โรงเรียนอสูรโคลโบลท์ ตอนที่ 11

กระทู้สนทนา
หลังจากผ่านประตูมิติมาได้ดาริอุสก็พบว่าตัวเองอยู่ที่สนามสอบของโรงเรียนในเวลากลางคืน ดวงจันทร์ฉายแสงให้เห็นโครงร่างพร่ามัวของอาคารไกลออกไป ด้านซ้ายมือคือหอคอยมังกรและหอพักของสาขานักเรียกสัตว์ปิศาจ ทางซ้ายคือหอคอยตะวันและหอพักของสาขาผู้ใช้เวทมนตร์ ตรงหน้าไกลโพ้นคืนอาคารหลักตั้งทะมึนเหมือนหอคอยใหญ่

    หวังว่ายังไม่เลยเวลานะ ดาริอุสคิดพลางเดินกลับหอพัก รอบหอมีระบบป้องกันอยู่ คงต้องฝ่าเข้าไปหากเลยเวลายามสองแล้ว

    แล้วสิ่งที่กลัวก็เป็นจริง เส้นขีดหินอ่อนสีขาวเรืองแสงในเงามืดล้อมรอบหอพักเอาไว้อย่างแน่นหนา เขาไม่เคยเข้าไปทดสอบมันด้วยตัวเองเคยได้ยินแต่คำบอกเล่า และสภาพของคนที่ถูกผนึกเอาไว้รออาจารย์มาปล่อยตัว มันไม่ทำร้ายเขา แค่กักตัวเอาไว้จนกว่าจะมีคนมาพบเท่านั้นเอง

    ดาริอุสกลืนน้ำลายลงคอแล้วก้าวผ่านเส้นสีขาวไข่มุกเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาไม่อยากไปนอนในโรงมังกรหรือเรือนเพาะชำ จุดหมายของเขาคือห้องนอนในหอพักเท่านั้น

    เมื่อหันไปมองข้างหลังก็พบกลุ่มก้อนแสงสีขาวมัวๆ เหมือนวุ้นไร้รูปร่าง มันเคลื่อนมาหาเขาอย่างเงียบกริบ คงเป็นการทำงานของเส้นป้องกันแน่ ไม่ต้องให้มันเข้ามาใกล้มากกว่านี้เขาก็เริ่มใช้เวทมนตร์กับขาทั้งสองข้าง กระโดดไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังหมายหนีให้พ้น เจ้าสิ่งนั้นก็ตามมาอย่างว่องไว

    หลังจากเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับก้อนแสงสีขาวดาริอุสก็หาระเบียบห้องพักของตนเจอ กว่าจะตั้งป้อมกระโดดได้ก้อนแสงผนึกก็ลอยเข้ามาถึงข้อเท้าในทันใด ด้วยความตกใจทำให้เขากะระยะพลาดแทนที่จะร่อนลงระเบียงกลับไปไม่ถึง ได้แต่ห้อยโหนเกาะราวระเบียงห้องที่เปิดไฟตะเกียงวับแวม คาร์ลยังไม่นอนแน่

    ในวินาทีที่คิดว่าต้องเป็นที่อับอายแน่แล้วก็มีมือจากในห้องฉุดดึงเขาเข้าไปในระเบียงอย่างทุลักทุเล ก้อนแสงสีขาวลังเลอยู่ครู่เหมือนสูดดมกลิ่นแล้วก็ล่าถอยกลับไปที่เส้นรอบหอพักตามเดิม

    “เกือบไปแล้วนะ” คาร์ลผู้ช่วยดาริอุสเข้ามาในหอหอบเหนื่อย ท่าทางตื่นเต้นที่ได้เห็นเพื่อนร่วมห้องอีกครั้ง “เข้าไปคุยข้างในดีกว่าไหม”

    “ตอนนี้วันอะไรแล้ว” ดาริอุสถามด้วยความอยากรู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าใดแล้ว

    “คืนวันเสาร์ที่เจ้าเข้ารับการทดสอบอย่างไรละ ยังผ่านไปไม่ถึงวันเลย” คาร์ลนั่งบนที่นอนของตน “กำลังทำรายงานอยู่น่ะ”

    “ไม่ถึงวันหรือ ขอบคุณมากที่อยู่จนดึก ไม่งั้นข้าขายหน้าแน่”

    “แล้วผ่านหรือเปล่า”

    “ผ่านสิ!” ดาริอุสอยากเล่าเรื่องการผจญภัยในมิติสัตว์ปิศาจให้คาร์ลฟังจะแย่ แต่เห็นสภาพเพื่อนที่ง่วงเต็มทีก็ไม่อยากกวน “ขอบคุณที่ช่วยนะ”

    “ว่าจะนอนอยู่พอดี หากข้าไม่ออกไปสูดอากาศที่ระเบียงก็ไม่เห็นเจ้าหรอก” คาร์ลเลื่อนตะเกียงเล็กน้อยแล้วพับสมุดรายงานเก็บเข้าที่ “เตียงเจ้าโดนยึดไปแล้ว”

    “ใครยึด”

    คำถามของเขาได้รับคำตอบทันที มังกรดำสุดที่รักของเขาขึ้นไปนอนแอ้งแม้งบนที่นอนของเขาเสียแล้ว แถมกำลังแทะหมอนของเขาอย่างสนุกสุดขีดอีกด้วย! จะว่าไปช่วงนี้ดาริอุสเห็นมันมองมาทางที่นอนของเขาประจำ คงอยากขึ้นมาเอกเขนกข้างบนบ้างนี่เอง

    “ลงมาเดี๋ยวนี้เลย! ” ดาริอุสจัดแจงลากตัวครีดลงมาจากที่นอนของตน ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้รู้สึกว่ามันตัวหนักขึ้นเป็นเท่าตัว

    “คงผ่านการทดสอบด้วยดีใช่ไหม” คาร์ลอดห่วงไม่ได้ “เมื่อวานพูดกันยกใหญ่เลยเรื่องที่เจ้าไม่เข้าเรียน บ้างก็ว่าไปฝึกพิเศษ บ้างก็ว่าป่วยหนัก บ้างก็ว่าหนีกลับบ้านไปแล้ว”

    “แล้วเจ้าตอบว่าอย่างไร” ดาริอุสตบหมอนให้เข้าที่ เตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนพัก

    “หลับไม่ยอมตื่นน่ะสิ” คาร์ลหลุดหัวเราะ “เอาไว้คุยกันต่อพรุ่งนี้ดีกว่าข้าง่วงแล้ว ฝากปิดไฟด้วย” แล้วเขาก็หนีไปนอนก่อนดาริอุสจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ...


    วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดดาริอุสจึงอุทิศเวลาครึ่งวันบนที่นอน กระทั่งครีดมาออดอ้อนขออาหารจึงยอมตื่น มันแทะมือเขาไม่ยอมหยุดจนเจ้าของยอมแพ้เสียเอง คาร์ลก็ร่วมปลุกด้วยการโยนห่อของกินให้บนเตียง รีบทวงถามเรื่องเล่าระหว่างที่เข้าไปในมิติโลกปิศาจ

    “ขอเล่าไปกินไปนะ ยังอยากนอนต่ออยู่เลย” ดาริอุสกอดหมอนหลังจากให้อาหารมังกรเสร็จแล้ว หลังจากมันโดนไฟคลอกก็สงบเสงี่ยมลงสักหนึ่งในร้อยส่วน ไม่งับมือข้างที่ถือกริชแต่ไปงับอีกข้างแทน

    “ไปเอานิสัยงับมือมาจากไหนเนี่ย น่าตั้งชื่อแกว่างับมือนะ” ดาริอุสนวดมือเบาๆ เมื่อครีดได้ทานอาหารแล้วก็หันไปเล่นตุ๊กตาตัวโปรดที่เขาซื้อให้ทันที มันสูงเมตรกว่าได้แล้วแต่ยังติดเล่นเหมือนมังกรเด็กอยู่ เหมือนสุนัขตัวโตที่กระตือรือร้น

    “เอาไว้โตกว่านี้อีกล่ะมือขาดแน่” คาร์ลพูดทีเล่นทีจริง “เล่ามาได้แล้ว”

    ระหว่างทานอาหารเช้าดาริอุสก็เริ่มเล่า เริ่มตั้งแต่พบชายครึ่งนกอีกครั้ง ได้รับภารกิจและช่วยเหลือคนชื่อเดียวกัน ตบท้ายด้วยผู้บุกรุกโรงเรียนเมื่อวันก่อนเป็นคนสอนการใช้เวทมนตร์แบบใหม่ให้กับเขา คาร์ลตาลุกวาวเมื่อเห็นเขี้ยวมังกรที่ดาริอุสบอกว่ามันคือกุญแจของเขาเอง

    “เหมือนของทำมือมากกว่าของจริงจากปากมังกรนะ” คาร์ลออกความเห็น ชี้ให้ดาริอุสดูรูที่เจาะไว้ร้อยเชือกที่ส่วนที่น่าจะเป็นรากฟัน

    “ก็ของฝากน่ะสิ” ดาริอุสตอบ “ดรากานเขาให้ตอนเสร็จงาน เห็นว่าเป็นเครื่องหมายมิตรใหม่นี่ล่ะ”

    “แล้วไข่ไคมีร่านั่นล่ะ” แล้วคาร์ลก็เดินไปที่ชั้นหนังสือเพื่อหาหนังสืออ้างอิงเรื่องไคมีร่า “นี่ไง ในอดีตนานมาแล้วไคมีร่าเคยออกไข่ได้ ลักษณะของตัวลูกที่ฟักออกมาจะขึ้นอยู่กับจินตนาการของสิ่งที่สร้างมันขึ้นมา แต่วิธีฟักคงต้องถามอาจารย์เรนฟอร์ด”

    “แสดงว่ามันออกไข่ได้น่ะสิ แต่ตอนนี้ออกไข่ไม่ได้แล้ว”

    “ในหนังสืออ้างอิงบอกว่าไคมีร่าเป็นหมัน คงต้องถามอาจารย์แล้ว”

    “ลองถามเฟฟนิลดูก่อนไหม” ดาริอุสคิดออกแล้วว่าจะไปที่ไหนก่อนดีในวันพักผ่อนแบบนี้...


    “ในตำนานเมื่อหลายร้อยปีก่อนไคมีร่าออกไข่ได้ในบางสถานการณ์” เฟฟนิลเล่าให้พวกเขาฟังขณะจัดอุปกรณ์ในโรงมังกรให้เข้าที่เข้าทาง “พวกมันถูกสาปโดยผู้ใช้มนตร์ดำเพราะไปฆ่าลูกของนางโดยบังเอิญ เธอคงเจอกับคนใหญ่คนโตของมิตินั้นกระมัง”

    “แล้ววิธีฟักล่ะขอรับ”

    “ต้องถามอาจารย์เรนฟอร์ด เขาศึกษาเรื่องไคมีร่าโดยตรง” เฟฟนิลโยนกล่องใส่ของไปรวมกันมุมห้อง “แต่ผ่านการทดสอบเร็วจังนะ กุญแจของเจ้าคืออะไรหรือ”

    เฟฟนิลรับเขี้ยวมังกร กุญแจเปิดมิติของดาริอุสมาพิจารณาแล้วลงความเห็นว่ามันเป็นของเทียมทำด้วยเวทมนตร์ ไม่ใช่เขี้ยวมังกรจริงๆเพียงแต่มีรูปร่างคล้ายกันเท่านั้น สร้างจากไม้ชนิดหนึ่งที่แกร่งแข็งเหมือนกระดูก

    “เลวิสข้าต้องขอเตือนหากจะขี่มังกรบินบนท้องฟ้า” เฟฟนิลเข้าโหมดตักเตือนเพราะเห็นว่าครีดตัวใหญ่พอจะขี่ได้แล้ว “จะต้องติดอานและสายหนังให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันอันตรายของทั้งคนทั้งมังกร”

    “ข้าคิดจะรอให้มันโตกว่านี้อีกสักหน่อยขอรับ คงไม่ขึ้นบินตอนนี้หรอก” ดาริอุสมองครีดที่บินข้ามคอกมังกรอวดมังกรสาวตัวหนึ่ง

    “ระวังมันเล่นอะไรแผลงๆด้วยล่ะ ข้าเคยเล่าไปหรือยังว่าเคยพาอาจารย์เรนฟอร์ดของเจ้าบินตีลังกาสิบห้าตลบ สภาพเขาตอนนั้นดูไม่ได้เลยจริงๆ” เฟฟนิลหัวเราะคิกคัก

    “พวกอาจารย์อยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็กเลยหรือขอรับ”

    “เป็นสัญญาระหว่างเผ่ามังกรครึ่งมนุษย์กับตระกูลเรนฟอร์ด พวกเราจะมอบเด็กมังกรครึ่งมนุษย์ให้เป็นคู่หูของเด็กในตระกูล เป็นการตอบแทนที่ช่วยไม่ให้พวกเราสูญพันธุ์” นางมังกรครึ่งมนุษย์เล่าย่อๆ “ความจริงข้าจะต้องคอยเฝ้ารับใช้ แต่เพราะไปคบกับอาจารย์อเล็กซานเดรียข้าจึงต้องระเห็จมานอนโรงมังกร สองคนนั่นหวานเลี่ยนจนข้าทนไม่ไหว”

    “ทนอะไรไม่ไหวหรือเฟฟนิล!” อยู่ดีๆอาจารย์เรนฟอร์ดก็โผล่เข้ามาในโรงมังกร ดาริอุสกับคาร์ลโค้งเคารพ “เพราะเจ้ากับคัลวินชอบตั้งวงดื่มกันในห้องข้าประจำต่างหาก จึงไล่ให้มานอนโรงมังกรแทน...กลับมาเร็วดีนะเลวิส”

    “ขี่มังกรตลอดเลยขอรับอาจารย์ ส่วนเขี้ยวนี่คือกุญแจขอรับ”

    “ดีๆ พรุ่งนี้หลังเรียนตอนเช้าอาจารย์คัลวินว่างพอดี จะได้ฝึกต่อสู้จริงเสียที” อาจารย์เรนฟอร์ดทำให้ดาริอุสหน้าเสีย ภาพความจำตอนเวเบอร์เงื้อดาบใส่ตอนอยู่มิติสัตว์ปิศาจแว่บขึ้นมาชวนขนลุก “เฟฟนิลว่างไหม ข้าจะเข้าไปในเมืองหน่อย” อาจารย์เรนฟอร์ดหันไปคุยกับเฟฟนิล...

    “เล่าเรื่องระบบป้องกันให้ฟังอีกทีสิ” คาร์ลพูดถึงเรื่องเมื่อคืนระหว่างช่วยกันยกกระถางแถวยาวที่มัดรวมกันไว้ “ข้าเห็นมันแค่นิดเดียวก่อนที่จะหายไป”

    “เป็นเงาสีขาวๆไล่ตามไปเรื่อย หากหนีไม่ทันคงโดนจับไปแล้ว” ดาริอุสแก้มัดเชือกที่ผูกกระถางต้นไม้ไว้ด้วยกัน “ถ้าโดนจับคงเป็นแบบที่เราเคยเห็น อับอายไปครึ่งวัน”

    ทั้งคู่ยังจำได้ ว่าหลายวันก่อนมีรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งกลับหอดึกแล้วหนีเขตป้องกันไม่ทัน ต้องกลายเป็นหุ่นตัวตลกจนกว่าอาจารย์เรนฟอร์ดจะว่างมาปล่อยตัว

    “มีหลายคนเคยลองแล้วทำได้นะ อย่างเนอาร์ปีสองสาขาผู้ใช้เวท เป็นข่าวเกรียวกราวเลยละ” ดาริอุสพูดลอยๆ

    “แล้วตกลงเขตป้องกันนั่นมีไว้ทำไมกัน เหมือนกับทำให้เฮเลนทำงานหนักโดยใช่เหตุ” คาร์ลหัวเราะ คนคอยควบคุมเขตอาคมนั่นต้องเป็นเฮเลนแน่

    “นั่นสินะ” ดาริอุสพูดกับตัวเอง คิดถึงคำพูดของดรากานว่ากำลังไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง การปลดปล่อยเฮเลนอาจไม่จำเป็นต้องต่อกรกับอาจารย์ก็ได้

    แล้วเขาควรทำอย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายมาขอความช่วยเหลือ เขาไม่ใช่คนที่จะปล่อยดูดายกับเรื่องต่างๆได้ แต่ถ้าจะช่วยหมายความถึงการตั้งป้อมต่อสู้กับพวกอาจารย์ที่ผนึกเฮเลนเอาไว้ แถมเรื่องนี้ยังพูดให้ใครฟังไม่ได้อีกเพราะอาจเป็นอันตรายได้

    เมื่อผ่านโรงมังกรอีกครั้งตอนกลับไปอาหารเย็นทานก็พบเฟฟนิลอีก นางบอกให้ดาริอุสออกแบบไคมีร่าของตัวเอาเอาไว้ก่อน แล้วอาจารย์เรนฟอร์ดจะอธิบายให้ฟังอีกทีพรุ่งนี้

    “มังกรมันโหลไปไหม อย่างของอาจารย์เรนฟอร์ดยังเป็นกริฟฟินเลย” คาร์ลออกความเห็น

    “น่าประทับใจดีไม่ใช่หรือ” ดาริอุสนึกถึงไคมีร่าของรุ่นพี่คนหนึ่งตอนสอบจบ รูปร่างของมันเป็นมังกรมีปากอยู่ที่ท้อง ดูสง่างามและน่าเกรงขามแม้จะพ่ายไคมีร่าของอาจารย์แบบหลุดลุ่ยก็ตาม

    “อันดับแรกต้องบินได้” ดาริอุสเริ่ม

    “แล้วก็ต้องพ่นไฟ ยิงลำแสง แปลงร่าง” คาร์ลกับดาริอุสหัวเราะแล้วตกลงกันว่าจะไปวาดรูปร่างคร่าวๆเล่นตอนก่อนนอน...


    “วิธีฟักไข่ไคมีร่าคือการวาดภาพในหัวเพื่อกำหนดรูปร่าง แล้วออกคำสั่งกับมันในฐานะเจ้านาย” อาจารย์เรนฟอร์ดอธิบายหลังคาบเรียนวันจันทร์เช้า “จุดเริ่มต้นคือแก่นที่จะให้เป็นสัตว์ชนิดใดแบบใด จากนั้นก็ส่วนเสริมเล็กๆน้อยๆ อย่างของครูก็คือศพของกริฟฟินของพี่ชายครู จากนั้นก็ให้มันกินเลือดและเนื้อของสัตว์ชนิดอื่นที่จะดึงความสามารถมา”

    “อย่างนั้นข้าน้อยก็ต้องไปหาเลือดและเนื้อของสัตว์อื่นมาสิขอรับ”

    “ครูว่าไม่จำเป็น เพราะมันเป็นไข่จึงสามารถพัฒนาได้ด้วยตัวของมันเอง นั่นคือความพิเศษของไข่” อาจารย์ชี้แจง “แล้วมีนัดกับอาจารย์คัลวินไม่ใช่หรือ เดี๋ยวก็สายหรอก”

    อาจารย์คัลวินอภัยให้ดาริอุสที่มาพบสายกว่าที่นัดเอาไว้ สนามมุมที่เขาใช้ซ้อมสู้กับอาจารย์นั้นว่างเปล่า หากไกลออกไปอาจารย์อเล็กซานเดรียกำลังสองเด็กนักเรียนอยู่

    “วันนี้ครูจะทดสอบว่าเธอฝึกการใช้เวทมนตร์ชำนาญพอหรือยัง นี่คือกำไลผู้สาบสูญ” อาจารย์คัลวินยกข้อมือให้ดูกำไลที่อาจารย์เคยสวมตอนงานประลองของโรงเรียน ดาริอุสมองตาปริบๆไม่เข้าใจว่าทำไมอาจารย์ต้องสวมมันเอาไว้ด้วยในเมื่อมันลดพลังของผู้สวมใส่ลงเหลือหนึ่งในยี่สิบ

    “ครูกับเธอจะสู้กัน ถ้าเธอทำให้ครูลงไปกองกับพื้นไม่ได้ก็ต้องสู้ต่อจนกว่าจะทำให้ได้ ถึงจะต้องใช้เวลาทั้งวันก็ตาม ตอนบ่ายครูขอเอาไว้แล้วให้เธอได้ฝึกซ้อม” อาจารย์ทำให้ดาริอุสยิ้มแห้ง ถึงอาจารย์จะใส่กำไลลดพลังแต่ก็ยังเก่งกว่าเขาอยู่ดี “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ การทำให้อีกฝ่ายล้มได้ไม่จำเป็นต้องมีพลังมากกว่าเท่านั้นหรอกนะ”

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่