๒๔. พระอรหันต์นิพพานแล้วเหลือแต่จิตบริสุทธิ์หรือ
ถาม ผมอยากทราบว่า
ตามหลักอภิธรรมกล่าวว่าจิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่ครับ
ถ้าใช่อย่างนั้น เวลาบรรลุเป็นพระอรหันต์
และดับขันธ์ปรินิพพานเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ทั้ง ๕ ดับหมด
ก็สูญหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างนะสิครับ หรือความจริงเป็นอย่างไร
ตอบ
ตามหลักอภิธรรมกล่าวว่าจิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน ไม่ใช่
จิตคือธาตุรู้ วิญญาณขันธ์คือกองของธรรมชาติที่รู้
จิตอยู่ในส่วนของกองวิญญาณ
แต่กองวิญญาณไม่ใช่จิต
ตามหลักอภิธรรมเขียนเพื่อการเรียนการสอน
แยกขันธ์5เป็นกองๆๆเพื่อไม่ให้สับสน
ยกตัวอย่างเช่นในยมก
รูปเป็นรูปขันธ์
แต่รูปขันธ์ไม่เป็นรูปก็มี
จิตมีขันธ์5
นิพพานขันธ์5ดับเหลือแต่จิต
พระอรหันต์นิพพานก็ยังมีจิตอยู่
นิพพานไม่ใช่จิตไม่สูญสิ้น
นิพพานคือกิเลสสูญสิ้น
เมื่อนิพพานแล้วพระอรหันต์มีนิพพานเป็นที่พึ่ง
มีนิพพานเป็นอัตภาพ มีนิพพานเป็นตน
ถาม
มีบางท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า
จิตถูกหุ้มห่อด้วยขันธ์ทั้ง ๕ เป็นชั้นที่ ๑
และถูกหุ้มห่อด้วยวิบากเป็นชั้นที่ ๒
เมื่อทำลายกรรมและวิบากหมดแล้ว
บรรลุเป็นอรหันต์เหลือแค่ขันธ์ ๕
ทรงอยู่อย่างบริสุทธิ์
ต่อเมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว
ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ดับหมดเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ (เรียกว่า เกวล)
ถึงบรมสันติสุขสถาพร ตลอดกาลนิรันดร
ตอบ
คำตอบที่จะตอบต่อไปนี้จึงเป็นคำตอบที่ได้มาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันต์สาวกและอรรถกถาในนิกายเถรวาทเท่านั้น
พระพุทธเจ้าสอนธรรมไม่มีนิกาย ไม่มีพรรคพวก ไม่มีลัทธิเสมอภาคกันหมด อยู่ที่ใครปฏิบัติแล้วเห็นตามคือพระธรรมของพระพุทธเจ้า
ในพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติชื่อของสภาพรู้ คือจิตไว้ถึง ๙ ชื่อดังนี้คือ
๑. จิต ๒. มนะ ๓. มานสะ
๔. หทยะ ๕. ปัณฑระ ๖. มนายตนะ
๗. มนินทรีย์ ๘. วิญญาณ ๙. วิญญาณขันธ์
ซึ่งจะใช้ชื่อใดก็หมายความถึง
จิตในแต่ละสมัย ในแต่ละขณะ ในแต่ละอาการของจิต
ในบรรดาขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์นั้น วิญญาณขันธ์ไม่ใช่จิต
จิตมีขันธ์5 จิตเป็นผู้ก่อให้เกิดขันธ์5
รูปมีสมุฏฐานที่จิต
จิตมีเจตสิค52(เวทนา+สัญญา+สังขาร+วิญญาณ)
ขันธ์ทั้ง ๕ นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
ถ้าขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ดับไปแล้ว คือปรินิพพานแล้ว เหลือแต่จิตล้วนบริสุทธิ์
พระพุทธเจ้าทำจิตให้ผ่องใส คือนิพพาน ยังเหลือจิตที่บริสุทธื
จิตแท้ เพราะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ถึงนิพพาน
คำสอนของพระพุทธเจ้าถูกต้อง
อนึ่ง ในพระอภิธรรมท่านแสดงว่านามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
เมื่อเกิดขึ้นต้องเกิดพร้อมกัน ๔ ขันธ์
ผิดหลักความเป็นจริง
ธรรมเกิดได้ทีละอย่าง ในขณะจิต
ฉนั้นขันธ์เกิดได้ทีละขันธ์
เช่นขณะจิตนั้นที่
เวทนาเกิดสัญญายังไม่เกิด
สัญญาเกิดสังขารไม่เกิด
สังขารเกิดวิญญาณไม่เกิด
วิญญาณเกิดเวทนาไม่เกิด
เพราะขณะจิตเดียว จิตรู้ธรรมได้ทีละอบ่าง
และเมื่อดับก็ดับไปพร้อมกันทั้ง ทีละ ขันธ์ ไม่ใช่ ทีเดียวทั้ง๕ ขันธ์ดับ
เมื่อรูปกายอันเป็นรูปขันธ์แตกดับ นามขันธ์ทั้ง ๔ ก็อยู่ไม่ได้ ต้องแตกดับด้วย
ธาตุ6แตกดับ หมายถึง
ธาตุ4ไม่ได้ดับไปไหน
กลับไปสู่ธาตุเดิม คือธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาสธาตุ
วิญญาณธาตุก็ไม่ได้ดับไปไหน เวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์
การปฏิบัติศาสนาพุทธใเป็นแบบนี้
ธรรมดาขันธ์ ๕ เป็นสังขตธรรมหรือสังขารธรรม
คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและมีสภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
ปราศจากเหตุปัจจัยแล้ว ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็เกิด
เมื่อหมดเหตุปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็ดับ
คือจิตถูกเจตสิคปรุงแต่ง
จิตไม่ได้เกิดดับ
แต่สิ่งที่ปรุงแต่ง ธรรมเหล่านั้นเกิดดับ
ดังที่พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสะปริพาชก ซึ่งภายหลังคือท่านพระสารีบุตร ว่า
“ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด
พระตถาคตตรัสถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์เมื่อดับ คือปรินิพพานแล้ว
เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วจึงไม่เกิดอีก
ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์
จึงเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์
พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่อาศัยจิตที่เข้าถึงอารมณ์นิพพานเป็นที่พึ่ง
ในเมื่อจิตไม่ใช่วิญญาณขันธ์
เมื่อวิญญาณขันธ์ซึ่งรวมอยู่ในขันธ์ ๕ ดับ จะเหลือแก่จิตบริสุทธิ์
ในพรหมชาลสูตร ที. สีลขันธวรรค ข้อ ๙๐ ตอนท้าย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อม
เห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่
ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”
จากพระพุทธดำรัสนี้ก็แสดงชัดว่า
ผู้ที่ทำลายตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ ได้ขาดแล้ว
เป็นพระอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่
เทวดาและมนุษย์ย่อมเห็นกายของพระอรหันต์ได้
แต่เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วคือปรินิพพานแล้ว
เทวดาและมนุษย์ย่อมไม่เห็นกายของท่าน
เพราะกายของท่านดับแล้วไม่เกิดอีกแล้ว
จิตและนิพพานไม่มีรูปพรรณสันฐาน จับต้องไม่ได้ มองเห็นไม่ได้
อนึ่ง การดับของขันธ์ ๕ ท่านไม่เรียกว่าสูญ
ในเมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดับไปก็เพราะสิ้นเหตุปัจจัย
ท่านจึงเรียกการไม่ได้เกิดอีกของขันธ์ ๕ ว่า
เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิด
เหลือจิตผ่องใส เป็นจิตแท้
อีกอย่างหนึ่ง
จุติของพระอรหันต์ ท่านเรียกว่าจริมะจิต
คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ
เหลือแต่จิตแท้ในนิพพาน
สำหรับบุคคลที่ตายแล้วยังต้องเกิดอีก
จิตดวงสุดท้ายในแต่ละชาติที่ตายนั้น เรียกว่าจุติจิต
จุติจิตแปลว่าเคลื่อนจากไป
เพราะจุติจิตเคลื่อนไปแล้ว
มีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่อีก
ปฏิสนธิจิตแปลว่าสืบต่อ
ทั้งนี้บุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น
ไม่ว่าจะเกิดมากี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่โกฏิชาติ
จิตก็เวียนว่ายตายเกิดติดต่อกันมาตลอด
ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โกฏิชาติ
คือจุติจิตเคลื่อนไปแล้วปฏิสนธิสืบต่อ
จิตก็เกิดสืบต่อไปอีกทุกๆ ชาติ
ต่อเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละ
จุติของท่านจึงชื่อว่าจริมะจิต
คือเป็นจิตดวงสุดท้ายของการเกิดมาในสังสารวัฏอันยาวนานนั้น
เพราะไม่ปฏิสนธิจิตสืบต่ออีก
เหมือนในชาติที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์
นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่องนี้
นานาปัญหาโดย สหายธรรม
ถาม ผมอยากทราบว่า
ตามหลักอภิธรรมกล่าวว่าจิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่ครับ
ถ้าใช่อย่างนั้น เวลาบรรลุเป็นพระอรหันต์
และดับขันธ์ปรินิพพานเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ทั้ง ๕ ดับหมด
ก็สูญหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างนะสิครับ หรือความจริงเป็นอย่างไร
ตอบ
ตามหลักอภิธรรมกล่าวว่าจิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน ไม่ใช่
จิตคือธาตุรู้ วิญญาณขันธ์คือกองของธรรมชาติที่รู้
จิตอยู่ในส่วนของกองวิญญาณ
แต่กองวิญญาณไม่ใช่จิต
ตามหลักอภิธรรมเขียนเพื่อการเรียนการสอน
แยกขันธ์5เป็นกองๆๆเพื่อไม่ให้สับสน
ยกตัวอย่างเช่นในยมก
รูปเป็นรูปขันธ์
แต่รูปขันธ์ไม่เป็นรูปก็มี
จิตมีขันธ์5
นิพพานขันธ์5ดับเหลือแต่จิต
พระอรหันต์นิพพานก็ยังมีจิตอยู่
นิพพานไม่ใช่จิตไม่สูญสิ้น
นิพพานคือกิเลสสูญสิ้น
เมื่อนิพพานแล้วพระอรหันต์มีนิพพานเป็นที่พึ่ง
มีนิพพานเป็นอัตภาพ มีนิพพานเป็นตน
ถาม
มีบางท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า
จิตถูกหุ้มห่อด้วยขันธ์ทั้ง ๕ เป็นชั้นที่ ๑
และถูกหุ้มห่อด้วยวิบากเป็นชั้นที่ ๒
เมื่อทำลายกรรมและวิบากหมดแล้ว
บรรลุเป็นอรหันต์เหลือแค่ขันธ์ ๕
ทรงอยู่อย่างบริสุทธิ์
ต่อเมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว
ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ดับหมดเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ (เรียกว่า เกวล)
ถึงบรมสันติสุขสถาพร ตลอดกาลนิรันดร
ตอบ
คำตอบที่จะตอบต่อไปนี้จึงเป็นคำตอบที่ได้มาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันต์สาวกและอรรถกถาในนิกายเถรวาทเท่านั้น
พระพุทธเจ้าสอนธรรมไม่มีนิกาย ไม่มีพรรคพวก ไม่มีลัทธิเสมอภาคกันหมด อยู่ที่ใครปฏิบัติแล้วเห็นตามคือพระธรรมของพระพุทธเจ้า
ในพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติชื่อของสภาพรู้ คือจิตไว้ถึง ๙ ชื่อดังนี้คือ
๑. จิต ๒. มนะ ๓. มานสะ
๔. หทยะ ๕. ปัณฑระ ๖. มนายตนะ
๗. มนินทรีย์ ๘. วิญญาณ ๙. วิญญาณขันธ์
ซึ่งจะใช้ชื่อใดก็หมายความถึง
จิตในแต่ละสมัย ในแต่ละขณะ ในแต่ละอาการของจิต
ในบรรดาขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์นั้น วิญญาณขันธ์ไม่ใช่จิต
จิตมีขันธ์5 จิตเป็นผู้ก่อให้เกิดขันธ์5
รูปมีสมุฏฐานที่จิต
จิตมีเจตสิค52(เวทนา+สัญญา+สังขาร+วิญญาณ)
ขันธ์ทั้ง ๕ นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
ถ้าขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ดับไปแล้ว คือปรินิพพานแล้ว เหลือแต่จิตล้วนบริสุทธิ์
พระพุทธเจ้าทำจิตให้ผ่องใส คือนิพพาน ยังเหลือจิตที่บริสุทธื
จิตแท้ เพราะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ถึงนิพพาน
คำสอนของพระพุทธเจ้าถูกต้อง
อนึ่ง ในพระอภิธรรมท่านแสดงว่านามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
เมื่อเกิดขึ้นต้องเกิดพร้อมกัน ๔ ขันธ์
ผิดหลักความเป็นจริง
ธรรมเกิดได้ทีละอย่าง ในขณะจิต
ฉนั้นขันธ์เกิดได้ทีละขันธ์
เช่นขณะจิตนั้นที่
เวทนาเกิดสัญญายังไม่เกิด
สัญญาเกิดสังขารไม่เกิด
สังขารเกิดวิญญาณไม่เกิด
วิญญาณเกิดเวทนาไม่เกิด
เพราะขณะจิตเดียว จิตรู้ธรรมได้ทีละอบ่าง
และเมื่อดับก็ดับไปพร้อมกันทั้ง ทีละ ขันธ์ ไม่ใช่ ทีเดียวทั้ง๕ ขันธ์ดับ
เมื่อรูปกายอันเป็นรูปขันธ์แตกดับ นามขันธ์ทั้ง ๔ ก็อยู่ไม่ได้ ต้องแตกดับด้วย
ธาตุ6แตกดับ หมายถึง
ธาตุ4ไม่ได้ดับไปไหน
กลับไปสู่ธาตุเดิม คือธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาสธาตุ
วิญญาณธาตุก็ไม่ได้ดับไปไหน เวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์
การปฏิบัติศาสนาพุทธใเป็นแบบนี้
ธรรมดาขันธ์ ๕ เป็นสังขตธรรมหรือสังขารธรรม
คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและมีสภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป
ปราศจากเหตุปัจจัยแล้ว ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นไม่ได้
เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็เกิด
เมื่อหมดเหตุปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็ดับ
คือจิตถูกเจตสิคปรุงแต่ง
จิตไม่ได้เกิดดับ
แต่สิ่งที่ปรุงแต่ง ธรรมเหล่านั้นเกิดดับ
ดังที่พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสะปริพาชก ซึ่งภายหลังคือท่านพระสารีบุตร ว่า
“ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด
พระตถาคตตรัสถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น
และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์เมื่อดับ คือปรินิพพานแล้ว
เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วจึงไม่เกิดอีก
ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์
จึงเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์
พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่อาศัยจิตที่เข้าถึงอารมณ์นิพพานเป็นที่พึ่ง
ในเมื่อจิตไม่ใช่วิญญาณขันธ์
เมื่อวิญญาณขันธ์ซึ่งรวมอยู่ในขันธ์ ๕ ดับ จะเหลือแก่จิตบริสุทธิ์
ในพรหมชาลสูตร ที. สีลขันธวรรค ข้อ ๙๐ ตอนท้าย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อม
เห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่
ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้ว
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”
จากพระพุทธดำรัสนี้ก็แสดงชัดว่า
ผู้ที่ทำลายตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ ได้ขาดแล้ว
เป็นพระอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่
เทวดาและมนุษย์ย่อมเห็นกายของพระอรหันต์ได้
แต่เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วคือปรินิพพานแล้ว
เทวดาและมนุษย์ย่อมไม่เห็นกายของท่าน
เพราะกายของท่านดับแล้วไม่เกิดอีกแล้ว
จิตและนิพพานไม่มีรูปพรรณสันฐาน จับต้องไม่ได้ มองเห็นไม่ได้
อนึ่ง การดับของขันธ์ ๕ ท่านไม่เรียกว่าสูญ
ในเมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดับไปก็เพราะสิ้นเหตุปัจจัย
ท่านจึงเรียกการไม่ได้เกิดอีกของขันธ์ ๕ ว่า
เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิด
เหลือจิตผ่องใส เป็นจิตแท้
อีกอย่างหนึ่ง
จุติของพระอรหันต์ ท่านเรียกว่าจริมะจิต
คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ
เหลือแต่จิตแท้ในนิพพาน
สำหรับบุคคลที่ตายแล้วยังต้องเกิดอีก
จิตดวงสุดท้ายในแต่ละชาติที่ตายนั้น เรียกว่าจุติจิต
จุติจิตแปลว่าเคลื่อนจากไป
เพราะจุติจิตเคลื่อนไปแล้ว
มีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่อีก
ปฏิสนธิจิตแปลว่าสืบต่อ
ทั้งนี้บุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น
ไม่ว่าจะเกิดมากี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่โกฏิชาติ
จิตก็เวียนว่ายตายเกิดติดต่อกันมาตลอด
ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โกฏิชาติ
คือจุติจิตเคลื่อนไปแล้วปฏิสนธิสืบต่อ
จิตก็เกิดสืบต่อไปอีกทุกๆ ชาติ
ต่อเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละ
จุติของท่านจึงชื่อว่าจริมะจิต
คือเป็นจิตดวงสุดท้ายของการเกิดมาในสังสารวัฏอันยาวนานนั้น
เพราะไม่ปฏิสนธิจิตสืบต่ออีก
เหมือนในชาติที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์
นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่องนี้