บทนำ
“หัดทำอะไรให้มันมีประโยชน์บ้าง ไม่ใช่เลี้ยงไว้เสียข้าวสุกไปวันๆ”
เสียงตวาดด้วยความโมโหนั้น ไม่ทำให้หญิงสาวที่นั่งเอนบนพนักเก้าอี้นวมกระทบกระเทือนเท่าใดนัก หล่อนหลบตาซ่อนรอยเบื่อหน่อย หากเป็นสมัยยังเยาว์ อินทุภาคงเสียใจไม่ใช่น้อย ทว่า...เมื่อโดนตำหนิเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง หล่อนก็ชาเสียจนชินกับถ้อยคำเชือดเฉือนใจ
ครั้นเห็นบุตรีเลี้ยงนิ่งเงียบไม่พูดตอบโต้ แทนที่อารมณ์โกรธเกรี้ยวของสราญรัตน์จะลดลง มันกลับกระพือให้ไฟโทสะลุกโชนขึ้นมาอีก
“ไม่มีอะไรจะพูดเลยหรือไง นอกจากนั่งเงียบน่ะ”
อินทุภาเงยหน้าขึ้นมองหน้าแม่เลี้ยงด้วยสีหน้าเรียบเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามข่มอารมณ์ของตนเองลง แม้จะพร่ำบอกตนเองว่า ไม่เจ็บไม่ปวดกับคำพูด หากหล่อนก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน โดนย้ำรอยเดิมซ้ำๆก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยตอบโต้
“คุณสราญอยากให้ไนท์พูดอะไรล่ะคะ?”
คำตอบของหญิงสาวยิ่งทำให้อารมณ์เกรี้ยวกราดของสราญรัตน์พุ่งสูงจนแทบควบคุมไม่ได้ นางชี้หน้าอินทุภาด่ากราดด้วยถ้อยคำหยาบหยามที่ผู้เป็นสามีไม่เคยได้ยิน หากบุตรีเลี้ยงรับฟังจนเจนใจ
ด้วยรู้ดีว่าอารมณ์ในยามนี้ของสราญรัตน์นั้นใครก็เข้าไปขวางไม่อยู่ อินทุภาจึงก้มหน้านิ่งไม่ปริปากโต้เถียงอีก ปล่อยให้ถ้อยคำนั้นผ่านหูแต่ไม่ผ่านสมอง ใจก็นึกตำหนิตนเองที่ทนทานวาจาของแม่เลี้ยงไม่ได้ เผลอโต้ตอบกลับไป ทำให้เรื่องที่ควรจะสั้นก็ยิ่งยาวต่อไป หญิงสาวลอบถอนใจเบาๆ อดนึกถึงมารดาโฉมงามของตนไม่ได้ อรอินทุ์นั้นงามพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตาและกริยามารยาท ถ้อยคำหยาบคายสักนิดก็ไม่เคยหลุดออกมาให้ได้ยิน หากคนดีๆมักอายุสั้น มารดาของอินทุภาจึงจากไปเมื่อหล่อนมีอายุเพียงเจ็ดปี
บิดานั้นเล่าก็จมอยู่ในห้วงลึกของความเศร้าโศก พศินทุ่มความเศร้าโศก ความโกรธเกรี้ยวต่อโชคชะตา ความผิดหวังทั้งหลายลงไปกับงานที่ทำ เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำจนบุตรสาวแทบลืมว่าตนเองยังเหลือผู้เป็นพ่อ เด็กหญิงอินทุภาในวันนั้นมีแต่รอยน้ำตาในยามค่ำคืน อ้อมแขนอันอบอุ่นของแม่ ปราการที่คอยปกป้องอย่างพ่อที่ได้รับมาเสมอละลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิต ใจดวงน้อยค่อยๆเว้าแหว่งไปความมืดอันเดียวดาย ยามที่บิดาพาสราญรัตน์เข้าบ้านและแนะนำให้เด็กหญิงรู้จักมารดาคนใหม่ หนูน้อยไม่กล้าปริปากขัดแย้งแม้สักคำ ได้แต่เก็บงำความเจ็บช้ำไว้ในใจ ด้วยกลัวว่าพ่อจะหลีกลี้หนีหน้าไปจากชีวิตอีก
ทว่า...การที่ยอมรับทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้นั้นไม่ได้ช่วยให้เด็กหญิงได้บิดาคืนมาแต่อย่างใด เมื่อพศินเห็นบุตรสาวเข้ากับมารดาเลี้ยงได้ดี เขาก็ยิ่งทุ่มเทให้กับงาน เดินทางไปต่างประเทศเพื่อติดต่องานบ่อยครั้ง จนแทบนับวันที่อยู่ประเทศไทยได้ เมื่อผู้เป็นพ่อยิ่งห่างไกลออกไป อำนาจและความร้ายกาจของสราญรัตน์ก็เริ่มเข้าครอบคลุมบ้านอันเคยมีแต่ความสุขของอินทุภา เมื่อไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้เป็นสามี ความรักใคร่เอ็นดูในตัวลูกเลี้ยงก็หมดลงอย่างง่ายดาย สราญรัตน์เป็นคนโมโหร้าย ยามที่ไม่ได้ดั่งใจหรือมีอะไรมาขัดขวางก็ลงเอากับคนใกล้ตัว แม้กระทั่งเด็กอย่างอินทุภาก็ไม่เคยละเว้น
แม่หนูพยายามบอกบิดาหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีโอกาส ไม่เคยมีเวลา เรียกว่าแทบไม่เคยเห็นหน้าก็ว่าได้ ยิ่งเติบโต อินทุภาก็ยิ่งห่างเหินจากบิดา ความรักใคร่สนิทสนมระหว่างพ่อลูกบางเบาจนเกือบไม่มี แม้อาทิตย์ก่อนมีงานฉลองรับปริญญาของบุตรสาว พศินก็ไม่ได้กลับเมืองไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์ มีเพียงของขวัญราคาแพงระยับที่เขาหยิบยื่นผ่านมาทางสราญรัตน์พร้อมการ์ดแสดงความยินดี
“ยายไนท์ เธอได้ยินที่ฉันพูดบ้างไหมนี่?”
“คะ?” หญิงสาวหลุดจากภวังค์ความคิดของตนเอง หันกลับไปมองมารดาเลี้ยงด้วยสายตาว่างเปล่า
“เธอนี่มันซื่อบื้อจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ที่ฉันพูดๆไปนี่ไม่ได้เข้าหูเลยใช่ไหม?”
“ขอโทษค่ะ คุณสราญ” อินทุภาหลุดถ้อยคำที่เอ่ยบ่อยจนเกือบเป็นอัตโนมัติ ไม่ว่าอย่างไร หล่อนก็ไม่เคยทำอะไรถูกใจนางสักครั้ง
“ขอโทษอีกแล้ว เธอทำอะไรที่ดีกว่าขอโทษเป็นบ้างไหม?” นางเอ่ยถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ “ถ้ายังไม่ได้ยิน ก็ช่วยตั้งใจฟังด้วย เธอจะต้องไปบ้านคุณยายน้อยอาทิตย์หน้า”
“คะ?” หล่อนรับฟังด้วยอาการฉงน คุณยายน้อยที่สราญรัตน์เอ่ยถึงนั้นเป็นน้องสาวของคุณยายแท้ๆของอินทุภา ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับมารดาเลี้ยงแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดนางจึงสั่งให้หล่อนไปหากันเล่า “จะให้ไนท์ไปทำอะไรที่นั่นคะ?”
“ไปดูที่ดินที่นั่น มีคนบอกฉันว่า ที่ดินของคุณยายน้อยเธอน่ะ ทำเลดีมาก เหมาะจะซื้อมาทำเป็นรีสอร์ท แต่ติดที่ขอซื้อเท่าไหร่ก็ไม่ยอมขาย เธอไปดูซิว่ามันดีจริงไหม แล้วราคาเท่าไหร่ ทำยังไง คุณยายเธอถึงจะยอมขาย”
“แต่...ไนท์ไม่ได้ติดต่อคุณยายนานแล้ว” หล่อนอึกอัก หญิงสาวไม่สนิทสนมกับญาติทางฝ่ายมารดานัก ยายแท้ๆของอินทุภาเสียชีวิตไปนานแล้ว ญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่คือ คุณอุมาที่เป็นน้องสาวของคุณยาย แต่นางย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดหลายปีแล้ว นานๆจะติดต่อกันสักครั้ง
“ไม่ได้ติดต่อก็ติดต่อเสียสิ หาเรื่องอ้างเข้าสักเรื่อง”
“แต่...”
“ไม่มีแต่” สราญรัตน์สั่งเสียงเฉียบ “เธออยู่บ้านว่างๆมาหลายเดือนแล้ว ไม่ยอมทำมาหากิน จะเกาะพ่อเธอกินไปจนวันตายน่ะไม่ได้หรอกนะ เธอคิดว่ามรดกของพ่อเธอจะมีเท่าไหร่กัน”
อินทุภานิ่งเงียบแม้ใจจะอยากเอ่ยว่า ต่อให้ไม่ทำงานตลอดชีวิต หล่อนก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายได้ ถ้าสราญรัตน์ยอมให้หล่อนใช้เงินของพ่อ
เมื่อเห็นลูกเลี้ยงสาวไม่ตอบโต้ นางก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“นี่ถ้าเธอทำให้คุณยายของเธอขายที่ดินได้ ฉันจะแบ่งค่านายหน้าให้เธอด้วย ไม่แน่นะ ปะเหมาะเคราะห์ดีประจบคนแก่เข้า อาจจะยกให้เธอฟรีๆ ได้ข่าวว่าลูกผัวตายหมดนี่”
อินทุภากระพริบตาปริบกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับใส่สมอง หญิงสาวไม่เคยนึกถึงมรดกหรือทรัพย์สินอะไรจากคุณอุมาแม้แต่น้อย เพราะห่างเหินกันมานาน
อันที่จริงแล้ว อินทุภาอยู่ในช่วงเตรียมตัวเรียนต่อระดับปริญญาโท หญิงสาวขออนุญาตบิดาเรียบร้อย และเขาก็ยินดีจะส่งหล่อนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ หากติดที่ผลสอบทางภาษายังไม่อยู่ในระดับที่มหาวิทยาลัยต้องการ หล่อนจึงจำใจอยู่เมืองไทยเพื่อเรียนภาษาเพิ่มเติม แม้หญิงสาวจะเพียรขอไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศก่อน หากสราญรัตน์คัดค้านอย่างแข็งขัน นางอ้างว่าสิ้นเปลืองเปล่าๆ เพราะไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่า เมื่อไปเรียนที่ต่างประเทศแล้ว อินทุภาจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยดังๆได้
ถ้าจะไปเรียนต่างประเทศมันก็ควรจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆสิคะ ไม่ใช่ไปเรียนมหาวิทยาลัยห้องแถวที่เขารับเพราะเงินถึง ถ้าไม่ได้มหาวิทยาลัยที่ดี สราญว่าเรียนต่อที่เมืองไทยยังดีเสียกว่านะคะ เดี๋ยวนี้มหาลัยที่เมืองไทยมีหลักสูตรดีๆเยอะแยะ ถ้าไปเพื่อเรียนแต่ภาษา สราญว่ามันจะเสียเงินเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆ ให้ยายไนท์สอบผ่านก่อนดีกว่า แล้วค่อยไปเรียนทีเดียว
นางอ้างเสียแบบนั้น พศินเองก็เห็นดีเห็นงามด้วย หล่อนจึงต้องจับเจ่าอยู่เมืองไทย ออกไปเรียนภาษาวันละสองสามชั่วโมง จะออกไปเที่ยวเตร่มากมายก็ไม่ได้ เพราะสราญรัตน์จำกัดเงิน โดยอ้างว่า หล่อนแค่ไปเรียนพิเศษไม่กี่ชั่วโมง จะใช้เงินอะไรมากมาย
“ค่ะ”
อินทุภารับคำเสียงแผ่ว เอาเถอะ ออกจากบ้านไปพักสมองที่บ้านคุณยายน้อยก็ดี เผื่อว่าหล่อนจะมีลู่ทางอะไรที่จะหลีกหนีไปจากที่นี่ได้
= = = กลเทวา บทนำ และ บทที่ 1 = = =
“หัดทำอะไรให้มันมีประโยชน์บ้าง ไม่ใช่เลี้ยงไว้เสียข้าวสุกไปวันๆ”
เสียงตวาดด้วยความโมโหนั้น ไม่ทำให้หญิงสาวที่นั่งเอนบนพนักเก้าอี้นวมกระทบกระเทือนเท่าใดนัก หล่อนหลบตาซ่อนรอยเบื่อหน่อย หากเป็นสมัยยังเยาว์ อินทุภาคงเสียใจไม่ใช่น้อย ทว่า...เมื่อโดนตำหนิเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง หล่อนก็ชาเสียจนชินกับถ้อยคำเชือดเฉือนใจ
ครั้นเห็นบุตรีเลี้ยงนิ่งเงียบไม่พูดตอบโต้ แทนที่อารมณ์โกรธเกรี้ยวของสราญรัตน์จะลดลง มันกลับกระพือให้ไฟโทสะลุกโชนขึ้นมาอีก
“ไม่มีอะไรจะพูดเลยหรือไง นอกจากนั่งเงียบน่ะ”
อินทุภาเงยหน้าขึ้นมองหน้าแม่เลี้ยงด้วยสีหน้าเรียบเฉยที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามข่มอารมณ์ของตนเองลง แม้จะพร่ำบอกตนเองว่า ไม่เจ็บไม่ปวดกับคำพูด หากหล่อนก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน โดนย้ำรอยเดิมซ้ำๆก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยตอบโต้
“คุณสราญอยากให้ไนท์พูดอะไรล่ะคะ?”
คำตอบของหญิงสาวยิ่งทำให้อารมณ์เกรี้ยวกราดของสราญรัตน์พุ่งสูงจนแทบควบคุมไม่ได้ นางชี้หน้าอินทุภาด่ากราดด้วยถ้อยคำหยาบหยามที่ผู้เป็นสามีไม่เคยได้ยิน หากบุตรีเลี้ยงรับฟังจนเจนใจ
ด้วยรู้ดีว่าอารมณ์ในยามนี้ของสราญรัตน์นั้นใครก็เข้าไปขวางไม่อยู่ อินทุภาจึงก้มหน้านิ่งไม่ปริปากโต้เถียงอีก ปล่อยให้ถ้อยคำนั้นผ่านหูแต่ไม่ผ่านสมอง ใจก็นึกตำหนิตนเองที่ทนทานวาจาของแม่เลี้ยงไม่ได้ เผลอโต้ตอบกลับไป ทำให้เรื่องที่ควรจะสั้นก็ยิ่งยาวต่อไป หญิงสาวลอบถอนใจเบาๆ อดนึกถึงมารดาโฉมงามของตนไม่ได้ อรอินทุ์นั้นงามพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตาและกริยามารยาท ถ้อยคำหยาบคายสักนิดก็ไม่เคยหลุดออกมาให้ได้ยิน หากคนดีๆมักอายุสั้น มารดาของอินทุภาจึงจากไปเมื่อหล่อนมีอายุเพียงเจ็ดปี
บิดานั้นเล่าก็จมอยู่ในห้วงลึกของความเศร้าโศก พศินทุ่มความเศร้าโศก ความโกรธเกรี้ยวต่อโชคชะตา ความผิดหวังทั้งหลายลงไปกับงานที่ทำ เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำจนบุตรสาวแทบลืมว่าตนเองยังเหลือผู้เป็นพ่อ เด็กหญิงอินทุภาในวันนั้นมีแต่รอยน้ำตาในยามค่ำคืน อ้อมแขนอันอบอุ่นของแม่ ปราการที่คอยปกป้องอย่างพ่อที่ได้รับมาเสมอละลายหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิต ใจดวงน้อยค่อยๆเว้าแหว่งไปความมืดอันเดียวดาย ยามที่บิดาพาสราญรัตน์เข้าบ้านและแนะนำให้เด็กหญิงรู้จักมารดาคนใหม่ หนูน้อยไม่กล้าปริปากขัดแย้งแม้สักคำ ได้แต่เก็บงำความเจ็บช้ำไว้ในใจ ด้วยกลัวว่าพ่อจะหลีกลี้หนีหน้าไปจากชีวิตอีก
ทว่า...การที่ยอมรับทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้นั้นไม่ได้ช่วยให้เด็กหญิงได้บิดาคืนมาแต่อย่างใด เมื่อพศินเห็นบุตรสาวเข้ากับมารดาเลี้ยงได้ดี เขาก็ยิ่งทุ่มเทให้กับงาน เดินทางไปต่างประเทศเพื่อติดต่องานบ่อยครั้ง จนแทบนับวันที่อยู่ประเทศไทยได้ เมื่อผู้เป็นพ่อยิ่งห่างไกลออกไป อำนาจและความร้ายกาจของสราญรัตน์ก็เริ่มเข้าครอบคลุมบ้านอันเคยมีแต่ความสุขของอินทุภา เมื่อไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้เป็นสามี ความรักใคร่เอ็นดูในตัวลูกเลี้ยงก็หมดลงอย่างง่ายดาย สราญรัตน์เป็นคนโมโหร้าย ยามที่ไม่ได้ดั่งใจหรือมีอะไรมาขัดขวางก็ลงเอากับคนใกล้ตัว แม้กระทั่งเด็กอย่างอินทุภาก็ไม่เคยละเว้น
แม่หนูพยายามบอกบิดาหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีโอกาส ไม่เคยมีเวลา เรียกว่าแทบไม่เคยเห็นหน้าก็ว่าได้ ยิ่งเติบโต อินทุภาก็ยิ่งห่างเหินจากบิดา ความรักใคร่สนิทสนมระหว่างพ่อลูกบางเบาจนเกือบไม่มี แม้อาทิตย์ก่อนมีงานฉลองรับปริญญาของบุตรสาว พศินก็ไม่ได้กลับเมืองไทยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์ มีเพียงของขวัญราคาแพงระยับที่เขาหยิบยื่นผ่านมาทางสราญรัตน์พร้อมการ์ดแสดงความยินดี
“ยายไนท์ เธอได้ยินที่ฉันพูดบ้างไหมนี่?”
“คะ?” หญิงสาวหลุดจากภวังค์ความคิดของตนเอง หันกลับไปมองมารดาเลี้ยงด้วยสายตาว่างเปล่า
“เธอนี่มันซื่อบื้อจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ที่ฉันพูดๆไปนี่ไม่ได้เข้าหูเลยใช่ไหม?”
“ขอโทษค่ะ คุณสราญ” อินทุภาหลุดถ้อยคำที่เอ่ยบ่อยจนเกือบเป็นอัตโนมัติ ไม่ว่าอย่างไร หล่อนก็ไม่เคยทำอะไรถูกใจนางสักครั้ง
“ขอโทษอีกแล้ว เธอทำอะไรที่ดีกว่าขอโทษเป็นบ้างไหม?” นางเอ่ยถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ “ถ้ายังไม่ได้ยิน ก็ช่วยตั้งใจฟังด้วย เธอจะต้องไปบ้านคุณยายน้อยอาทิตย์หน้า”
“คะ?” หล่อนรับฟังด้วยอาการฉงน คุณยายน้อยที่สราญรัตน์เอ่ยถึงนั้นเป็นน้องสาวของคุณยายแท้ๆของอินทุภา ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับมารดาเลี้ยงแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดนางจึงสั่งให้หล่อนไปหากันเล่า “จะให้ไนท์ไปทำอะไรที่นั่นคะ?”
“ไปดูที่ดินที่นั่น มีคนบอกฉันว่า ที่ดินของคุณยายน้อยเธอน่ะ ทำเลดีมาก เหมาะจะซื้อมาทำเป็นรีสอร์ท แต่ติดที่ขอซื้อเท่าไหร่ก็ไม่ยอมขาย เธอไปดูซิว่ามันดีจริงไหม แล้วราคาเท่าไหร่ ทำยังไง คุณยายเธอถึงจะยอมขาย”
“แต่...ไนท์ไม่ได้ติดต่อคุณยายนานแล้ว” หล่อนอึกอัก หญิงสาวไม่สนิทสนมกับญาติทางฝ่ายมารดานัก ยายแท้ๆของอินทุภาเสียชีวิตไปนานแล้ว ญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่คือ คุณอุมาที่เป็นน้องสาวของคุณยาย แต่นางย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดหลายปีแล้ว นานๆจะติดต่อกันสักครั้ง
“ไม่ได้ติดต่อก็ติดต่อเสียสิ หาเรื่องอ้างเข้าสักเรื่อง”
“แต่...”
“ไม่มีแต่” สราญรัตน์สั่งเสียงเฉียบ “เธออยู่บ้านว่างๆมาหลายเดือนแล้ว ไม่ยอมทำมาหากิน จะเกาะพ่อเธอกินไปจนวันตายน่ะไม่ได้หรอกนะ เธอคิดว่ามรดกของพ่อเธอจะมีเท่าไหร่กัน”
อินทุภานิ่งเงียบแม้ใจจะอยากเอ่ยว่า ต่อให้ไม่ทำงานตลอดชีวิต หล่อนก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายได้ ถ้าสราญรัตน์ยอมให้หล่อนใช้เงินของพ่อ
เมื่อเห็นลูกเลี้ยงสาวไม่ตอบโต้ นางก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“นี่ถ้าเธอทำให้คุณยายของเธอขายที่ดินได้ ฉันจะแบ่งค่านายหน้าให้เธอด้วย ไม่แน่นะ ปะเหมาะเคราะห์ดีประจบคนแก่เข้า อาจจะยกให้เธอฟรีๆ ได้ข่าวว่าลูกผัวตายหมดนี่”
อินทุภากระพริบตาปริบกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับใส่สมอง หญิงสาวไม่เคยนึกถึงมรดกหรือทรัพย์สินอะไรจากคุณอุมาแม้แต่น้อย เพราะห่างเหินกันมานาน
อันที่จริงแล้ว อินทุภาอยู่ในช่วงเตรียมตัวเรียนต่อระดับปริญญาโท หญิงสาวขออนุญาตบิดาเรียบร้อย และเขาก็ยินดีจะส่งหล่อนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ หากติดที่ผลสอบทางภาษายังไม่อยู่ในระดับที่มหาวิทยาลัยต้องการ หล่อนจึงจำใจอยู่เมืองไทยเพื่อเรียนภาษาเพิ่มเติม แม้หญิงสาวจะเพียรขอไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศก่อน หากสราญรัตน์คัดค้านอย่างแข็งขัน นางอ้างว่าสิ้นเปลืองเปล่าๆ เพราะไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่า เมื่อไปเรียนที่ต่างประเทศแล้ว อินทุภาจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยดังๆได้
ถ้าจะไปเรียนต่างประเทศมันก็ควรจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆสิคะ ไม่ใช่ไปเรียนมหาวิทยาลัยห้องแถวที่เขารับเพราะเงินถึง ถ้าไม่ได้มหาวิทยาลัยที่ดี สราญว่าเรียนต่อที่เมืองไทยยังดีเสียกว่านะคะ เดี๋ยวนี้มหาลัยที่เมืองไทยมีหลักสูตรดีๆเยอะแยะ ถ้าไปเพื่อเรียนแต่ภาษา สราญว่ามันจะเสียเงินเสียเวลาไปเปล่าๆปลี้ๆ ให้ยายไนท์สอบผ่านก่อนดีกว่า แล้วค่อยไปเรียนทีเดียว
นางอ้างเสียแบบนั้น พศินเองก็เห็นดีเห็นงามด้วย หล่อนจึงต้องจับเจ่าอยู่เมืองไทย ออกไปเรียนภาษาวันละสองสามชั่วโมง จะออกไปเที่ยวเตร่มากมายก็ไม่ได้ เพราะสราญรัตน์จำกัดเงิน โดยอ้างว่า หล่อนแค่ไปเรียนพิเศษไม่กี่ชั่วโมง จะใช้เงินอะไรมากมาย
“ค่ะ”
อินทุภารับคำเสียงแผ่ว เอาเถอะ ออกจากบ้านไปพักสมองที่บ้านคุณยายน้อยก็ดี เผื่อว่าหล่อนจะมีลู่ทางอะไรที่จะหลีกหนีไปจากที่นี่ได้