พระอรหันต์สิ้นชีพแล้วเป็นอย่างไร
จริมจิต จริมกจิต จริมวิญญาณ จริมกวิญญาณ มีความหมายอย่างเดียวกัน คือแปลว่า จิตสุดท้าย หรือวิญญาณสุดท้าย (บางทีแปลแถมเข้าให้ชัดขึ้นว่า จิตดวงสุดท้ายในภพ) หมายถึงจุติจิต หรือจุติวิญญาณของพระอรหันต์ หรือเรียกนัยหนึ่งว่า ปรินิพพานจิต คือจิตสุดท้ายที่สิ้นชีวิตของพระอรหันต์ หรือจิตขณะที่ปรินิพพาน (ดู วินย.ฏีกา ๒/๔; และฎีกาแห่งทีฆนิกาย ฉบับอักษรพม่า ๑/๓๖๔; ๒/๑๖๑, ๔๑๙ ฉบับอักษรไทยขณะเขียนนี้ ยังไม่ได้พิมพ์)
คำว่า “จริมวิญญาณ” มีใช้ครั้งแรกในจูฬนิทเทส ซึ่งเป็นคัมภีร์ชั้นรองในพระไตรปิฎก ดังความว่า “เมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสปรินิพพานธาตุนั้น เพราะความดับไปแห่งจริมวิญญาณ ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาและสติ นามและรูปย่อมดับ คือสงบ ถึงความไม่ตั้งอยู่ ระงับไป ณ ที่นี้” (ขุ.จู.๓๐/๘๙/๒๓ อธิบาย ขุ.สุ.๒๕/๔๒๕/๕๓๑ อ้างใน สงฺคณี อ. ๓๖๕) (พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย หน้า ๔๒๑)
ปัญหาสำคัญที่มักหนีไม่พ้น เมื่อพูดเรื่องนิพพาน คือ พระอรหันต์ สิ้นชีพแล้ว เป็นอย่างไร หรือว่า ผู้บรรลุนิพพานตายแล้วเป็นอย่างไร ยังมีอยู่ต่อไปหรือไม่ ดังนี้เป็นต้น (พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย หน้า ๕๐๔)
ตอบว่า ภาวะนิพพาน ก็ดำรงอยู่แห่งนิพพาน ไม่มีข้ออื่นมาสนับสนุน ไม่เหมือนอย่างอื่นว่าจะต้องมีเหตุมาสนับสนุนอย่างนั้น จึงเป็นผลเช่นนี้ เขาเป็นเหตุเป็นผลในตัวของเขาเลย เลยว่าไม่มีอะไร จึงใช้คำว่า ตถตา เป็นเช่นนั้นเอง จะว่ายั่งยืนก็ไม่ได้ จะว่าขาดสูญก็ไม่ได้
จะยึดว่ามีก็ไม่ได้ จะยึดว่าไม่มีก็ไม่ได้อีก จะบอกว่าข้างใดข้างหนึ่งก็ไม่ได้ ต้องยึดไว้ตรงกลาง คือ เป็นเช่นนั้นเอง ของนิพพาน เรียกว่า ตถตา ไม่มีคำมาวัดว่าเป็นกลางหรือไม่เป็นกลาง เป็นเช่นนั้นเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า "ตถาคต"
จุติจิต คือ จิตอันนี้เป็นตัวดวงสุดท้ายของสังขารนั้นๆ ก่อนสังขารนั้นจะดับแล้วก็จะเปลี่ยน
ถ้าเป็นของพระอรหันต์ก็เหมือนกัน สุดท้ายที่ท่านจะเปลี่ยนจากปุถุชนไปเป็นพระอรหันต์ คือ จิตที่ส่งให้ท่านไปเป็นพระอรหันต์ อันนั้นเป็นปัจจัยเหตุ เหตุอันควรที่จะส่งให้เราไปไหน
สมมติว่าเราสร้างกุศลแรงดี ก็จะส่งเราไปสู่ภพภูมิที่ดี
แล้วเรามาเรียนจุติจิตนี้ทำไม?
ก่อนที่เราจิตจะดับขอให้ตั้งมั่นในจิตอันเป็นกุศล เช่น ก่อนตาย ทำไมคนโบราณถึงให้รำลึกสิ่งที่เป็นกุศล เขาจะได้ไปสู่สุคติ บางครั้งเขาทำแล้วก็ลืมไป ก็ไปทำให้เขารำลึกถึง สุดท้ายก็ส่งเขาไปสู่ภพภูมิที่ดี
ถ้าอย่างนั้นในธรรมก็ไม่ยุติธรรมนั่นสิ?
ยุติธรรมให้ แต่ภาวะธรรมนั้นเราต้องไปเคลียร์ เหมือนกับส่งไปรษณีย์ผิด เราก็ต้องไปเคลียร์ที่ไปรษณีย์เพราะเขาเก็บไว้ให้อยู่ เราก็เรียกร้องได้ ไปสอบถามได้ ไม่ใช่สูญหายไป
มีไหม? ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเคลียร์ได้?
ก็แล้วแต่วาสนา แล้วแต่ปัจจัยเหตุที่จะเกิดสัปปายะ
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต
พระอรหันต์สิ้นชีพแล้วเป็นอย่างไร
จริมจิต จริมกจิต จริมวิญญาณ จริมกวิญญาณ มีความหมายอย่างเดียวกัน คือแปลว่า จิตสุดท้าย หรือวิญญาณสุดท้าย (บางทีแปลแถมเข้าให้ชัดขึ้นว่า จิตดวงสุดท้ายในภพ) หมายถึงจุติจิต หรือจุติวิญญาณของพระอรหันต์ หรือเรียกนัยหนึ่งว่า ปรินิพพานจิต คือจิตสุดท้ายที่สิ้นชีวิตของพระอรหันต์ หรือจิตขณะที่ปรินิพพาน (ดู วินย.ฏีกา ๒/๔; และฎีกาแห่งทีฆนิกาย ฉบับอักษรพม่า ๑/๓๖๔; ๒/๑๖๑, ๔๑๙ ฉบับอักษรไทยขณะเขียนนี้ ยังไม่ได้พิมพ์)
คำว่า “จริมวิญญาณ” มีใช้ครั้งแรกในจูฬนิทเทส ซึ่งเป็นคัมภีร์ชั้นรองในพระไตรปิฎก ดังความว่า “เมื่อพระอรหันต์ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสปรินิพพานธาตุนั้น เพราะความดับไปแห่งจริมวิญญาณ ธรรมเหล่านี้ คือ ปัญญาและสติ นามและรูปย่อมดับ คือสงบ ถึงความไม่ตั้งอยู่ ระงับไป ณ ที่นี้” (ขุ.จู.๓๐/๘๙/๒๓ อธิบาย ขุ.สุ.๒๕/๔๒๕/๕๓๑ อ้างใน สงฺคณี อ. ๓๖๕) (พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย หน้า ๔๒๑)
ปัญหาสำคัญที่มักหนีไม่พ้น เมื่อพูดเรื่องนิพพาน คือ พระอรหันต์ สิ้นชีพแล้ว เป็นอย่างไร หรือว่า ผู้บรรลุนิพพานตายแล้วเป็นอย่างไร ยังมีอยู่ต่อไปหรือไม่ ดังนี้เป็นต้น (พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย หน้า ๕๐๔)
ตอบว่า ภาวะนิพพาน ก็ดำรงอยู่แห่งนิพพาน ไม่มีข้ออื่นมาสนับสนุน ไม่เหมือนอย่างอื่นว่าจะต้องมีเหตุมาสนับสนุนอย่างนั้น จึงเป็นผลเช่นนี้ เขาเป็นเหตุเป็นผลในตัวของเขาเลย เลยว่าไม่มีอะไร จึงใช้คำว่า ตถตา เป็นเช่นนั้นเอง จะว่ายั่งยืนก็ไม่ได้ จะว่าขาดสูญก็ไม่ได้
จะยึดว่ามีก็ไม่ได้ จะยึดว่าไม่มีก็ไม่ได้อีก จะบอกว่าข้างใดข้างหนึ่งก็ไม่ได้ ต้องยึดไว้ตรงกลาง คือ เป็นเช่นนั้นเอง ของนิพพาน เรียกว่า ตถตา ไม่มีคำมาวัดว่าเป็นกลางหรือไม่เป็นกลาง เป็นเช่นนั้นเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า "ตถาคต"
จุติจิต คือ จิตอันนี้เป็นตัวดวงสุดท้ายของสังขารนั้นๆ ก่อนสังขารนั้นจะดับแล้วก็จะเปลี่ยน
ถ้าเป็นของพระอรหันต์ก็เหมือนกัน สุดท้ายที่ท่านจะเปลี่ยนจากปุถุชนไปเป็นพระอรหันต์ คือ จิตที่ส่งให้ท่านไปเป็นพระอรหันต์ อันนั้นเป็นปัจจัยเหตุ เหตุอันควรที่จะส่งให้เราไปไหน
สมมติว่าเราสร้างกุศลแรงดี ก็จะส่งเราไปสู่ภพภูมิที่ดี
แล้วเรามาเรียนจุติจิตนี้ทำไม?
ก่อนที่เราจิตจะดับขอให้ตั้งมั่นในจิตอันเป็นกุศล เช่น ก่อนตาย ทำไมคนโบราณถึงให้รำลึกสิ่งที่เป็นกุศล เขาจะได้ไปสู่สุคติ บางครั้งเขาทำแล้วก็ลืมไป ก็ไปทำให้เขารำลึกถึง สุดท้ายก็ส่งเขาไปสู่ภพภูมิที่ดี
ถ้าอย่างนั้นในธรรมก็ไม่ยุติธรรมนั่นสิ?
ยุติธรรมให้ แต่ภาวะธรรมนั้นเราต้องไปเคลียร์ เหมือนกับส่งไปรษณีย์ผิด เราก็ต้องไปเคลียร์ที่ไปรษณีย์เพราะเขาเก็บไว้ให้อยู่ เราก็เรียกร้องได้ ไปสอบถามได้ ไม่ใช่สูญหายไป
มีไหม? ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเคลียร์ได้?
ก็แล้วแต่วาสนา แล้วแต่ปัจจัยเหตุที่จะเกิดสัปปายะ
^_^ ..._/\_... ^_^
ขอความเคารพ หากผู้รู้มีสิ่งชี้แนะ น้อมรับฟังเสมอ และขอความกรุณาแย้ง ชี้แจง ชี้แนะ แม้แต่ต้องการให้เพิ่มเติมสิ่งใด ก็ขอได้บอกกล่าวมา
อ.พรหมสิทธิ์ ทิพย์ธาดาวงศ์
เอื้อ-เกื้อ-กัน เป็นกัลยาณมิตรทุกขณะจิต