บทนำ และบทที่ 1 :
http://ppantip.com/topic/33291401
บทที่ 2 :
http://ppantip.com/topic/33336819
บทที่ 3 :
http://ppantip.com/topic/33371077
================================
บทที่ 4
อากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศชั้นดีไม่ทำให้ใจที่ร้อนรุ่มของสราญรัตน์เย็นลงเลยแม้แต่น้อย นางกำลังหงุดหงิดที่ไม่มีความคืบหน้าจากลูกเลี้ยง โทร.ไปหาครั้งใดก็ได้ยินแต่เสียงตอบรับจากระบบฝากข้อความ อินทุภาอ้างว่า ระบบสัญญาณที่ไร่ไม่ดีนัก และไม่อยากให้ติดต่อทางโทรศัพท์บ้านสักเท่าใด เกรงว่าคุณนายอุมาจะระแวง สราญรัตน์ไม่ใช่คนที่รู้เรื่องเทคโนโลยีมาก จึงไม่รู้ว่าโดนหญิงสาวเล่นกลบล็อกเบอร์โทรศัพท์เสียแล้ว สักวันหรือสองวัน อินทุภาก็ปลดล็อกและติดต่อกลับบ้างเพื่อลดความคลางแคลงใจของอีกฝ่าย
“สวัสดีครับ พี่สราญ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น พร้อมชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทราคาแพง เขาส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะนั่งลงที่ด้านตรงข้าม “ขอโทษนะครับที่มาสาย”
“อุ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องขอโทษหรอก พี่มาเร็วเอง” สราญรัตน์เอ่ยพลางหัวเราะอย่างมีจริตดังเด็กสาว นางติดต่อค้าขายกับคเชนทร์มาได้หลายเดือนแล้ว เดิมทีแม่เลี้ยงของอินทุภาก็เป็นแค่แม่บ้านธรรมดา หากด้วยความที่ชอบเข้าสังคม เข้านอกออกในบ้านผู้ใหญ่เก่ง หลายคนจึงไหว้วานให้สราญรัตน์หาของเล็กๆน้อยๆให้โดยมีสินน้ำใจเป็นการตอบแทน ซึ่งสินน้ำใจที่ว่านั้นไม่น้อยเลยทีเดียว
คเชนทร์ส่งยิ้มเก๋ไก๋ที่คิดว่าเอาใจสาวแก่ได้มากที่สุดให้ เขารับเมนูอาหารจากพนักงานที่ตรงเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนมคุ้นเคย ชายหนุ่มกวาดตามองรายการตรงหน้าชี้นิ้วสั่งไปสองสามอย่าง ก่อนหันมาถามคนที่มารอเขาก่อนแล้ว
“พี่สราญสั่งอะไรไปบ้างหรือยังครับ”
“ยังเลยค่ะ รอคุณเรย์อยู่นี่ล่ะ”
“โธ่ ไม่จำเป็นต้องรอเลยครับ” ชายหนุ่มแกล้งบ่นเอาใจ สั่งอาหารเพิ่มให้พอสำหรับทั้งตัวเอง สราญรัตน์ และอีกคนที่จะมาร่วมโต๊ะ
“สั่งเยอะขนาดนั้น จะหมดหรือคะนั่น”
สราญรัตน์เอ่ยทักท้วง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจ
“เดี๋ยวจะมีคนมาร่วมโต๊ะเพิ่มน่ะครับ” คเชนทร์เอ่ยพลางยิ้มพรายอย่างมีเลศนัย จนสราญรัตน์มองด้วยความสนใจ นางรอให้บริกรเดินจากไปก่อนจึงถามด้วยความสงสัย
“จะมีใครมาหรือคะ?”
ครั้งก่อนคเชนทร์อ้างว่า การติดต่อค้าขายครั้งนี้ขอให้เป็นความลับไปก่อน เขาไม่อยากให้แพร่งพรายออกไปมากนักเพราะเกรงจะมีคนมาขอซื้อตัดหน้า สราญรัตน์จึงแปลกใจที่อีกฝ่ายเชิญแขกอื่นมาร่วมวงสนทนาด้วย
“คู่ค้าของผมเองครับ” ชายหนุ่มอธิบาย “ความจริงที่ๆผมฝากพี่สราญไปดู ไม่ได้เป็นของผมหรอกครับ คู่ค้าที่บริษัทเขาสอบถามมา เพราะเขาสนใจที่นี่มากๆ ถ้าสามารถติดต่อซื้อขายกันได้ เขายินดีจะจ่ายค่านายหน้าอย่างงามทีเดียว”
สราญรัตน์ตาลุกวาวกับคำอธิบายนั้น นี่แปลว่านางจะได้ติดต่อกับผู้ซื้อโดยตรง หญิงวัยกลางคนเห็นโอกาสที่จะได้ลูกค้ารายใหม่ เผลอๆ นางอาจจะได้ส่วนแบ่งโดยตรงชนิดที่ไม่ต้องแบ่งให้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี่เลยด้วยซ้ำ
“แหม ดีจังเลยนะคะ” นางเอ่ยอย่างเบิกบาน “พี่ชอบรู้จักกับคนใหม่ๆค่ะ”
ที่นางละไว้ในใจคือ ลูกค้าคนใหม่ แต่ดูเหมือนคเชนทร์ก็พอจะเดาความคิดของอีกฝ่ายออก เขาจึงหัวเราะเบาๆ เปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องสัพเพเหระอื่นๆแทน
ครั้นอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ หากคู่ค้าของคเชนทร์กลับไม่ปรากฏตัวเสียที ชายหนุ่มจึงขอตัวไปติดต่ออีกฝ่าย เขาเดินกลับมาพร้อมยิ้มโล่งใจ
“รถติดน่ะครับ เห็นบอกว่าใกล้ถึงแล้ว” ชายหนุ่มอธิบายให้สราญรัตน์ที่รอฟังคำตอบอยู่ “อ้าว นั่นไง มาแล้ว ทางนี้ครับคุณศาสวัต”
คเชนทร์ลุกขึ้นโบกไม้โบกมือให้ผู้ที่ก้าวเข้ามาในร้าน หากสราญรัตน์ที่หันมองตามอีกฝ่ายชะงักไป ชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ในชุดสีสูทดำสนิททั้งตัว ใบหน้าของเขางดงามราวเทพบรรจงปั้น เครื่องหน้าทุกส่วนรับกันเหมาะเจาะ หากส่วนที่เด่นที่สุดบนใบหน้าคงจะเป็นดวงตาสีดำสนิทที่ลึกจนไม่อาจหยั่งถึง ผมยาวสีดำรวบไว้ข้างหลังอย่างเรียบร้อย หูข้างหนึ่งประดับด้วยต่างหูนิลดำแบบเรียบๆ ทว่า...รัศมีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากร่างดึงดูดความสนใจจากทุกคนเป็นตาเดียว
ชายหนุ่มยิ้มเยื้อนน้อยๆ ยิ่งทำให้ใบหน้านั้นชวนมอง หญิงสาวหลายคนในห้องอาหารมองด้วยความหลงใหลในความงามหมดจดนั้น หากดูเหมือนเขาจะไม่สนใจใครเดินเรียบเรื่อยตรงมายังโต๊ะของคเชนทร์ ไม่มีทีท่าหรือหวั่นไหวไปกับสายตาที่จับจ้องราวกับคุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้
“ขอโทษนะครับที่มาสาย” หนุ่มรูปงามเอ่ยพลางค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงขออภัยอย่างคนมารยาทดี
สราญรัตน์ที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์สะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มนั้น นางรีบปั้นรอยยิ้มหวานหยดส่งให้(ว่าที่)ลูกค้ารายใหม่
“อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ เราเพิ่งมากันได้ไม่นาน”
“ใช่ครับ” คเชนทร์เสริมอย่างเอาใจ “พี่สราญครับ นี่คือคนที่ผมอยากแนะนำให้พี่รู้จัก คุณศาสวัตครับ”
ศาสวัต...ชื่อแปลก สราญรัตน์คิดอยู่ในใจ นางคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้อยู่สองสามครั้ง แม้จะไม่ทราบความหมาย หากความรู้สึกกลับบอกว่า ไม่มีนามไหนเหมาะสมกับคนๆนี้เท่านามนี้อีกแล้ว
นามอันเป็นนิรันดร...
จู่ๆคำนั้นก็แว่บเข้ามาในใจ หากสราญรัตน์ไม่มีเวลาทบทวนสิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมอง เพราะคเชนทร์เอ่ยแนะนำตัวนางเสียก่อน
“นี่พี่สราญครับ พี่เขาเป็นคนดูแลเรื่องซื้อที่ๆที่คุณศาสวัตอยากได้” เสียงของเขาแว่วเข้ามาในอนุสติ ปลุกให้นางตื่นจากความคิดวุ่นวายในสมอง
“สวัสดีครับ คุณสราญ” ชายหนุ่มเอ่ยทัก ก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ทำเอาสราญรัตน์ที่ยกมือเตรียมรับไหว้ รีบลดมือลงแทบไม่ทัน ตามปกตินางคงรู้สึกไม่พอใจกับท่าทางไว้ตัวนั้น หากเมื่อเป็นผู้ชายตรงหน้า...แค่เขาก้มลงทักทายก่อน ก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติมากแล้ว
“เรียกพี่สราญก็ได้ค่ะคุณศาสวัต ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“เชิญนั่งเลยครับคุณศาสวัต” คเชนทร์กุลีกุจอเชิญ “นี่อาหารเพิ่งมาเอง ไม่ทราบว่าจะถูกปากคุณหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นครับ” ศาสวัตตอบเสียงนุ่ม “ผมทานอะไรก็ได้”
“งั้นเชิญเลยครับ”
คเชนทร์ผายมือ เชิญให้อีกฝ่ายเริ่มลงมือรับประทานอาหาร ชายหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ เริ่มตักอาหารอย่างเงียบเชียบ ก่อนคเชนทร์จะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาเพื่อไม่ให้บนโต๊ะเงียบเหงาเกินไปนัก
“ของล็อตล่าสุดที่ผมส่งให้ คุณศาสวัตชอบไหมครับ?”
“ก็ดีครับ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ไม่เอ่ยอะไรต่อ หากดูเหมือนคเชนทร์จะชินกับบทสนทนาที่เหมือนเขาจะพูดคนเดียวอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงหันไปอธิบายให้สราญรัตน์ที่นั่งอยู่ด้วยฟังแทน
“คุณศาสวัตเขาชอบของเก่าน่ะครับ ผมมีลูกค้าหลายคนที่เขาสะสมไว้ พอมีปัญหา...” ชายหนุ่มละเรื่องการเงินไว้ไม่เอ่ยออกมา หากทุกคนก็ดูเหมือนจะเข้าใจกันดี “ก็อยากจะขายของที่สะสมไว้ขึ้นมา ผมก็เลยเอาไปเสนอให้คุณศาสวัตดู เผื่อจะชอบน่ะครับ”
“อุ๊ย คุณศาสวัตชอบของเก่าหรือคะ” นางอุทานอย่างตื่นเต้น เมื่อมีการค้าขายเข้ามาเกี่ยวข้อง สราญรัตน์ก็ลืมความรู้สึกแรกพบเสียสิ้น ในใจเริ่มใคร่ครวญว่า มีของชิ้นไหนที่จะขายได้บ้าง “ถ้าสนใจ พี่ขอเชิญไปที่บ้านได้เลยนะคะ มีคนชอบเอามาขายพี่ พี่สงสารเขา เห็นว่ามีปัญหามาก็รับซื้อไว้ ซื้อไปซื้อมาก็เลยเยอะแยะไปหมด แทบจะไม่มีที่เก็บแล้ว ถ้าคุณศาสวัตสนใจพี่ยินดียกให้ค่ะ”
สราญรัตน์ทำเป็นเอ่ยอย่างใจป้ำ นางตั้งใจว่า จะยกของที่ดูไม่มีราคาค่างวดให้สักสองสามชิ้น และหาทางขายของราคาแพงที่มีอยู่ไม่น้อยแทน บรรดาของสะสมในบ้านนั้น ส่วนมากเป็นของที่นางรับซื้อมาเพื่อเก็งกำไร หากพอเศรษฐกิจฝืดเคือง ก็หาคนรับซื้อได้ยากเต็มที ของหลายชิ้นที่มีมูลค่าสูงจึงค้างอยู่ในบ้าน ไม่สามารถขายได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนตอนเริ่มแรก
“ถ้าว่าง ผมอาจจะไปรบกวนครับ” ชายหนุ่มเอ่ยไม่ผูกมัดตัวเอง ก่อนถามประเด็นที่เขาสนใจ “เรื่องที่เป็นอย่างไรบ้างครับ ทางนั้นยินดีจะขายไหม?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ” สราญรัตน์ยืนยัน แม้จะไม่มั่นใจเท่าใดนัก นางตั้งใจว่าคืนนี้จะต้องติดต่อบุตรีเลี้ยงให้ได้ “ตอนนี้พี่ให้คนไปติดต่อแล้วค่ะ เขาบอกมาว่า อาจจะมีข่าวดีเร็วๆนี้”
“ยินดีที่ได้ยินอย่างนั้นครับ ถ้าสำเร็จเมื่อไหร่ ผมยินดีจะสมนาคุณอย่างงาม”
ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกึ่งเยาะหยัน ดวงตาที่มองสราญรัตน์ดูจะรู้เท่าทันอยู่ไม่น้อย หากดูเหมือนหญิงวัยกลางคนจะไม่รู้สึกตัว นางกำลังใจจดจ่ออยู่กับโบนัสที่จะได้เพิ่มเติมจากการทำงานในครั้งนี้
การสนทนาต่อจากนั้น ดูเหมือนจะมีเพียงคเชนทร์และสราญรัตน์ที่ชวนศาสวัตคุยและเอ่ยเอาอกเอาใจต่างๆนานา หากชายหนุ่มผู้เป็นแขกกลับทำเพียงยิ้ม และเอ่ยตอบบ้างเป็นบางคำถามที่เขาจะตอบเท่านั้น เขาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารอยู่ชั่วครู่ พลิกข้อมือขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีธุระต่อ”
“ว้า เสียดายจัง กำลังคุยกันสนุกเลยค่ะ” สราญรัตน์อุทานอย่างเสียดาย
“นั่นสิครับ” คเชนทร์เอ่ยสนับสนุน หากดูเหมือนศาสวัตจะไม่ใคร่ใส่ใจเท่าใดนัก ชายหนุ่มเรียกบริกรมาเก็บเงิน ส่งบัตรเครดิตที่มีวงเงินสูงสุดส่งให้
“มือนี้ผมขอเป็นเจ้ามือแล้วกันนะครับ” ชายในชุดดำสนิทเอ่ยยิ้มๆ ตวัดปากกาเซ็นชื่อลงบนบิล เขาหยิบธนบัตรใบสีม่วงวางลงบนสมุดสำหรับเซ็นบัตรเครดิตเป็นค่าทิป ก่อนส่งให้บริกรที่ยืนรอรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เขาพยักหน้าน้อยๆให้ผู้ร่วมโต๊ะอีกครั้ง ก่อนจะลุกจากโต๊ะเดินตรงไปยังทางออกโดยไม่สนใจสายตาของคนในร้านที่มองตามราวต้องมนต์
สราญรัตน์รอจนผู้เป็นลูกค้ารายใหม่ลับสายตาออกไปจากร้าน ก่อนจะเริ่มซักถามชายหนุ่มร่วมโต๊ะที่เหลืออย่างกระตือรือร้น
“คู่ค้าคุณเรย์คนนี้ ท่าทางกระเป๋าหนักจังเลยนะคะ”
“ก็พอตัวหรอกครับ” คเชนทร์เล่นลิ้น
“แต่...เอ คุณศาสวัตนี่เป็นใครเหรอคะ พี่ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อเลย”
นางรำพึงด้วยความแปลกใจ นายหน้าที่ชำนาญการติดต่อค้าขายกับบรรดาผู้มีเงินทั้งหลายอย่างสราญรัตน์รู้จักคนมากมาย ทั้งรวยจริง รวยปลอม รวยแต่เปลือก ทั้งเศรษฐีเก่าที่เหลือแต่เปลือก พยายามขายของเก่าบังหน้า และเศรษฐีใหม่ที่พยายามกว้านซื้อของเก่าเพื่อเอามายกฐานะตนเองให้มีราคาเท่าคนเก่า หากนางไม่เคยได้ยินชื่อชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน
“คุณศาสวัตเขาค่อนข้างเก็บตัวน่ะพี่สราญ ถ้าไม่ได้ทำธุรกิจร่วมกันก็ยากจะรู้จัก” คเชนทร์โอ่อย่างภูมิใจ “ผมก็ไม่รู้ประวัติแน่ชัดหรอกนะ แต่ลือกันว่า เขาร่ำรวยจากการเก็งหุ้น พอมีเงินมากเข้าก็เทคโอเวอร์บริษัทที่ดูจะเจ๊งแหล่มิเจ๊งแหล่ จากนั้นก็จ้างนักบริหารมืออาชีพมาจัดการ ตัวเองก็อยู่เฉยๆ กินกำไรจากบริษัทไป ผมเพิ่งรู้จักเขามาสองสามเดือนเอง บริษัทของคุณศาสวัตเขามาติดต่อขอซื้อสินค้าจากบริษัทผม แล้วพอดีเขาถามเรื่องของเก่า ผมก็เลยช่วยหาให้บ้าง”
“อ๋อ อย่างนี้เอง” นางพยักหน้ารับก่อนวิจารณ์ต่อ “คุณศาสวัตเขาก็ฉลาดดีนะคะ ถ้าทำแบบนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ลงทุนไม่มาก แล้วก็รอเก็บเงินอย่างเดียว”
“ใช่ครับ” คเชนทร์คล้อยตามในทันที “ผมประทับใจเขามากเลยนะ อยากทำอย่างเขาบ้างเหมือนกัน แต่ติดที่ว่า ผมไม่อยากยกบริษัทที่คุณพ่อสร้างมากับมือให้ใครบริหาร”
“แหม คุณเรย์นี่เป็นลูกกตัญญูจริงๆนะคะ” น้ำเสียงชื่นชมนั้นทำให้คเชนทร์ยิ้มกว้าง หากแสร้งปฏิเสธอย่างถ่อมตัว
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่ของที่พ่อแม่สร้างมา เราก็ไม่อยากทิ้งไปง่ายๆเท่านั้นเอง”
สราญรัตน์ยิ้มน้อยๆกับคำตอบสร้างภาพนั้น โถ พ่อคุณ นี่นึกว่าฉันโง่ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยหรือไง ไอ้บริษัทที่ว่ามานี่ เพิ่งตั้งขึ้นมาได้ไม่ถึงสามปีแท้ๆ แถมสถานะการเงินก็ย่อบแย่บพอดู หมุนเงินกันแทบไม่ทัน นี่ได้เงินจากการขายของเก่าให้คุณศาสวัตอะไรนี่ล่ะสิ ถึงได้มีเงินมาพยุงบริษัทไว้
แต่เอาเถอะ...ผลประโยชน์ร่วมกันยังมีอีกมาก นางก็เลยไม่รู้จะขัดคออีกฝ่ายไปทำไม!
= = = กลเทวา บทที่ 4 = = =
บทที่ 2 : http://ppantip.com/topic/33336819
บทที่ 3 : http://ppantip.com/topic/33371077
================================
บทที่ 4
อากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศชั้นดีไม่ทำให้ใจที่ร้อนรุ่มของสราญรัตน์เย็นลงเลยแม้แต่น้อย นางกำลังหงุดหงิดที่ไม่มีความคืบหน้าจากลูกเลี้ยง โทร.ไปหาครั้งใดก็ได้ยินแต่เสียงตอบรับจากระบบฝากข้อความ อินทุภาอ้างว่า ระบบสัญญาณที่ไร่ไม่ดีนัก และไม่อยากให้ติดต่อทางโทรศัพท์บ้านสักเท่าใด เกรงว่าคุณนายอุมาจะระแวง สราญรัตน์ไม่ใช่คนที่รู้เรื่องเทคโนโลยีมาก จึงไม่รู้ว่าโดนหญิงสาวเล่นกลบล็อกเบอร์โทรศัพท์เสียแล้ว สักวันหรือสองวัน อินทุภาก็ปลดล็อกและติดต่อกลับบ้างเพื่อลดความคลางแคลงใจของอีกฝ่าย
“สวัสดีครับ พี่สราญ” เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้น พร้อมชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทราคาแพง เขาส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะนั่งลงที่ด้านตรงข้าม “ขอโทษนะครับที่มาสาย”
“อุ๊ย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องขอโทษหรอก พี่มาเร็วเอง” สราญรัตน์เอ่ยพลางหัวเราะอย่างมีจริตดังเด็กสาว นางติดต่อค้าขายกับคเชนทร์มาได้หลายเดือนแล้ว เดิมทีแม่เลี้ยงของอินทุภาก็เป็นแค่แม่บ้านธรรมดา หากด้วยความที่ชอบเข้าสังคม เข้านอกออกในบ้านผู้ใหญ่เก่ง หลายคนจึงไหว้วานให้สราญรัตน์หาของเล็กๆน้อยๆให้โดยมีสินน้ำใจเป็นการตอบแทน ซึ่งสินน้ำใจที่ว่านั้นไม่น้อยเลยทีเดียว
คเชนทร์ส่งยิ้มเก๋ไก๋ที่คิดว่าเอาใจสาวแก่ได้มากที่สุดให้ เขารับเมนูอาหารจากพนักงานที่ตรงเข้ามาทักทายอย่างสนิทสนมคุ้นเคย ชายหนุ่มกวาดตามองรายการตรงหน้าชี้นิ้วสั่งไปสองสามอย่าง ก่อนหันมาถามคนที่มารอเขาก่อนแล้ว
“พี่สราญสั่งอะไรไปบ้างหรือยังครับ”
“ยังเลยค่ะ รอคุณเรย์อยู่นี่ล่ะ”
“โธ่ ไม่จำเป็นต้องรอเลยครับ” ชายหนุ่มแกล้งบ่นเอาใจ สั่งอาหารเพิ่มให้พอสำหรับทั้งตัวเอง สราญรัตน์ และอีกคนที่จะมาร่วมโต๊ะ
“สั่งเยอะขนาดนั้น จะหมดหรือคะนั่น”
สราญรัตน์เอ่ยทักท้วง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจ
“เดี๋ยวจะมีคนมาร่วมโต๊ะเพิ่มน่ะครับ” คเชนทร์เอ่ยพลางยิ้มพรายอย่างมีเลศนัย จนสราญรัตน์มองด้วยความสนใจ นางรอให้บริกรเดินจากไปก่อนจึงถามด้วยความสงสัย
“จะมีใครมาหรือคะ?”
ครั้งก่อนคเชนทร์อ้างว่า การติดต่อค้าขายครั้งนี้ขอให้เป็นความลับไปก่อน เขาไม่อยากให้แพร่งพรายออกไปมากนักเพราะเกรงจะมีคนมาขอซื้อตัดหน้า สราญรัตน์จึงแปลกใจที่อีกฝ่ายเชิญแขกอื่นมาร่วมวงสนทนาด้วย
“คู่ค้าของผมเองครับ” ชายหนุ่มอธิบาย “ความจริงที่ๆผมฝากพี่สราญไปดู ไม่ได้เป็นของผมหรอกครับ คู่ค้าที่บริษัทเขาสอบถามมา เพราะเขาสนใจที่นี่มากๆ ถ้าสามารถติดต่อซื้อขายกันได้ เขายินดีจะจ่ายค่านายหน้าอย่างงามทีเดียว”
สราญรัตน์ตาลุกวาวกับคำอธิบายนั้น นี่แปลว่านางจะได้ติดต่อกับผู้ซื้อโดยตรง หญิงวัยกลางคนเห็นโอกาสที่จะได้ลูกค้ารายใหม่ เผลอๆ นางอาจจะได้ส่วนแบ่งโดยตรงชนิดที่ไม่ต้องแบ่งให้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี่เลยด้วยซ้ำ
“แหม ดีจังเลยนะคะ” นางเอ่ยอย่างเบิกบาน “พี่ชอบรู้จักกับคนใหม่ๆค่ะ”
ที่นางละไว้ในใจคือ ลูกค้าคนใหม่ แต่ดูเหมือนคเชนทร์ก็พอจะเดาความคิดของอีกฝ่ายออก เขาจึงหัวเราะเบาๆ เปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องสัพเพเหระอื่นๆแทน
ครั้นอาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ หากคู่ค้าของคเชนทร์กลับไม่ปรากฏตัวเสียที ชายหนุ่มจึงขอตัวไปติดต่ออีกฝ่าย เขาเดินกลับมาพร้อมยิ้มโล่งใจ
“รถติดน่ะครับ เห็นบอกว่าใกล้ถึงแล้ว” ชายหนุ่มอธิบายให้สราญรัตน์ที่รอฟังคำตอบอยู่ “อ้าว นั่นไง มาแล้ว ทางนี้ครับคุณศาสวัต”
คเชนทร์ลุกขึ้นโบกไม้โบกมือให้ผู้ที่ก้าวเข้ามาในร้าน หากสราญรัตน์ที่หันมองตามอีกฝ่ายชะงักไป ชายหนุ่มผู้นั้นอยู่ในชุดสีสูทดำสนิททั้งตัว ใบหน้าของเขางดงามราวเทพบรรจงปั้น เครื่องหน้าทุกส่วนรับกันเหมาะเจาะ หากส่วนที่เด่นที่สุดบนใบหน้าคงจะเป็นดวงตาสีดำสนิทที่ลึกจนไม่อาจหยั่งถึง ผมยาวสีดำรวบไว้ข้างหลังอย่างเรียบร้อย หูข้างหนึ่งประดับด้วยต่างหูนิลดำแบบเรียบๆ ทว่า...รัศมีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากร่างดึงดูดความสนใจจากทุกคนเป็นตาเดียว
ชายหนุ่มยิ้มเยื้อนน้อยๆ ยิ่งทำให้ใบหน้านั้นชวนมอง หญิงสาวหลายคนในห้องอาหารมองด้วยความหลงใหลในความงามหมดจดนั้น หากดูเหมือนเขาจะไม่สนใจใครเดินเรียบเรื่อยตรงมายังโต๊ะของคเชนทร์ ไม่มีทีท่าหรือหวั่นไหวไปกับสายตาที่จับจ้องราวกับคุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้
“ขอโทษนะครับที่มาสาย” หนุ่มรูปงามเอ่ยพลางค้อมศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงขออภัยอย่างคนมารยาทดี
สราญรัตน์ที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์สะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มนั้น นางรีบปั้นรอยยิ้มหวานหยดส่งให้(ว่าที่)ลูกค้ารายใหม่
“อุ๊ย ไม่เป็นไรค่ะ เราเพิ่งมากันได้ไม่นาน”
“ใช่ครับ” คเชนทร์เสริมอย่างเอาใจ “พี่สราญครับ นี่คือคนที่ผมอยากแนะนำให้พี่รู้จัก คุณศาสวัตครับ”
ศาสวัต...ชื่อแปลก สราญรัตน์คิดอยู่ในใจ นางคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้อยู่สองสามครั้ง แม้จะไม่ทราบความหมาย หากความรู้สึกกลับบอกว่า ไม่มีนามไหนเหมาะสมกับคนๆนี้เท่านามนี้อีกแล้ว
นามอันเป็นนิรันดร...
จู่ๆคำนั้นก็แว่บเข้ามาในใจ หากสราญรัตน์ไม่มีเวลาทบทวนสิ่งที่ผุดขึ้นมาในสมอง เพราะคเชนทร์เอ่ยแนะนำตัวนางเสียก่อน
“นี่พี่สราญครับ พี่เขาเป็นคนดูแลเรื่องซื้อที่ๆที่คุณศาสวัตอยากได้” เสียงของเขาแว่วเข้ามาในอนุสติ ปลุกให้นางตื่นจากความคิดวุ่นวายในสมอง
“สวัสดีครับ คุณสราญ” ชายหนุ่มเอ่ยทัก ก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ทำเอาสราญรัตน์ที่ยกมือเตรียมรับไหว้ รีบลดมือลงแทบไม่ทัน ตามปกตินางคงรู้สึกไม่พอใจกับท่าทางไว้ตัวนั้น หากเมื่อเป็นผู้ชายตรงหน้า...แค่เขาก้มลงทักทายก่อน ก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติมากแล้ว
“เรียกพี่สราญก็ได้ค่ะคุณศาสวัต ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
“เชิญนั่งเลยครับคุณศาสวัต” คเชนทร์กุลีกุจอเชิญ “นี่อาหารเพิ่งมาเอง ไม่ทราบว่าจะถูกปากคุณหรือเปล่า?”
“ไม่เป็นครับ” ศาสวัตตอบเสียงนุ่ม “ผมทานอะไรก็ได้”
“งั้นเชิญเลยครับ”
คเชนทร์ผายมือ เชิญให้อีกฝ่ายเริ่มลงมือรับประทานอาหาร ชายหนุ่มพยักหน้ารับน้อยๆ เริ่มตักอาหารอย่างเงียบเชียบ ก่อนคเชนทร์จะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาเพื่อไม่ให้บนโต๊ะเงียบเหงาเกินไปนัก
“ของล็อตล่าสุดที่ผมส่งให้ คุณศาสวัตชอบไหมครับ?”
“ก็ดีครับ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ไม่เอ่ยอะไรต่อ หากดูเหมือนคเชนทร์จะชินกับบทสนทนาที่เหมือนเขาจะพูดคนเดียวอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงหันไปอธิบายให้สราญรัตน์ที่นั่งอยู่ด้วยฟังแทน
“คุณศาสวัตเขาชอบของเก่าน่ะครับ ผมมีลูกค้าหลายคนที่เขาสะสมไว้ พอมีปัญหา...” ชายหนุ่มละเรื่องการเงินไว้ไม่เอ่ยออกมา หากทุกคนก็ดูเหมือนจะเข้าใจกันดี “ก็อยากจะขายของที่สะสมไว้ขึ้นมา ผมก็เลยเอาไปเสนอให้คุณศาสวัตดู เผื่อจะชอบน่ะครับ”
“อุ๊ย คุณศาสวัตชอบของเก่าหรือคะ” นางอุทานอย่างตื่นเต้น เมื่อมีการค้าขายเข้ามาเกี่ยวข้อง สราญรัตน์ก็ลืมความรู้สึกแรกพบเสียสิ้น ในใจเริ่มใคร่ครวญว่า มีของชิ้นไหนที่จะขายได้บ้าง “ถ้าสนใจ พี่ขอเชิญไปที่บ้านได้เลยนะคะ มีคนชอบเอามาขายพี่ พี่สงสารเขา เห็นว่ามีปัญหามาก็รับซื้อไว้ ซื้อไปซื้อมาก็เลยเยอะแยะไปหมด แทบจะไม่มีที่เก็บแล้ว ถ้าคุณศาสวัตสนใจพี่ยินดียกให้ค่ะ”
สราญรัตน์ทำเป็นเอ่ยอย่างใจป้ำ นางตั้งใจว่า จะยกของที่ดูไม่มีราคาค่างวดให้สักสองสามชิ้น และหาทางขายของราคาแพงที่มีอยู่ไม่น้อยแทน บรรดาของสะสมในบ้านนั้น ส่วนมากเป็นของที่นางรับซื้อมาเพื่อเก็งกำไร หากพอเศรษฐกิจฝืดเคือง ก็หาคนรับซื้อได้ยากเต็มที ของหลายชิ้นที่มีมูลค่าสูงจึงค้างอยู่ในบ้าน ไม่สามารถขายได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนตอนเริ่มแรก
“ถ้าว่าง ผมอาจจะไปรบกวนครับ” ชายหนุ่มเอ่ยไม่ผูกมัดตัวเอง ก่อนถามประเด็นที่เขาสนใจ “เรื่องที่เป็นอย่างไรบ้างครับ ทางนั้นยินดีจะขายไหม?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ” สราญรัตน์ยืนยัน แม้จะไม่มั่นใจเท่าใดนัก นางตั้งใจว่าคืนนี้จะต้องติดต่อบุตรีเลี้ยงให้ได้ “ตอนนี้พี่ให้คนไปติดต่อแล้วค่ะ เขาบอกมาว่า อาจจะมีข่าวดีเร็วๆนี้”
“ยินดีที่ได้ยินอย่างนั้นครับ ถ้าสำเร็จเมื่อไหร่ ผมยินดีจะสมนาคุณอย่างงาม”
ริมฝีปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มกึ่งเยาะหยัน ดวงตาที่มองสราญรัตน์ดูจะรู้เท่าทันอยู่ไม่น้อย หากดูเหมือนหญิงวัยกลางคนจะไม่รู้สึกตัว นางกำลังใจจดจ่ออยู่กับโบนัสที่จะได้เพิ่มเติมจากการทำงานในครั้งนี้
การสนทนาต่อจากนั้น ดูเหมือนจะมีเพียงคเชนทร์และสราญรัตน์ที่ชวนศาสวัตคุยและเอ่ยเอาอกเอาใจต่างๆนานา หากชายหนุ่มผู้เป็นแขกกลับทำเพียงยิ้ม และเอ่ยตอบบ้างเป็นบางคำถามที่เขาจะตอบเท่านั้น เขาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารอยู่ชั่วครู่ พลิกข้อมือขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ
“ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีธุระต่อ”
“ว้า เสียดายจัง กำลังคุยกันสนุกเลยค่ะ” สราญรัตน์อุทานอย่างเสียดาย
“นั่นสิครับ” คเชนทร์เอ่ยสนับสนุน หากดูเหมือนศาสวัตจะไม่ใคร่ใส่ใจเท่าใดนัก ชายหนุ่มเรียกบริกรมาเก็บเงิน ส่งบัตรเครดิตที่มีวงเงินสูงสุดส่งให้
“มือนี้ผมขอเป็นเจ้ามือแล้วกันนะครับ” ชายในชุดดำสนิทเอ่ยยิ้มๆ ตวัดปากกาเซ็นชื่อลงบนบิล เขาหยิบธนบัตรใบสีม่วงวางลงบนสมุดสำหรับเซ็นบัตรเครดิตเป็นค่าทิป ก่อนส่งให้บริกรที่ยืนรอรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เขาพยักหน้าน้อยๆให้ผู้ร่วมโต๊ะอีกครั้ง ก่อนจะลุกจากโต๊ะเดินตรงไปยังทางออกโดยไม่สนใจสายตาของคนในร้านที่มองตามราวต้องมนต์
สราญรัตน์รอจนผู้เป็นลูกค้ารายใหม่ลับสายตาออกไปจากร้าน ก่อนจะเริ่มซักถามชายหนุ่มร่วมโต๊ะที่เหลืออย่างกระตือรือร้น
“คู่ค้าคุณเรย์คนนี้ ท่าทางกระเป๋าหนักจังเลยนะคะ”
“ก็พอตัวหรอกครับ” คเชนทร์เล่นลิ้น
“แต่...เอ คุณศาสวัตนี่เป็นใครเหรอคะ พี่ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อเลย”
นางรำพึงด้วยความแปลกใจ นายหน้าที่ชำนาญการติดต่อค้าขายกับบรรดาผู้มีเงินทั้งหลายอย่างสราญรัตน์รู้จักคนมากมาย ทั้งรวยจริง รวยปลอม รวยแต่เปลือก ทั้งเศรษฐีเก่าที่เหลือแต่เปลือก พยายามขายของเก่าบังหน้า และเศรษฐีใหม่ที่พยายามกว้านซื้อของเก่าเพื่อเอามายกฐานะตนเองให้มีราคาเท่าคนเก่า หากนางไม่เคยได้ยินชื่อชายหนุ่มผู้นี้มาก่อน
“คุณศาสวัตเขาค่อนข้างเก็บตัวน่ะพี่สราญ ถ้าไม่ได้ทำธุรกิจร่วมกันก็ยากจะรู้จัก” คเชนทร์โอ่อย่างภูมิใจ “ผมก็ไม่รู้ประวัติแน่ชัดหรอกนะ แต่ลือกันว่า เขาร่ำรวยจากการเก็งหุ้น พอมีเงินมากเข้าก็เทคโอเวอร์บริษัทที่ดูจะเจ๊งแหล่มิเจ๊งแหล่ จากนั้นก็จ้างนักบริหารมืออาชีพมาจัดการ ตัวเองก็อยู่เฉยๆ กินกำไรจากบริษัทไป ผมเพิ่งรู้จักเขามาสองสามเดือนเอง บริษัทของคุณศาสวัตเขามาติดต่อขอซื้อสินค้าจากบริษัทผม แล้วพอดีเขาถามเรื่องของเก่า ผมก็เลยช่วยหาให้บ้าง”
“อ๋อ อย่างนี้เอง” นางพยักหน้ารับก่อนวิจารณ์ต่อ “คุณศาสวัตเขาก็ฉลาดดีนะคะ ถ้าทำแบบนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ลงทุนไม่มาก แล้วก็รอเก็บเงินอย่างเดียว”
“ใช่ครับ” คเชนทร์คล้อยตามในทันที “ผมประทับใจเขามากเลยนะ อยากทำอย่างเขาบ้างเหมือนกัน แต่ติดที่ว่า ผมไม่อยากยกบริษัทที่คุณพ่อสร้างมากับมือให้ใครบริหาร”
“แหม คุณเรย์นี่เป็นลูกกตัญญูจริงๆนะคะ” น้ำเสียงชื่นชมนั้นทำให้คเชนทร์ยิ้มกว้าง หากแสร้งปฏิเสธอย่างถ่อมตัว
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่ของที่พ่อแม่สร้างมา เราก็ไม่อยากทิ้งไปง่ายๆเท่านั้นเอง”
สราญรัตน์ยิ้มน้อยๆกับคำตอบสร้างภาพนั้น โถ พ่อคุณ นี่นึกว่าฉันโง่ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยหรือไง ไอ้บริษัทที่ว่ามานี่ เพิ่งตั้งขึ้นมาได้ไม่ถึงสามปีแท้ๆ แถมสถานะการเงินก็ย่อบแย่บพอดู หมุนเงินกันแทบไม่ทัน นี่ได้เงินจากการขายของเก่าให้คุณศาสวัตอะไรนี่ล่ะสิ ถึงได้มีเงินมาพยุงบริษัทไว้
แต่เอาเถอะ...ผลประโยชน์ร่วมกันยังมีอีกมาก นางก็เลยไม่รู้จะขัดคออีกฝ่ายไปทำไม!