ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี) บทที่ 17

ลิขิตแห่งจันทร์
(โรมานแมนติค-แฟนตาซี)

พลอยลภัสร์ : เขียน
Fanpage : www.facebook.com/ploylapas




<<< ตอนก่อนหน้า : http://ppantip.com/topic/33095402



บทที่ 17 (1/2)




“ท่านอินทุของพวกเจ้าเป็นคนอย่างไร”

จู่ๆ หญิงสาวที่นั่งอยู่กลางวงล้อมของบรรดาสาวใช้ที่กำลังช่วยกันเด็ดและคัดแยกผักภายใต้ร่มไม้ใหญ่ หลังจากที่ออกไปช่วยกันเก็บมาจากแปลงปลูกในช่วงเช้าก็เอ่ยถามสาวใช้ขึ้นอย่างไม่มีที่ไปที่มา

“อุทุราชาหรือ”  เหล่าสาวใช้ต่างร้องถามออกมาด้วยความสงสัยว่าทำไมนายหญิงของตนถึงถามคำถามเช่นนี้

“อืม”

แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี “ท่านอินทุเป็นคนดีและมีเมตตา”

“เอาความจริงซิ” ศศิธรเอ่ยบอกออกมายิ้มๆ เมื่อรู้ว่าคนของชายหนุ่มต้องไม่มีใครกล้าพูดถึงเขาในแง่ร้ายเป็นแน่

“ดุ”

และแล้วก็มีสาวใช้ใจกล้านางหนึ่ง หลุดพูดออกมาคำแรกหลังจากได้รับคำอนุญาตจากนายหญิงของตน ด้วยท่าทางขนลุกขนพอง และเพื่อนๆ มากมายก็พยักหน้าเห็นด้วยกันเป็นทิวแถว

“ใช่ๆ ท่านอินทุดุและโหดมาก”

“ดุ โหด อย่างไร”

“เคยมีสาวใช้ขัดคำสั่ง อุทุราชารู้เข้า สั่งให้เฆี่ยนจนเกือบตายแน่ะ”

เมื่อมีผู้กล้าคนแรก คนที่สองก็ตามมาติดๆ “ที่โหดสุด น่าจะเป็นกรณีนายทหารคนหนึ่ง ที่ถูกจับได้ว่าโกหกอะไรสักอย่าง ท่านอินทุสั่งตัดแขนแล้วก็เนรเทศไล่ให้ไปอยู่ชายป่าเลย”

“ตัดแขน!” หญิงสาวที่ทำหน้าที่ซักถามมาตั้งแต่ต้นบทสนทนาอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจกับความป่าเถื่อนของชายหนุ่ม

“แต่ถ้าเราทำตามคำสั่งของท่าน ท่านก็ใจดีนะ”

สาวใช้นางหนึ่งรีบแก้ตัวให้อุทุราชาของตนทันทีที่เห็นใบหน้าผิดหวังของนายหญิงเมื่อรู้ถึงความดุและโหดของอุทุราชา

“หล่อด้วย”

สาวใช้ผู้มีใบหน้าหวานเรียบร้อยนางหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะยกมือขึ้นอุดปากแทบไม่ทัน เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรออกไป “อุ้บ!”

“ฮ่าๆๆๆ พูดได้ เราไม่ว่าอะไร” ศศิธรหัวเราะขำกับใบหน้าเคลิ้มชวนฝันของสาวใช้ ต่อให้อุทุราชาของพวกนาง ดุ โหด และวางอำนาจมากแค่ไหน พวกนางก็ยังคงหลงใหลใบหน้าหล่อราวเทพบุตรของเขาด้วยกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่เธอ แค่คิดถึงใบหน้าชวนฝันของเขาก็ทำให้ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

“แม่นางเป็นคนใจดี”

สาวใช้ผู้มีใบหน้าหวานเอ่ยออกมา เมื่อเห็นว่านายหญิงของตนไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองในสิ่งที่ตนเผลอหลุดปากพูดออกไป แต่กลับหัวเราะชอบใจ

“หือ...เราหรือ”

“ใช่ๆ ข้าไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมอุทุราชาถึงดูรักแม่นางนัก ผิดกับเมื่อก่อนลิบลับ”

น้ำเสียงชื่นชมในความรักที่เจ้าของปราสาทมีให้กับหญิงสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตน เอ่ยออกมาจากสาวใช้ที่ไม่เคยเห็นอุทุราชาเฉียดกายเข้าไปยังโรงครัวเลยสักวันตั้งแต่ทำงานมา แต่อุทุราชากลับเดินเข้าไปตามนายหญิงของตนทันทีที่กลับถึงปราสาท

“เมื่อก่อนทำไมหรือ”

“เมื่อก่อนท่านอินทุ เอาแต่ทำงาน ห่วงแต่งาน ไม่ค่อยได้กลับปราสาท แล้วแม่นางก็เอาแต่เศร้าสร้อย เก็บตัวอยู่ในห้อง ไม่ออกไปไหนมาไหนเช่นทุกวันนี้ และที่สำคัญตอนนี้ท่านทั้งสองดูรักกัน และดูมีความสุขมาก”

“บุหรง” ศศิธรรู้สึกตกใจกับคำพูดเชิงวิเคราะห์ของสาวใช้คนสนิทของตน เธออยากจะปฏิเสธออกไปนักว่าเธอไม่ได้รักเขาอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่เมื่อลองสำรวจใจตนเองอย่างถ่องแท้แล้ว เธอก็เอ่ยปฏิเสธออกไปได้ไม่เต็มเสียงนัก

“เจ้าดูออกหรือ ว่าเรารัก...เราไม่ได้รัก...”

“พี่สุมะบอกว่าแม่นางเป็นคนทำให้ท่านอินทุขี้เกียจ ไม่ค่อยอยากจะไปทำงาน” บุหรงเสเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นอาการหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศสุกที่วางกองอยู่ตรงหน้าพวกตน

ซึ่งเรื่องที่สาวใช้คนสนิทพยายามเปลี่ยนเรื่องนั้น ก็ไม่ได้ช่วยลดดีกรีความเขินอายของศศิธรลงสักนิด กลับยิ่งทำให้เธอหน้าแดงมากขึ้นไปอีก จนพูดเถียงอะไรออกไปอย่างตะกุกตะกัก “เรา...เราเปล่านะ เราไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”

“แม่นางทำ...สายตาของแม่นาง ยามที่มองท่านอินทุ ถ้าข้าเป็นท่านอินทุ ข้าก็คงไม่อยากไปทำงานเช่นกัน”

“สายตาเรา...ทำไมหรือ”

“ก็สายตาของแม่นาง มองเหมือนจะกลืนกินท่านอินทุอย่างไรอย่างนั้น”

“บ้า” ศิธรขมุบขมิบต่อว่าสาวใช้คนสนิทด้วยความเขินอาย...ใครจะกลืนกินผู้ชายตัวโตคนนั้นได้ มีแต่เขานั่นแหละที่ชอบใช้สายตาจ้องเหมือนจะกลืนกินเธอ

บุหรงพยายามก้มหน้าก้มตาทำงานที่ค้างของตัวเองต่อไป โดยพยายามจะไม่หันไปมองสบสายตาเขียวปั๊ดและใบหน้าแดงๆ ที่กำลังจ้องมองเธอเหมือนจะ...กินเลือดกินเนื้อ ไม่ใช่กลืนกิน...เหมือนที่เธอมักเห็นเวลานายทั้งสองของตนแอบลอบมองกันและกัน

//////////////////////////////////////

จนแล้วจนรอดชายหนุ่มเจ้าของปราสาทผู้ปกครองเมืองกลาพิมพ์ก็ไม่ได้พาแขกสาวคนพิเศษที่ดั้นด้นเดินทางข้ามกาลเวลาจากโลกอนาคตกลับมายังกลาพิมพ์ไปหาตาเฒ่าเจ้าปัญหาเพื่อค้นหาหญ้าอาบจันทร์สักที โดยชายหนุ่มอ้างกับหญิงสาวว่างานยุ่ง ต้องสะสางงานที่มันค้างคาให้เรียบร้อยเสียก่อน เขาถึงจะพาเธอไปหาตาเฒ่าเจ้าปัญหาได้

ซึ่งมันก็ไม่ทันใจหญิงสาวที่มักจะตัดสินใจทำอะไรอย่างรวดเร็ว เธอจึงพยายามหาทางไปที่นั่นเอง ด้วยการถามสาวใช้คนสนิทระหว่างที่กำลังนั่งซ่อมเสื้อผ้าที่ขาดบางจุดของชายหนุ่มอยู่บนพื้นพรมภายในห้องนอนใหญ่ “บุหรง...เจ้ามีงานอะไรต้องไปทำอีกไหม”

“ไม่มีนะ ข้ามีหน้าที่คอยดูแลแม่นางเท่านั้น”

“หมายความว่า เราจะไปที่ไหน เจ้าก็จะต้องตามไปที่นั่นกับเราใช่ไหม”

บุหรงพยักหน้ารับอย่างงงๆ กับประโยคกึ่งถามกึ่งสั่งกลายๆ ของนายหญิง

“งั้น...ซ่อมชุดนี้เสร็จ เราไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหากันนะ”

“แต่ท่านอินทุสั่งห้าม...”

“เราขออนุญาตอุทุราชาของเจ้าแล้ว” ศศิธรโมเมเอาคำพูดที่เธอเคยเอ่ยขออนุญาตชายหนุ่มเมื่ออาทิตย์ก่อน มาบอกกับสาวใช้ว่าเขาอนุญาตให้เธอไปบ้านของตาเฒ่าเจ้าปัญหาได้ แต่ละประโยคที่เขาบอกว่าจะเป็นคนพาเธอไปเองเอาไว้ในใจ

“อย่างงั้นก็ได้...แต่แม่นางต้องเปลี่ยนใส่ชุดสีดำซะก่อน แล้วเอาเสื้อคลุมตัวหนาติดไปด้วย เพราะขากลับพระอาทิตย์น่าจะตกดินแล้ว และอากาศก็จะหนาวเย็นมาก”

“ได้ๆ ไม่มีปัญหา”

พูดจบ ศศิธรก็วางเสื้อตัวที่เพิ่งซ่อมกระดุมเสร็จในมือลงทันที แล้วรีบลุกขึ้นไปเปลี่ยนใส่ชุดสีดำสนิทตามคำแนะนำของสาวใช้ ที่เคยบอกกับเธอว่าถ้าจะออกไปไหนมาไหนที่ซึ่งพ้นจากเขตกำแพงปราสาทหลังนี้ไปแล้ว ต้องแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำสนิททั้งชุด พร้อมกับกลัดเข็มกลัดรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของชาวเมืองกลาพิมพ์ฝ่ายใต้ไว้ที่หน้าอกด้านซ้ายด้วย เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง

บุหรงรีบวางมือจากงานเบื้องหน้าเมื่อเห็นอาการกระตือรือร้นของนายหญิง แล้วรีบลุกขึ้นตามไปช่วยเลือกชุดกระโปรงสีดำเนื้อหนายาวกรอมเท้า พร้อมกับผ้าคลุมศรีษะและเสื้อคลุมตัวหนาสีดำเพื่อกันหนาวในช่วงขากลับให้กับนายหญิงของตน

“แม่นางดูเปลี่ยนไป”

“เปลี่ยนไป อย่างไร”

“ดูสดใส ร่าเริง กระตือรือร้น แล้วก็ขยันมาก ขยันจนพวกเราเหนื่อย...ไม่เหมือนเมื่อก่อน” บุหรงพูดถึงนายหญิงของตนด้วยน้ำเสียงชื่นชม เธอพูดออกมาจากสิ่งที่เธอสังเกตเห็นตลอดระยะเวลาร่วมสองอาทิตย์ที่เธอได้ดูแลหญิงสาวตรงหน้า หญิงสาวที่มีบุคลิกนิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด

“แล้วดีหรือไม่ดี”

“ดีซิ...ข้าชอบ พวกเราทุกคนชอบ ไม่เหมือนแม่นางคนเดิมที่...”

จู่ๆ สาวน้อยเสียงหวาน ช่างพูดช่างเจรจาก็เงียบเสียงลงเสียเฉยๆ เหมือนไม่อยากจะนึกถึงอดีต แล้วก็หันไปหยิบเข็มกลัดที่แสดงถึงอำนาจสูงสุดที่โต๊ะหัวเตียงมากลัดที่หน้าอกข้างซ้ายให้กับนายหญิงของตนอย่างเบามือ

ทว่านายหญิงกลับไม่ยอมให้สาวใช้หยุดพูดง่ายๆ ก็เลยซักถามต่อ “ที่อะไร”

“ที่ดูไม่มีความสุข และดูหวาดกลัวอะไรอยู่ตลอดเวลา”

ศศิธรเงียบไปอึดใจ เพราะน้ำเสียงที่สาวใช้กล่าวถึงจันทรพิมพ์ตัวจริงนั้น ช่างดูหดหู่ยิ่งนัก ซึ่งเธอไม่อยากจะเอ่ยถึงหญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมตายไปแล้วอีก จึงกล่าวตัดบทขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จันทรพิมพ์...นางเปลี่ยนไปแล้ว”





======================

มีต่อนะคะ (2/2)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่