซะแล้วล่ะ คงไม่มีปัญญาลดน้ำหนักให้ผอมกว่านี้ได้ละ
ด้วยอายุที่มากขึ้นทุกวัน ทุกวัน และทุกวัน
จนกระทั้งอิฉัน ได้มารู้จักกับเพื่อนใหม่คนนึง นางชอบออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ จากคนที่เคยป่วยใกล้ตาย นางหายสนิทด้วยการออกกำลัง (นางเป็นไอดอลของอีช้านเลยคร้าาาา)
ฉันจึงได้ความคิดรักสุขภาพมาจากนาง และเริ่มที่จะออกกำลัง และลดน้ำหนัก ด้วยวัย 35 ปี
ในช่วงแรก ไม่รู้เรื่องหลักการกิน และการออกกำลังใดๆ ทั้งสิ้น มีแต่ความตั้งใจ และทำตามความรู้ความเข้าใจแค่หางอึ่งที่มีอยู่คือ กินของที่ทำให้อ้วนน้อยลง แต่ยังกินอยู่ไหม ก็ยังกินอยู่ (แต่น้อยลง) ออกกำลังสิ่งแรกที่เลือกทำ คือการปั่นจักรยาน เพราะช่วงนั้น ฉันเจ็บหัวเข่ามาก และบอกตัวเองมาเสมอ ว่าฉันไม่สามารถวิ่งได้
ฉันลงทุนซื้อจักรยานเสือภูเขา 1 คัน เริ่มปั่นไปทำงาน ซึ่งไม่ไกลนัก ห่างจากที่พักประมาณ 4 กิโลเมตร
วันแรกของการปั่น ลืมตัว นึกว่าตัวเองยังวัยรุ่นอยู่ ไม่มีการซ้อม การวอมใดๆ ทั้งสิ้น ปั่นไปได้ครึ่งทาง ใจจะขาด แต่ก็บอกตัวเองว่า “เอ็งหยุดไม่ได้นะ ถ้าเอ็งหยุด เอ็งต้องจูงจักรยานกลับบ้านแน่นอน” เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็กัดฟันปั่นไปจนถึงที่ทำงาน ถึงในสภาพปางตาย นั่งพักครึ่งชั่วโมงยังหอบอยู่
ถามว่าเข็ดไหม?? ไม่เลย 555... คิดว่าตั้งใจแล้วต้องทำให้ได้ วันที่ 2 เจียมตัวขึ้นมาหน่อย ค่อยๆ ไป วางแผนการใช้แรงให้ดีขึ้น ไปถึงที่ทำงาน อาการปางตายเช่นเดิม แถมด้วยอาการปวดตรูด และขา จากการปั่นเมื่อวาน แถมมาอีกด้วย
กว่าจะเข้าที่เข้าทาง ใช้เวลาอยู่ประมาณ ครึ่งเดือน ร่างกายก็เริ่มฟิตขึ้น ปั่นได้สบายมากขึ้น หายเหนื่อยเร็วขึ้น น้ำหนักลดลงนิดหน่อย เพราะยังคงกินของที่ทำให้อ้วนอยู่ ถึงจะน้อยลงก็เถอะ
หลังจากนั้นก็เริ่มจริงจังกับการลดน้ำหนักมากขึ้น เพิ่มการออกกำลัง เป็นการเดินในตอนเช้า วันละ 8 กิโลเมตร ตอนบ่าย ไปศูนย์กีฬาของ กทม. ค่าสมาชิกถูกมาก ปีละ 40 บาทเอง ฉันเริ่มลองวิ่ง และบอกตัวเองว่า ฉันวิ่งได้ ไม่โฟกัสอาการเจ็บหัวเข่าอีกต่อไป ในที่สุดฉันก็วิ่งได้ แน่นอน แรกๆ ก็เหนื่อยเกือบตาย ปวดขา ปวดตัว (ออกกำลังต้องปวดนะคะ ถึงจะได้) ก็ยังคง คาร์ดิโอ เพียงอย่างเดียว
ต่อมา... ก็เริ่มศึกษาหาข้อมูล จากแหล่งต่างๆ อ่านบทความเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร บทความเกี่ยวกับวิธีการออกกำลังกาย เริ่มมีความรู้มากขึ้น แล้วนำมาปรับใช้กับตัวเอง ช่วงแรกๆ นี่ ไม่กล้าใช้อาหารเสริมเข้ามาช่วย เพราะยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้จัก ยังคิดว่าเป็นยาลดความอ้วนไปซะหมด (ไม่เคยคิดจะแตะยาลดความอ้วนนะคะ เพราะรู้ว่าเอฟเฟคมันน่ากลัวแค่ไหน)
ฉันเริ่มรู้จัก และเริ่มศึกษาอาหารเสริมลดน้ำหนัก ก็ตอนที่เมื่อลดน้ำหนักไปสักพักนึง แล้วน้ำหนักมันเริ่มคงที่ ไม่ค่อยลงแล้ว (ต้องบอกก่อนว่าฉันเป็นคนที่ระบบเผาผลาญแย่มากๆ ควบคุมอาหาร ออกกำลังสม่ำเสมอ น้ำหนักก็ยังไม่ค่อยจะลงสักเท่าไหร่)
จึงปรึกษาคุณเพื่อน ผู้เป็นแรงบันดาลใจของฉัน นางจึงแนะนำว่า มันมีสารสะกัดตัวนึง ที่ช่วยในการเบิร์นไขมันเก่าออกได้นะ แล้วยังช่วยให้ออกกำลังได้ดีขึ้นด้วย อย่างปลอดภัย
เมื่อได้ศึกษาถึงคุณสมบัติ ความปลอดภัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงจัดการทดลองด้วยตัวเองค่ะ ประสิทธิภาพของสารสะกัดตัวนี้ มันเยี่ยมจริงๆ สามารถออกกำลังได้นานขึ้น และน้ำหนักก็ลงอย่างต่อเนื่อง
และแล้ว น้ำหนักของฉัน ก็กลับมาแตะเลข 6 อีกครั้ง แต่ยังเป็น 60 ปลายๆ อยู่นะคะ
มาถึงตอนนี้ เริ่มเรียนรู้การควบคุมอาหารมากขึ้น เริ่มรู้ละ ว่าการควบคุมอาหาร ไม่ได้แปลว่ากินให้น้อย หรืออดมื้อใดมื้อใดมื้อหนึ่ง แต่การควบคุมอาหารคือ การเลือกกิน กินในปริมาณที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
ฉันเริ่มควบคุมอาหาร จากการเลือกลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดตร ข้าว แป้ง น้ำตาล ของทอด ของมัน ขนมขบเคียว ดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว โดยการเลือกกินในมื้อเช้า กินโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย + ไข่ขาวต้ม 2 ฟอง มื้อกลางวัน เกาเหลาไก่สับน้ำใส (ไม่ปรุง) และลดปริมาณมื้อเย็นลง เป็นผลไม้ไม่หวาน อย่างแอปเปิ้ลเขียว หรือฝรั่ง และออกกำลังเป็นประจำ สม่ำเสมอ
และช่วงนี้ เพื่อนสาวของฉัน นางกำลังปรับปรุงสูตรอาหารเสริมลดน้ำหนักของนางอยู่ ฉันจึงได้เป็นหนูทดลองให้นาง มันเริดค่ะ ฉันทำสถิติไว้ 4 วัน น้ำหนักลง 3 กิโลกรัม แบบไม่โทรม สดชื่น เบิกบาน
ตอนนี้ฉันกลายเป็นผู้หญิงผอมเพรียว น้ำหนักอยู่ที่ 57 กิโลกรัม ติดการออกกำลังเป็นชีวิตจิตใจ เลือกกินอาหารเก่งขึ้น และกำลังจะสร้าง six pack
ในการลดน้ำหนัก 20 กว่ากิโลของฉัน บอกเลยว่ามันไม่ง่ายค่ะ มันยากมากด้วย แต่ฉันก็ทำได้ ฉันสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเอง โดยฉันเลือกเพื่อนสาวของฉันเป็นไอดอล ฉันให้กำลังใจตัวเองในเวลาที่ท้อ ช่วงที่น้ำหนักค้างไม่ลงสักที ฉันมีตัวช่วยที่ทำให้เห็นผลของความพยายามอย่างต่อเนื่อง ฉันบอกตัวเองว่า “ฉันเป็นผู้หญิงผอมเพรียว และสุขภาพดี”
มาวันนี้ฉันภูมิใจกับสิ่งที่ฉันทำได้ ความภูมิใจ มันไม่ใช่อยู่ที่ผลลัพธ์ 20 กว่ากิโล ที่ฉันทำไขมันหายไปได้ แต่มันอยู่ที่ระหว่างทาง แต่ละวัน แต่ละกิโล ที่ฉันขจัดมันออกไปได้ สุขภาพที่ค่อยๆ ดีขึ้นของฉัน การเอาชนะใจตัวเอง เรื่องการกิน การออกกำลังกาย การควบคุมอารมณ์ รักษาระดับการตัดสินใจของฉันให้ต่อเนื่อง
ฉันศึกษาวิธีองค์ประกอบของการลดน้ำหนัก และนำมาทดลองกับตัวเอง สรุปได้สั้นๆ ว่า การลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุด คือการใช้หลัก 3 อ.
1. อาหาร (ควบคุมปริมาณ และเลือกกินให้ถูกต้องเหมาะสมกับร่างกายเรา) สำคัญ 80% ของการลดน้ำหนัก
ฉันเน้นกินอกไก่ และผัก
2. ออกกำลัง (สม่ำเสมอ และสมดุล ทั้งการคาร์ดิโอ และการเวทเทรานิ่ง) สำคัญ 20% ของการลดน้ำหนัก
3. อารมณ์ รักษาระดับการตัดสินใจลดน้ำหนักไว้อย่างต่อเนื่อง (ไม่เลิกล้มก่อนสำเร็จ) ห้ามใจตัวเองไม่กินอาหารขยะที่ทำให้อ้วน สำคัญ 100% ของการลดน้ำหนัก
ภาพนี้คือภาพโปรไฟล์ Line ของอีช้าน ที่ตั้งไว้ตั้งแต่น้ำหนัก 78 และบอกตัวเองทุกวัน ว่าฉันจะผอมเพรียว และสุขภาพดี เหมือนในรูปนี้
ส่วนอาหารเสริม สามารถช่วยเราลดน้ำหนักได้จริง (ควรศึกษาและเลือกผลิตภัณฑ์ที่เชื่อถือได้ ไม่แอบใส่ยาลดน้ำหนัก) แต่ก็ต้องอยู่ในหลัก 3 อ.นี้ด้วย ไม่มีอาหารเสริม (ที่ปลอดภัย) ใดๆ ในโลก ที่กินแล้ว ไม่ควบคุมอาหาร ไม่ออกกำลังกาย ก็ทำให้น้ำหนักลดได้ (นั่นคือโฆษณาชวนเชื่อ)
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ คือภาพโดยรวม ในการลดน้ำหนักของฉัน ซึ่งยังมีรายละเอียดอีกมาก ขอเรียกว่าบทความนี้เป็น part 1 ละกันนะคะ แล้วจะทยอย เล่าในรายละเอียดของแต่ละ อ. ให้ฟัง ใน part ต่อๆ ไปนะคะ
ปล. จากหญิงอ้วน อายุ 35 ที่เคยมีความคิดว่า ชาตินี้ ฉันคงเป็นหญิงแก่อ้วนๆ ที่ไม่มีใครเอา ลดน้ำหนักจาก 78 มาเหลือ 57 ได้ ฉันมั่นใจว่า ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ถ้าตัดสินใจจะลดน้ำหนักจริงๆ ทุกคนทำได้ค่ะ
ปล 2. จากคนที่มีอาหารเจ็บหัวเข่า (เส้นเอ็นหัวเข่าอักเสบเรื้อรังมาจนถึงทุกวันนี้) และมีความคิดฝังหัวว่า ชาตินี้ฉันไม่สามารถออกกำลังด้วยการวิ่งได้อีกแล้ว สามารถเปลี่ยนความคิด จนปัจจุบันแทบจะเรียกได้ว่า เป็นนักวิ่งมินิมารธอนมือสมัครเล่นได้ ฉันว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่ว่า เราเลือกที่จะฝังหัวกับความคิดเรื่องนั้นๆ ว่าอย่างไรมากกว่า (อ.ที่ 3)
ปล. สุดท้าย ฉันขอเป็นกำลังใจ และอาจพอจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหญิงอายุเลข 3 ขึ้นไป และหญิงที่มีข้ออ้างว่าตัวเองลดน้ำหนักยากทุกคน ถ้าฉันทำได้ ทุกคนก็ทำได้ ฟันธง และ คอนเฟิร์มค่ะ
part 2 (อ.1 อาหาร) http://ppantip.com/topic/33691425
part 3 (อ.2 ออกกำลัง) http://ppantip.com/topic/33700099