คำถาม จุติจิต ดวงสุดท้ายของจิตทั้งหมดของพระอรหันต์ กำลังเป็นไป จุติจิตนั้น ชื่อว่ากำลังเกิดเพราะถึงอุปาทขณะ มิใช่กำลังดับเพราะยังไม่ถึงภังคขณะ แต่จิตของพระอรหันต์เหล่านั้น ชื่อว่า จักดับเพราะถึงภังคขณะ ต่อจากนั้น จิตอื่น ชื่อว่าจักไม่เกิดขึ้นเพราะมิได้ทำปฏิสนธิ หมายถึงอย่างไรในทัศนะของท่าน?
ดังเนื้อความที่ยกมาข้างล่าง
..............................................................................................................................................................................................
บัณฑิตพึงทราบคำปุจฉาเป็นทวีคูณแต่ยมก และอรรถเป็นทวี
คูณแต่ปุจฉานั้น. ก็ในจิตตยมกนี้ มียมกหลายพัน โดยเอาวาระทั้ง ๓
นี้ คูณด้วยบท ๑๖ บท ด้วยอำนาจสราคบทเป็นต้น และคูณด้วย
๒๖๖ บท ด้วยอำนาจกุศลบทเป็นต้น ฯ ก็พระบาลีท่านย่อไว้ว่า ตโต
ทิคุณา ปุจฺฉา ตโต ทิคุณา อตฺถา จ โหนฺติ แปลว่า ปุจฉา
ทวีคูณแต่ยมกนั้น อรรถ ( วิสัชนา ) ก็ทวีคูณแต่ปุจฉานั้น ดังนี้
บัณฑิตพึงทราบการกำหนดบาลีในจิตตยมกนี้ก่อน ดังพรรณนามา
ฉะนี้.
มาติกาฐปนวาระ จบ
วิสัชนาวาระ ( นิทเทส )
บัดนี้ เพื่อทรงวิสัชนาบทมาติกาโดยลำดับตามที่ตั้งไว้ พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงทรงเริ่ม คำว่า ยสฺส จิตฺต อุปฺปชฺชติ น นิรุชฺฌติ
ตสฺส จิตฺต นิรุชฺฌิสฺสติ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อุปฺปชฺชติ แปลว่า กำลังเกิดเพราะถึงพร้อมด้วยอุปปาทขณะ.
บทว่า น นิรุชฺฌติ แปลว่า มิใช่กำลังดับ เพราะยังไม่ถึงนิโรธขณะ.
สองบทว่า ตสฺส จิตฺตสฺส ความว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า จำเดิมแต่นั้น จิตของบุคคลนั้น จักดับ
จักไม่เกิดใช่ไหม ดังนี้.
สองบทว่า เตส จิตฺต ความว่า อุปปาทขณะ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 861
แห่งจุติจิตของดวงสุดท้ายของจิตทั้งหมด ของพระขีณาสพเหล่าใด ผู้มี
วัฏฏทุกข์อันขาดแล้ว กำลังเป็นไป
จุติจิตนั้นนั่นแหละ ของพระ-
ขีณาสพเหล่านั้น ชื่อว่า กำลังเกิดเพราะถึงอุปาทะ มิใช่กำลังดับเพราะ
ยังไม่ถึงภังคขณะ. แต่บัดนี้ จิตของพระขีณาสพเหล่านั้น ชื่อว่า จักดับ
เพราะถึงภังคขณะ. ต่อจากนั้น จิตอื่น ชื่อว่า จักไม่เกิดขึ้นเพราะมิได้
ทำปฏิสนธิ. บทว่า อิตเรส ได้แก่ จิตของพระเสกขะและปุถุชน
ที่เหลือเว้นพระขีณาสพผู้ถึงพร้อมด้วยปัจฉิมจิต.
สองบทว่า นิรุชฺฌิสฺสติ เจว อุปฺปชฺชิสฺสติ จ ความว่า จิตนั้นใด ถึงอุปปาทขณะ
จิตนั้นนั่นแหละ จักดับไป. ส่วนจิตอื่น จักเกิดด้วย จักดับด้วย ในอัตภาพนั้น หรือว่าในอัตตภาพอื่น
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาจิตของพระขีณาสพนั้นนั่นแหละ. ในปุจฉาวิสัชนาที่ ๒
จึงตรัสว่า อามันตา ดังนี้.
สองบทว่า นุปฺปชฺชติ นิรุชฺฌิสฺสติ
ได้แก่ ปัจฉิมจิตของพระอรหันต์ในภังคขณะบ้าง จิตที่กำลังดับของบุคคล
ที่เหลือบ้าง. ก็จำเดิมแต่จิตนั้นมา ใคร ๆ อาจกล่าวว่า จิตของพระ-
อรหันต์จักไม่ดับก่อน แต่ไม่อาจกล่าวว่าจักเกิด. ใคร ๆ อาจกล่าวว่า
จิตของบุคคลที่เหลือ จักเกิด จักไม่อาจกล่าว่า จักไม่ดับ. เพราะฉะนั้น
พระองค์จึงทรงปฏิเสธว่า โน ดังนี้.
ในทุติยปัญหา จิตของบุคคลใด จักไม่ดับ แต่จักเกิด บุคคล
นั้นแหละมิได้มี เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงห้ามด้วยคำว่า นตฺถิ
( ปฏิกเขปวิสัชนา) ดังนี้.
http://www.tripitaka91.com/91book/book83/851_900.htm#860
จุติจิต ของพระอรหันต์
ดังเนื้อความที่ยกมาข้างล่าง
..............................................................................................................................................................................................
บัณฑิตพึงทราบคำปุจฉาเป็นทวีคูณแต่ยมก และอรรถเป็นทวี
คูณแต่ปุจฉานั้น. ก็ในจิตตยมกนี้ มียมกหลายพัน โดยเอาวาระทั้ง ๓
นี้ คูณด้วยบท ๑๖ บท ด้วยอำนาจสราคบทเป็นต้น และคูณด้วย
๒๖๖ บท ด้วยอำนาจกุศลบทเป็นต้น ฯ ก็พระบาลีท่านย่อไว้ว่า ตโต
ทิคุณา ปุจฺฉา ตโต ทิคุณา อตฺถา จ โหนฺติ แปลว่า ปุจฉา
ทวีคูณแต่ยมกนั้น อรรถ ( วิสัชนา ) ก็ทวีคูณแต่ปุจฉานั้น ดังนี้
บัณฑิตพึงทราบการกำหนดบาลีในจิตตยมกนี้ก่อน ดังพรรณนามา
ฉะนี้.
มาติกาฐปนวาระ จบ
วิสัชนาวาระ ( นิทเทส )
บัดนี้ เพื่อทรงวิสัชนาบทมาติกาโดยลำดับตามที่ตั้งไว้ พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงทรงเริ่ม คำว่า ยสฺส จิตฺต อุปฺปชฺชติ น นิรุชฺฌติ
ตสฺส จิตฺต นิรุชฺฌิสฺสติ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า อุปฺปชฺชติ แปลว่า กำลังเกิดเพราะถึงพร้อมด้วยอุปปาทขณะ.
บทว่า น นิรุชฺฌติ แปลว่า มิใช่กำลังดับ เพราะยังไม่ถึงนิโรธขณะ.
สองบทว่า ตสฺส จิตฺตสฺส ความว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า จำเดิมแต่นั้น จิตของบุคคลนั้น จักดับ
จักไม่เกิดใช่ไหม ดังนี้.
สองบทว่า เตส จิตฺต ความว่า อุปปาทขณะ
พระอภิธรรมปิฎก ยมก เล่ม ๕ ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 861
แห่งจุติจิตของดวงสุดท้ายของจิตทั้งหมด ของพระขีณาสพเหล่าใด ผู้มี
วัฏฏทุกข์อันขาดแล้ว กำลังเป็นไป จุติจิตนั้นนั่นแหละ ของพระ-
ขีณาสพเหล่านั้น ชื่อว่า กำลังเกิดเพราะถึงอุปาทะ มิใช่กำลังดับเพราะ
ยังไม่ถึงภังคขณะ. แต่บัดนี้ จิตของพระขีณาสพเหล่านั้น ชื่อว่า จักดับ
เพราะถึงภังคขณะ. ต่อจากนั้น จิตอื่น ชื่อว่า จักไม่เกิดขึ้นเพราะมิได้
ทำปฏิสนธิ. บทว่า อิตเรส ได้แก่ จิตของพระเสกขะและปุถุชน
ที่เหลือเว้นพระขีณาสพผู้ถึงพร้อมด้วยปัจฉิมจิต.
สองบทว่า นิรุชฺฌิสฺสติ เจว อุปฺปชฺชิสฺสติ จ ความว่า จิตนั้นใด ถึงอุปปาทขณะ
จิตนั้นนั่นแหละ จักดับไป. ส่วนจิตอื่น จักเกิดด้วย จักดับด้วย ในอัตภาพนั้น หรือว่าในอัตตภาพอื่น
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาจิตของพระขีณาสพนั้นนั่นแหละ. ในปุจฉาวิสัชนาที่ ๒
จึงตรัสว่า อามันตา ดังนี้.
สองบทว่า นุปฺปชฺชติ นิรุชฺฌิสฺสติ
ได้แก่ ปัจฉิมจิตของพระอรหันต์ในภังคขณะบ้าง จิตที่กำลังดับของบุคคล
ที่เหลือบ้าง. ก็จำเดิมแต่จิตนั้นมา ใคร ๆ อาจกล่าวว่า จิตของพระ-
อรหันต์จักไม่ดับก่อน แต่ไม่อาจกล่าวว่าจักเกิด. ใคร ๆ อาจกล่าวว่า
จิตของบุคคลที่เหลือ จักเกิด จักไม่อาจกล่าว่า จักไม่ดับ. เพราะฉะนั้น
พระองค์จึงทรงปฏิเสธว่า โน ดังนี้.
ในทุติยปัญหา จิตของบุคคลใด จักไม่ดับ แต่จักเกิด บุคคล
นั้นแหละมิได้มี เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงห้ามด้วยคำว่า นตฺถิ
( ปฏิกเขปวิสัชนา) ดังนี้.
http://www.tripitaka91.com/91book/book83/851_900.htm#860