<<< ตอนก่อนหน้า :
http://ppantip.com/topic/33107400
บทที่ 18 (1/2)
ภาพของหญิงสาวชุดดำที่กำลังก้มๆ เงยๆ เก็บดอกจันทร์กระพ้อที่หล่นลงมารายล้อมอยู่รอบตัวมากองรวมกันไว้ภายในดินแดนของกลาพิมพ์ฝ่ายเหนือ เป็นภาพที่หาดูได้ยากนัก และก็เป็นภาพที่สวยงามจนชายหนุ่มที่นั่งงามสง่าราวกับอัศวินม้าขาวในเทพนิยายอยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ไม่สามารถถอนสายตาจากภาพตรงหน้าได้โดยง่าย
ซึ่งดูเหมือนหญิงสาวจะไม่รู้ตัวว่าถูกแอบมองด้วยความหลงใหลมาสักพักแล้ว เพราะเธอยังคงตั้งหน้าตั้งตาเก็บรวบรวมดอกจันทร์กระพ้อวางกองรวมกันไว้ด้านหน้าเธอ จนคนแอบมองทนไม่ไหว จึงเอ่ยทักเสียงขรึมออกไป “นั่นใคร!”
บุหรงสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงขรึมร้องทักมาจากทางด้านหลัง จึงรีบหันขวับไปมองชายหนุ่ม ซึ่งกำลังจับจ้องมองมายังเธอด้วยแววตาที่เธอก็อ่านไม่ออกและก็ต้องอุทานออกมาเสียงดัง เมื่อรู้ซึ้งว่าชายหนุ่มชุดขาวบนหลังม้าสีขาวสะอาดตัวโตนั้นคือใคร “เจ้าศิขริน!” เจ้าของดินแดนที่เธอก้าวล่วงเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
“เจ้า...เจ้าคือ...สาวน้อยทางใต้นี่นา...เข้ามาทำอะไรที่นี่” ศิขรินเอ่ยขึ้นเมื่อนึกจำใบหน้าขาวใสที่ก้มหน้านิ่งอยู่กับพื้นเบื้องล่างได้เป็นอย่างดี แต่ที่เขาแปลกใจคือ เขาเฝ้าวนเวียนตามหาเธอมาตลอดสามปี ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กสาวตัวน้อยที่ตามพ่อของเธอเข้ามาเก็บของป่าในดินแดนของเขาเป็นประจำ แล้วอยู่ๆ เธอก็หายหน้าหายตาไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้เจอเด็กสาวคนนั้นอีกแล้ว เพราะเกือบสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้ร่องรอยอะไรเกี่ยวกับเธอและพ่อเลย ไม่คิดว่าบทจะเจอก็เจอได้ง่ายดายขนาดนี้ และเจอในสภาพที่เธอกลายเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัวซะด้วย
“ขะ...ข้า...”
“เจ้ารู้ตัวหรือเปล่า ว่าเจ้ากำลังรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของเรา...อีกแล้ว” และเหมือนเธอกำลังจะลุกล้ำเข้ามาในหัวใจของเขาอีกแล้วด้วยเช่นกัน และครั้งนี้เขาก็ได้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า เขาจะไม่ปล่อยให้เธอหนีหายไปไหนอีกเป็นแน่
“ขะ...ข้า...ข้าขอโทษ” บุหรงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น ที่ต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มเจ้าของดินแดนที่เธอกำลังเหยียบอยู่นี่ เพราะความผิดที่เธอบุกรุกเข้ามาในดินแดนของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาติ และยิ่งเจ้าของดินแดนนั่งอยู่บนหลังม้าตัวโตเช่นนี้ ก็ยิ่งดูน่ากลัวน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก จนต้องก้มหน้าหลบสายตาแทบจะตลอดเวลาที่โต้ตอบกัน
“เจ้ามาจากทางไหน”
“ข้ามาจากบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหา” บุหรงเพิ่งจะสามารถพูดออกมาเป็นประโยคได้เป็นครั้งแรก หลังจากที่มัวแต่ตื่นตกใจที่ได้เจอเจ้าของดินแดนอย่างไม่ตั้งใจ “และข้าก็กำลังจะกลับพอดี”
พูดจบหญิงสาวก็หันหลังให้กับชายหนุ่ม ก่อนจะนั่งลงกับพื้นจัดการเก็บดอกจันทร์กระพ้อที่เธอกองรวมกันไว้ก่อนหน้าวางลงบนชายกระโปรงยาวชั้นแรกของเธอแล้วก็จับมันห่อยกเดินหนีชายหนุ่มเจ้าของดินแดนทันที
แต่มีหรือที่ศิขรินจะยอมให้หญิงสาวเดินหนีเขาไปง่ายๆ เขาจัดการชักม้าเข้าไปขวางทางเธอในทันทีเช่นกัน “เราจะไปส่งเจ้าเอง”
“มะ...ไม่เป็นไร” บุหรงปฏิเสธเสียงสั่น รู้สึกเหมือนร่างกายที่เล็กบางของเธอ ยิ่งดูเล็กลงไปอีกเท่าตัว เมื่อเบื้องหน้าถูกขวางด้วยชายหนุ่มบนหลังม้าตัวโต “ข้า...ข้ากลับเองได้”
“เจ้าอาจจะขโมยของๆ เราติดมือกลับไปทางใต้ด้วย ถ้าเราไม่ไปส่งเจ้า”
“ข้าไม่ได้หยิบหรือขโมยอะไรของท่านไปทั้งนั้น ข้าแค่เดินเลยมาเก็บดอกจันทร์กระพ้อพวกนี้ไปทำน้ำมันหอมระเหยเท่านั้นเอง...ปล่อยข้าไปเถอะนะ” บุหรงเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวจะถูกตัดมืออย่างที่เคยได้ยินมา ถ้าชายหนุ่มคิดว่าเธอเข้ามาขโมยอะไรในดินแดนของเขามากกว่าการเข้ามาเพื่อเก็บดอกไม้พวกนี้
“นั่นแหละ เพื่อความไม่ประมาท เราจะไปส่งเจ้าเอง”
แต่ก่อนที่ศิขรินจะขยับทำอย่างที่บอก ก็ได้ยินเสียงนายทหารที่ควบม้าตามเขามาร้องเรียก “เจ้าศิขรินๆ” เสียงดังลั่นป่า
“รอข้าอยู่ตรงนี้” ศิขรินสั่งสาวน้อยสาวร่างเพรียวบางจบ ก็ควบม้าไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง เพื่อบอกให้ทหารหยุดรอเขาแค่ตรงนั้น เพราะเกรงว่าสาวน้อยจากดินแดนทางใต้จะได้รับอันตราย โดยให้เหตุผลกับทหารว่าเขามีธุระจะต้องแวะไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาก่อน
บุหรงไม่คิดจะหยุดรอชายหนุ่มอย่างที่เขาสั่งไว้ เธอออกตัววิ่งเพื่อกลับไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาอย่างรวดเร็ว ทว่ายิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อย เธอไม่คิดว่าเธอจะหลงใหลความหอมของดอกจันทร์กระพ้อจนเดินเล่นเพลิน เดินมาไกลมากขนาดนี้
ตอนแรกบุหรงแค่เดินเล่นดูสวนผัก สวนสมุนไพรของตาเฒ่าเจ้าปัญหาเฉยๆ แต่พอลมเย็นพัดโชยมากระทบผิวกาย เธอก็ได้กลิ่นดอกจันทร์กระพ้อ จึงเดินเรื่อยมาเพื่อจะมาเก็บมันไปทำน้ำมันหอมระเหยเอาไว้ใช้ในการทำสบู่ตามที่นายหญิงเคยพูดถึงเมื่อสองวันก่อน
“ว้ายยย...” หญิงสาวที่กำลังวิ่งร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ตัวเธอก็ลอยหวือขึ้นไปอยู่บนหลังม้าสีขาวสะอาดตัวโตแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ข้าบอกให้เจ้ารอข้า...ทำไมถึงไม่รอ”
ชายหนุ่มเอ่ยตำหนิหญิงสาวที่เขาอุ้มขึ้นมานั่งอยู่เบื้องหน้าเขาบนม้าตัวเดียวกันไม่เต็มเสียงนัก เมื่อรับรู้ถึงอาการนิ่งเกร็งของหญิงสาวที่กำลังตกใจกับการกระทำของเขา
บุหรงเลือกที่จะนั่งนิ่งหลังตรงไปตลอดทาง ไม่แม้แต่จะขยับแขนขาเพียงสักนิด เขาจับให้เธอนั่งหันข้างให้ม้าเธอก็นั่งอยู่ท่านั้นไม่ขยับ มีเพียงใบหน้าที่หันหนีมองตรงไปยังเบื้องหน้าเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นแขนแกร่งที่กำลังกุมสายบังเหียนม้าที่พาดพานหน้าอกของเธอไปเท่านั้น ซึ่งจะขยับตัวก็กลัวจะไปถูกเข้ากับแขนแกร่งที่โอบล้อมเธอไว้ทั้งหน้าและหลัง จะใช้มือบางช่วยกันก็ไม่ได้เพราะเธอไม่มีมือสำหรับจะจับอะไรทั้งนั้น เมื่อมือทั้งสองข้างของเธอกำลังกุมดอกไม้ที่อุตส่าห์เก็บมาอย่างยากลำบาก
เส้นทางจากต้นจันทร์กระพ้อจนถึงบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหานั้น ไม่ได้ทอดยาวนัก แต่หญิงสาวกลับคิดว่ามันช่างดูยาวไกลในความรู้สึกของเธอเหลือเกิน แต่อีกคนที่นั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังกลับคิดต่างกัน...เขาคิดว่าทำไมระยะทางมันช่างสั้นยิ่งนัก มันน่าจะทอดยาวไกลต่อไปอีก...สุดขอบฟ้าได้ยิ่งดี
ซึ่งภาพตัดกันระหว่างชายหนุ่มในชุดสีขาวกับหญิงสาวในชุดสีดำบนหลังม้าสีขาวท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจีช่างเป็นความงามที่หาดูได้ยากนัก เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่สีขาวกับสีดำจะอยู่เคียงคู่กันเช่นนี้
“เอ้า...ถึงแล้ว”
และภาพตรงหน้าก็หายวับไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม เมื่อหญิงสาวไถลตัวลงมาจากหลังม้าด้วยความว่องไวหลังจากชายหนุ่มที่โอบล้อมเธอไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างกล่าวจบประโยค
เมื่อบุหรงลงมายืนอยู่บนพื้นดินได้แล้ว ก็หันไปเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มเบาๆ ที่เขาอุตส่าห์มาส่งเธอจนถึงที่ ทว่าก่อนที่เธอจะเดินหันหลังจากมา ชายหนุ่มก็เรียกเธอไว้ด้วยประโยคบอกเล่าซึ่งแสดงความเป็นเจ้าของสิ่งที่เธอกำลังหอบหิ้วอยู่ “นั่นดอกไม้ของเรา”
บุหรงหยุดชะงัก เหมือนสมองกำลังประมวลผลว่าประโยคบอกเล่าของศิขรินนั้น หมายความว่าอย่างไร ก่อนจะจำยอมหันกลับมายื่นดอกจันทร์กระพ้อทั้งหมดที่เก็บมาจากดินแดนทางเหนือ ส่งคืนให้กับเจ้าของดอกไม้อย่างแสนเสียดาย
ชายหนุ่มบนหลังม้ายิ้มให้กับใบหน้างอง้ำของหญิงสาวก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่เธอยื่นคืนให้แก่เขา “ถ้าเจ้าจำได้ เราไม่เคยหวงพืชพันธุ์ในดินแดนของเรากับเจ้าและพ่อเจ้าเลยสักครั้ง ส่วนน้ำมันหอมระเหยที่เจ้าพูดถึง อีกเจ็ดวันนำมันมาให้เราด้วย ตรงที่ๆ เราเจอกัน...และเราหวังว่าเจ้าคงจะมา เพราะถ้าไม่มา...”
ประโยคที่เหมือนจะเป็นคำขู่กลายๆ นั้น สามารถทำให้หญิงสาวที่ก้มหน้าแทบจะตลอดเวลาที่คุยกับชายหนุ่ม เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเต็มๆ และเขาก็ได้เห็นบางสิ่งในแววตาของเธอ...บางสิ่งที่บอกกับเขาว่า เธอก็จำเขาได้เช่นกัน
แต่ก่อนที่จะมีใครเตือนความจำใคร เสียร้องเรียก “บุหรงๆ” ที่ดังมาจากริมรั้วข้างบ้านหลังน้อย ก็ทำให้หญิงสาวขยับตัวเดินไปหานายหญิงที่กำลังเดินตามหาตนทันที
“กลับกันเถอะ...เย็นมากแล้ว ถ้าเรากลับไปถึงมืดเกินไป เราต้องโดนท่านอินทุของเจ้าเฆี่ยนตีเป็นแน่”
“แม่นาง!”
“แม่นาง...จันทรพิมพ์รึ” ศิขรินเอ่ยถาม ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้าทันทีที่ได้ยินหญิงสาวที่เขาลงทุนขี่ม้ามาส่ง เรียกหญิงสาวอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาว่าแม่นาง เขาต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตนเองว่าภรรยาของอุทุราชานั้นยังไม่ตายจริงๆ อย่างที่มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่านางฟื้นคืนชีพเพราะยาของตาเฒ่าเจ้าปัญหา
“พี่ภูผา” ศศิธรถลาเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาที่เธอด้วยความลืมตัว แต่เมื่อเห็นสายตาเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน เธอก็เปลี่ยนไปเรียกชื่อเขาแบบที่เคยได้ยินคนในกลาพิมพ์เอ่ยถึง “เจ้าศิขริน”
======================
มีต่อนะคะ (2/2)
ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี) บทที่ 18
(โรมานแมนติค-แฟนตาซี)
พลอยลภัสร์ : เขียน
Fanpage : www.facebook.com/ploylapas
<<< ตอนก่อนหน้า : http://ppantip.com/topic/33107400
บทที่ 18 (1/2)
ภาพของหญิงสาวชุดดำที่กำลังก้มๆ เงยๆ เก็บดอกจันทร์กระพ้อที่หล่นลงมารายล้อมอยู่รอบตัวมากองรวมกันไว้ภายในดินแดนของกลาพิมพ์ฝ่ายเหนือ เป็นภาพที่หาดูได้ยากนัก และก็เป็นภาพที่สวยงามจนชายหนุ่มที่นั่งงามสง่าราวกับอัศวินม้าขาวในเทพนิยายอยู่บนหลังม้าตัวสูงใหญ่ไม่สามารถถอนสายตาจากภาพตรงหน้าได้โดยง่าย
ซึ่งดูเหมือนหญิงสาวจะไม่รู้ตัวว่าถูกแอบมองด้วยความหลงใหลมาสักพักแล้ว เพราะเธอยังคงตั้งหน้าตั้งตาเก็บรวบรวมดอกจันทร์กระพ้อวางกองรวมกันไว้ด้านหน้าเธอ จนคนแอบมองทนไม่ไหว จึงเอ่ยทักเสียงขรึมออกไป “นั่นใคร!”
บุหรงสะดุ้งจนสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงขรึมร้องทักมาจากทางด้านหลัง จึงรีบหันขวับไปมองชายหนุ่ม ซึ่งกำลังจับจ้องมองมายังเธอด้วยแววตาที่เธอก็อ่านไม่ออกและก็ต้องอุทานออกมาเสียงดัง เมื่อรู้ซึ้งว่าชายหนุ่มชุดขาวบนหลังม้าสีขาวสะอาดตัวโตนั้นคือใคร “เจ้าศิขริน!” เจ้าของดินแดนที่เธอก้าวล่วงเข้ามาอย่างถือวิสาสะ
“เจ้า...เจ้าคือ...สาวน้อยทางใต้นี่นา...เข้ามาทำอะไรที่นี่” ศิขรินเอ่ยขึ้นเมื่อนึกจำใบหน้าขาวใสที่ก้มหน้านิ่งอยู่กับพื้นเบื้องล่างได้เป็นอย่างดี แต่ที่เขาแปลกใจคือ เขาเฝ้าวนเวียนตามหาเธอมาตลอดสามปี ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กสาวตัวน้อยที่ตามพ่อของเธอเข้ามาเก็บของป่าในดินแดนของเขาเป็นประจำ แล้วอยู่ๆ เธอก็หายหน้าหายตาไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้เจอเด็กสาวคนนั้นอีกแล้ว เพราะเกือบสามปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้ร่องรอยอะไรเกี่ยวกับเธอและพ่อเลย ไม่คิดว่าบทจะเจอก็เจอได้ง่ายดายขนาดนี้ และเจอในสภาพที่เธอกลายเป็นสาวสะพรั่งเต็มตัวซะด้วย
“ขะ...ข้า...”
“เจ้ารู้ตัวหรือเปล่า ว่าเจ้ากำลังรุกล้ำเข้ามาในดินแดนของเรา...อีกแล้ว” และเหมือนเธอกำลังจะลุกล้ำเข้ามาในหัวใจของเขาอีกแล้วด้วยเช่นกัน และครั้งนี้เขาก็ได้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า เขาจะไม่ปล่อยให้เธอหนีหายไปไหนอีกเป็นแน่
“ขะ...ข้า...ข้าขอโทษ” บุหรงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น ที่ต้องเผชิญหน้ากับชายหนุ่มเจ้าของดินแดนที่เธอกำลังเหยียบอยู่นี่ เพราะความผิดที่เธอบุกรุกเข้ามาในดินแดนของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาติ และยิ่งเจ้าของดินแดนนั่งอยู่บนหลังม้าตัวโตเช่นนี้ ก็ยิ่งดูน่ากลัวน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก จนต้องก้มหน้าหลบสายตาแทบจะตลอดเวลาที่โต้ตอบกัน
“เจ้ามาจากทางไหน”
“ข้ามาจากบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหา” บุหรงเพิ่งจะสามารถพูดออกมาเป็นประโยคได้เป็นครั้งแรก หลังจากที่มัวแต่ตื่นตกใจที่ได้เจอเจ้าของดินแดนอย่างไม่ตั้งใจ “และข้าก็กำลังจะกลับพอดี”
พูดจบหญิงสาวก็หันหลังให้กับชายหนุ่ม ก่อนจะนั่งลงกับพื้นจัดการเก็บดอกจันทร์กระพ้อที่เธอกองรวมกันไว้ก่อนหน้าวางลงบนชายกระโปรงยาวชั้นแรกของเธอแล้วก็จับมันห่อยกเดินหนีชายหนุ่มเจ้าของดินแดนทันที
แต่มีหรือที่ศิขรินจะยอมให้หญิงสาวเดินหนีเขาไปง่ายๆ เขาจัดการชักม้าเข้าไปขวางทางเธอในทันทีเช่นกัน “เราจะไปส่งเจ้าเอง”
“มะ...ไม่เป็นไร” บุหรงปฏิเสธเสียงสั่น รู้สึกเหมือนร่างกายที่เล็กบางของเธอ ยิ่งดูเล็กลงไปอีกเท่าตัว เมื่อเบื้องหน้าถูกขวางด้วยชายหนุ่มบนหลังม้าตัวโต “ข้า...ข้ากลับเองได้”
“เจ้าอาจจะขโมยของๆ เราติดมือกลับไปทางใต้ด้วย ถ้าเราไม่ไปส่งเจ้า”
“ข้าไม่ได้หยิบหรือขโมยอะไรของท่านไปทั้งนั้น ข้าแค่เดินเลยมาเก็บดอกจันทร์กระพ้อพวกนี้ไปทำน้ำมันหอมระเหยเท่านั้นเอง...ปล่อยข้าไปเถอะนะ” บุหรงเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็ว ด้วยกลัวจะถูกตัดมืออย่างที่เคยได้ยินมา ถ้าชายหนุ่มคิดว่าเธอเข้ามาขโมยอะไรในดินแดนของเขามากกว่าการเข้ามาเพื่อเก็บดอกไม้พวกนี้
“นั่นแหละ เพื่อความไม่ประมาท เราจะไปส่งเจ้าเอง”
แต่ก่อนที่ศิขรินจะขยับทำอย่างที่บอก ก็ได้ยินเสียงนายทหารที่ควบม้าตามเขามาร้องเรียก “เจ้าศิขรินๆ” เสียงดังลั่นป่า
“รอข้าอยู่ตรงนี้” ศิขรินสั่งสาวน้อยสาวร่างเพรียวบางจบ ก็ควบม้าไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเอง เพื่อบอกให้ทหารหยุดรอเขาแค่ตรงนั้น เพราะเกรงว่าสาวน้อยจากดินแดนทางใต้จะได้รับอันตราย โดยให้เหตุผลกับทหารว่าเขามีธุระจะต้องแวะไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาก่อน
บุหรงไม่คิดจะหยุดรอชายหนุ่มอย่างที่เขาสั่งไว้ เธอออกตัววิ่งเพื่อกลับไปบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหาอย่างรวดเร็ว ทว่ายิ่งวิ่งก็ยิ่งเหนื่อย เธอไม่คิดว่าเธอจะหลงใหลความหอมของดอกจันทร์กระพ้อจนเดินเล่นเพลิน เดินมาไกลมากขนาดนี้
ตอนแรกบุหรงแค่เดินเล่นดูสวนผัก สวนสมุนไพรของตาเฒ่าเจ้าปัญหาเฉยๆ แต่พอลมเย็นพัดโชยมากระทบผิวกาย เธอก็ได้กลิ่นดอกจันทร์กระพ้อ จึงเดินเรื่อยมาเพื่อจะมาเก็บมันไปทำน้ำมันหอมระเหยเอาไว้ใช้ในการทำสบู่ตามที่นายหญิงเคยพูดถึงเมื่อสองวันก่อน
“ว้ายยย...” หญิงสาวที่กำลังวิ่งร้องขึ้นอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ตัวเธอก็ลอยหวือขึ้นไปอยู่บนหลังม้าสีขาวสะอาดตัวโตแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ข้าบอกให้เจ้ารอข้า...ทำไมถึงไม่รอ”
ชายหนุ่มเอ่ยตำหนิหญิงสาวที่เขาอุ้มขึ้นมานั่งอยู่เบื้องหน้าเขาบนม้าตัวเดียวกันไม่เต็มเสียงนัก เมื่อรับรู้ถึงอาการนิ่งเกร็งของหญิงสาวที่กำลังตกใจกับการกระทำของเขา
บุหรงเลือกที่จะนั่งนิ่งหลังตรงไปตลอดทาง ไม่แม้แต่จะขยับแขนขาเพียงสักนิด เขาจับให้เธอนั่งหันข้างให้ม้าเธอก็นั่งอยู่ท่านั้นไม่ขยับ มีเพียงใบหน้าที่หันหนีมองตรงไปยังเบื้องหน้าเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นแขนแกร่งที่กำลังกุมสายบังเหียนม้าที่พาดพานหน้าอกของเธอไปเท่านั้น ซึ่งจะขยับตัวก็กลัวจะไปถูกเข้ากับแขนแกร่งที่โอบล้อมเธอไว้ทั้งหน้าและหลัง จะใช้มือบางช่วยกันก็ไม่ได้เพราะเธอไม่มีมือสำหรับจะจับอะไรทั้งนั้น เมื่อมือทั้งสองข้างของเธอกำลังกุมดอกไม้ที่อุตส่าห์เก็บมาอย่างยากลำบาก
เส้นทางจากต้นจันทร์กระพ้อจนถึงบ้านตาเฒ่าเจ้าปัญหานั้น ไม่ได้ทอดยาวนัก แต่หญิงสาวกลับคิดว่ามันช่างดูยาวไกลในความรู้สึกของเธอเหลือเกิน แต่อีกคนที่นั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังกลับคิดต่างกัน...เขาคิดว่าทำไมระยะทางมันช่างสั้นยิ่งนัก มันน่าจะทอดยาวไกลต่อไปอีก...สุดขอบฟ้าได้ยิ่งดี
ซึ่งภาพตัดกันระหว่างชายหนุ่มในชุดสีขาวกับหญิงสาวในชุดสีดำบนหลังม้าสีขาวท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจีช่างเป็นความงามที่หาดูได้ยากนัก เพราะไม่เคยมีสักครั้งที่สีขาวกับสีดำจะอยู่เคียงคู่กันเช่นนี้
“เอ้า...ถึงแล้ว”
และภาพตรงหน้าก็หายวับไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม เมื่อหญิงสาวไถลตัวลงมาจากหลังม้าด้วยความว่องไวหลังจากชายหนุ่มที่โอบล้อมเธอไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างกล่าวจบประโยค
เมื่อบุหรงลงมายืนอยู่บนพื้นดินได้แล้ว ก็หันไปเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มเบาๆ ที่เขาอุตส่าห์มาส่งเธอจนถึงที่ ทว่าก่อนที่เธอจะเดินหันหลังจากมา ชายหนุ่มก็เรียกเธอไว้ด้วยประโยคบอกเล่าซึ่งแสดงความเป็นเจ้าของสิ่งที่เธอกำลังหอบหิ้วอยู่ “นั่นดอกไม้ของเรา”
บุหรงหยุดชะงัก เหมือนสมองกำลังประมวลผลว่าประโยคบอกเล่าของศิขรินนั้น หมายความว่าอย่างไร ก่อนจะจำยอมหันกลับมายื่นดอกจันทร์กระพ้อทั้งหมดที่เก็บมาจากดินแดนทางเหนือ ส่งคืนให้กับเจ้าของดอกไม้อย่างแสนเสียดาย
ชายหนุ่มบนหลังม้ายิ้มให้กับใบหน้างอง้ำของหญิงสาวก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธสิ่งที่เธอยื่นคืนให้แก่เขา “ถ้าเจ้าจำได้ เราไม่เคยหวงพืชพันธุ์ในดินแดนของเรากับเจ้าและพ่อเจ้าเลยสักครั้ง ส่วนน้ำมันหอมระเหยที่เจ้าพูดถึง อีกเจ็ดวันนำมันมาให้เราด้วย ตรงที่ๆ เราเจอกัน...และเราหวังว่าเจ้าคงจะมา เพราะถ้าไม่มา...”
ประโยคที่เหมือนจะเป็นคำขู่กลายๆ นั้น สามารถทำให้หญิงสาวที่ก้มหน้าแทบจะตลอดเวลาที่คุยกับชายหนุ่ม เงยหน้าขึ้นสบตาเขาเต็มๆ และเขาก็ได้เห็นบางสิ่งในแววตาของเธอ...บางสิ่งที่บอกกับเขาว่า เธอก็จำเขาได้เช่นกัน
แต่ก่อนที่จะมีใครเตือนความจำใคร เสียร้องเรียก “บุหรงๆ” ที่ดังมาจากริมรั้วข้างบ้านหลังน้อย ก็ทำให้หญิงสาวขยับตัวเดินไปหานายหญิงที่กำลังเดินตามหาตนทันที
“กลับกันเถอะ...เย็นมากแล้ว ถ้าเรากลับไปถึงมืดเกินไป เราต้องโดนท่านอินทุของเจ้าเฆี่ยนตีเป็นแน่”
“แม่นาง!”
“แม่นาง...จันทรพิมพ์รึ” ศิขรินเอ่ยถาม ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้าทันทีที่ได้ยินหญิงสาวที่เขาลงทุนขี่ม้ามาส่ง เรียกหญิงสาวอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาว่าแม่นาง เขาต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตนเองว่าภรรยาของอุทุราชานั้นยังไม่ตายจริงๆ อย่างที่มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่านางฟื้นคืนชีพเพราะยาของตาเฒ่าเจ้าปัญหา
“พี่ภูผา” ศศิธรถลาเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาที่เธอด้วยความลืมตัว แต่เมื่อเห็นสายตาเหมือนคนที่ไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน เธอก็เปลี่ยนไปเรียกชื่อเขาแบบที่เคยได้ยินคนในกลาพิมพ์เอ่ยถึง “เจ้าศิขริน”
======================
มีต่อนะคะ (2/2)