Dark Tales of London
บทนำ :
http://ppantip.com/topic/32052994
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 1 :
http://ppantip.com/topic/32071542
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 2 :
http://ppantip.com/topic/32113866
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 3 :
http://ppantip.com/topic/32161547
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 4 :
http://ppantip.com/topic/32210478
สำหรับ ตอนที่ 5 นี้ ถือเป็นตอนจบและบทเฉลยของเรื่อง The Hand of Glory แล้วละค่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องสุดท้ายของ Dark Tales of London แน่นอน ถ้ายังไม่เบื่อสารวัตรเฟย์กับคุณหมอฟอล์กเนอร์กันไปเสียก่อน ต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาตลอดทั้งที่มาคุยกัน แวะมาอ่าน ทั้งที่แสดงตัวและไม่แสดงตัว ถ้ามีความคิดเห็นอย่างไรหรือข้อแนะนำอะไรก็บอกได้เลยนะคะ ยินดีรับฟังด้วยความขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง และจะแวะเข้ามาตอบเป็นระยะค่ะ ^^
----------------------------------------------------
(5)
ชานเซอรี เลน, ลอนดอน, 30 ธันวาคม 1888
ในช่วงค่ำ หลังจากจัดการเรื่องต่าง ๆ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลในส่วนของวันนั้นเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ไปพบ ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ที่บ้านตามคำเชิญให้มารับประทานอาหารค่ำร่วมกัน ซึ่งข้าพเจ้าขอพูดจากใจจริงว่า นี่เป็นอาหารเย็นมื้อที่ดีที่สุดตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ลิ้มรสนับตั้งแต่ทำงานในลอนดอน ฝีมือการทำอาหารของมิสซิสดาร์ลตัน โดยเฉพาะของหวานนั้นไร้ที่ติ
เมื่อข้าพเจ้าฝากชมไปถึงหล่อน มร. อัลเฟรด คอร์ทนีย์บอกข้าพเจ้าว่า มิสซิสดาร์ลตันต้องดีใจมากแน่ เพราะความสามารถในการทำขนมหวานคือสิ่งที่หล่อนภาคภูมิใจที่สุด และเล่าว่าหล่อนออกจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เมื่อได้ทราบว่า มิสเตอร์โทเบียสของหล่อนจะเชิญแขกมาที่บ้าน เนื่องจากตั้งแต่กลับมาถึงลอนดอน หล่อนยังไม่เคยเห็นเขาเชิญใครมาที่บ้านสักครั้ง ซึ่งต่างจากบิดาและพี่ชายทั้งสามของเขาอย่างสิ้นเชิง และข้าพเจ้าถือเป็นแขกคนแรกที่เขาเชิญ
ทั้งหมดที่เขากล่าวมานี้ เจ้าบ้านอย่าง ดร. ฟอล์กเนอร์ ไม่ขัดคอหรือโต้แย้งแต่อย่างใด เพียงแต่มองยิ้ม ๆ อยู่เท่านั้น และจนบัดนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบว่า เพราะเหตุใดเขาจึงยอมให้ความร่วมมือกับข้าพเจ้าอย่างง่ายดาย ทั้งที่ใครต่อใครล้วนบอกว่า เขาไม่สังคมโลก เข้ากับผู้อื่นได้ยาก และไม่ยอมรับปากช่วยใครหากเขาไม่เห็นความจำเป็น ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเช่นกัน
หลังจากอาหารค่ำ เราทั้งสามคนย้ายมานั่งจิบบรั่นดีและสูบบุหรี่ในห้องนั่งเล่น พูดคุยเรื่องข่าวสารทั่วไปกันครู่หนึ่ง ดร. ฟอล์กเนอร์จึงได้ถามถึงคดีในความรับผิดชอบของข้าพเจ้า โดย มร. คอร์ทนีย์ขออนุญาตข้าพเจ้าบันทึกเรื่องที่ได้ฟัง และขอซื้อเรื่องดังกล่าวไปเขียนลงในหนังสือ เนื่องจากเพื่อนของเขาให้มาถามจากข้าพเจ้าด้วย ซึ่งข้าพเจ้าตอบเขาไปว่า ข้าพเจ้าจะยินยอมตามที่ขอก็ต่อเมื่อ เขารับปากข้าพเจ้ว่าจะไม่เผยแพร่เรื่องดังกล่าวจนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น และสงวนสิทธิ์ที่จะไม่เล่ารายละเอียดบางเรื่อง เนื่องจากมีกระทบกับบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นอันมาก หากเขาทำตามข้อแม้ได้ ข้าพเจ้าก็จะขายเรื่องดังกล่าวให้เขาแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเขาตกลงตามเงื่อนไขของข้าพเจ้าทุกประการ
“เซอร์เอ็ดเวิร์ดเป็นผู้ที่มีความชำนาญด้านศิลปะป้องกันตัวหลายแขนงทีเดียว” ข้าพเจ้าบอก “เขาเป็นสมาชิกสมาคมมวย ฟันดาบ และกีฬาหลายประเภท จึงไม่ต้องแปลกใจเรื่องความคล่องแคล่ว และพละกำลังของเขา”
“หมายความว่า เซอร์เอ็ดเวิร์ดเป็นคนฆ่าเจ้าของร้านของเก่าที่บัคเคิลสตรีทหรือครับ สารวัตร” มร. คอร์ทนีย์ทำหน้าตื่น
“มิได้ครับ ไม่ใช่เขา” ข้าพเจ้าปฏิเสธ สีหน้าของเขาทำให้ข้าพเจ้าอดขันไม่ได้ แต่ความจริงที่จะเฉลยต่อไปนั้น ทำให้ข้าพเจ้าหัวเราะไม่ออก “แต่เป็น…”
“คลาร่า พ็อตต์” ดร. ฟอล์กเนอร์เอ่ย
“ถูกต้อง” ข้าพเจ้ารับ “คลาร่า พ็อตต์เป็นคนฆ่าสามีของตนเอง แล้วใช้มือมนุษย์แห้งข้างนั้นชุบหมึกทาบบนลำคอของเขา และบนหน้าต่าง อำพรางว่า ถูกสิ่งลึกลับฆ่าตาย หล่อนกระทำความผิดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีผู้อื่นช่วยเหลือ ไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแต่ประการใดเลย”
เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา หลังจากพบเซอร์เอ็ดเวิร์ด สแตนตันที่สำนักงานของเขาแล้ว ข้าพเจ้าไปที่สก็อตแลนด์ยาร์ด รายงานความคืบหน้าในคดีฆ่าเจมส์ พ็อตต์ที่บัคเคิลสตรีทแก่ผู้บังคับบัญชา พร้อมขออนุมัติจับกุมผู้กระทำความผิด ซึ่งหลังจากได้รับคำสั่งให้ดำเนินการแล้ว ข้าพเจ้าและจ่ามัสเกรฟจึงได้ไปพบมิสซิสพ็อตต์ที่บ้านเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา
คลาร่า พ็อตต์รับฟังด้วยอาการสงบ ยอมรับ และยินดีไปให้การที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลแต่โดยดี หล่อนให้ความร่วมมือกับข้าพเจ้าทุกอย่าง และคำสารภาพของหล่อนก็ตรงกับสมมุติฐานที่ข้าพเจ้าตั้งเอาไว้ทุกประการ ด้วยความเห็นใจ ข้าพเจ้าจึงอนุญาตให้หล่อนกลับบ้านไปจัดการพิธีศพของสามีเสียให้เรียบร้อย โดยจัดตำรวจสืบสวนและพลตระเวนจำนวนหนึ่งเป็นเวร ผลัดกันคอยติดตามให้แน่ใจว่าหล่อนจะไม่หลบหนี หรือทำร้ายตนเอง
“เรื่องจบลงโดนที่คนร้ายยอมรับผิด ไม่คิดต่อสู้ สำหรับนักเขียนอย่างคุณฟังแล้ว คงจะผิดหวังอยู่บ้างกระมัง” ข้าพเจ้าว่า
“ไม่ ไม่ ไม่เลยครับ สารวัตร” มร. คอร์ทนีย์โบกมือ “สำหรับสารวัตรกับโทบี้ เรื่องพวกนี้อาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนทั่วไปอย่างผม มันน่าตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าอะไร โดยเฉพาะในยุคที่เรื่องลึกลับนักสืบกำลังเฟื่อง ดูอย่างเรื่องสืบคดีสีเลือดของโคนันดอยล์ที่ลงในนิตยสารบีตันส์
(1) นั่นปะไรครับ”
ดร. ฟอล์กเนอร์ว่า “ผมเองก็อยากทราบเหมือนกันว่า คดีนี้ลงเอยอย่างไร แต่ผมเดาว่า คงจะสะเทือนใจอยู่พอตัว”
ข้าพเจ้าพยักหน้ารับ แล้วถอนใจ “คุณหมอกล่าวถูกแล้ว คดีนี้เป็นเรื่องสะเทือนใจ โดยเฉพาะแรงจูงใจในการฆ่าของหล่อน”
“แรงจูงใจในการฆ่าเจมส์ พ็อตต์ คืออะไร”
“ถ้าว่ากันตามคำสารภาพแรกของหล่อน หล่อนบอกผมว่า หล่อนโกรธแค้นที่สามีของหล่อนมีลูกกับคนใช้ในบ้าน”
“ซึ่งคงไม่เป็นความจริงเสียทีเดียว…” ดร. ฟอล์กเนอร์กล่าว
“ใช่ มันไม่จริง และหล่อนก็ปิดบังความจริงไม่เก่งเอาเสียเลย” ข้าพเจ้าตอบ “เมื่อผมสัญญากับหล่อนว่า จะไม่ทำให้คนที่หล่อนเป็นห่วงต้องเดือดร้อน หล่อนจึงตัดสินใจพูดความจริงกับผม ซึ่งผมเชื่อว่า สิ่งที่หล่อนสารภาพในความนี้ เป็นแรงจูงใจที่แท้จริง”
ข้าพเจ้าหยิบบุหรี่ออกมาจากกล่อง หากได้แต่ถือค้างเอาไว้ในมือเช่นนั้น และเมื่อสบกับสายตาที่จับจ้องอยู่ของ ดร. ฟอล์กเนอร์ ข้าพเจ้ามองตอบได้เพียงครู่หนึ่งก็ต้องเสมองที่พื้น ข้าพเจ้ารู้ดีว่าเขาอ่านความรู้สึกของข้าพเจ้าได้ และเข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดข้าพเจ้าจึงพูดอะไรไม่ออก
“หล่อนทำเพื่อปกป้องเซอร์เอ็ดเวิร์ด สแตนตัน นายเก่าให้พ้นจากการข่มขู่จะเรียกเงินที่กระทำโดยสามีของตนเอง”
สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดออกไปทำให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่บุคคลที่พอจะคาดการณ์ได้อยู่แล้วอย่าง ดร. ฟอล์กเนอร์เองก็นิ่งไปด้วยเช่นกัน
ความจงรักและภักดีของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต่อผู้ชายอีกคนหนึ่งที่หล่อนรักและเทิดทูนยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ทั้งที่รู้แก่ใจมาตลอดว่าหล่อนไม่มีวันที่จะเขาจะรักหล่อนตอบได้ ผลักดันหล่อนให้ลงมือฆ่าผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งรักหล่อนและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้หล่อนมาครอบครอง ทั้งที่รู้ว่าหล่อนไม่เคยมีใจให้
ถึงจะไม่เคยบอกว่า หล่อนรักเซอร์เอ็ดเวิร์ดมากเพียงใด แต่น้ำเสียงและสายตาของคลาร่า พ็อตต์หนักแน่นยิ่งกว่าคำพูด
ดังที่เซอร์เอ็ดเวิร์ดเคยบอก คลาร่าทำงานเป็นสาวใช้ให้กับครอบครัวของเขามาเป็นเวลานาน ด้วยความที่เขาเป็นเจ้าของบริษัทเรือเดินสมุทรทำให้มีบรรดาลูกเรือและคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการเดินเรือไปมาหาสู่เป็นประจำ นั่นทำให้หล่อนได้รู้จักกับเพื่อนของเจมส์ พ็อตต์ ซึ่งชายผู้นี้ได้พูดถึงหล่อนให้เพื่อนของตนฟัง
หล่อนได้พบกับเจมส์ พ็อตต์โดยบังเอิญในเวลาต่อมา เมื่อหล่อนกลับบ้านในอีสต์เอนด์ เพื่อใช้หนี้ที่พ่อของหล่อนค้างชำระ ในเวลานั้น เขาเพิ่งเปิดร้านขายของเก่าที่บัคเคิลสตรีทได้ไม่นาน เพื่อนของเขาซึ่งเคยพบหล่อนที่บ้านของเซอร์เอ็ดเวิร์ด แนะนำเขากับหล่อนให้รู้จักกัน และเขาก็ชอบใจหล่อนตั้งแต่แรกเห็น และพยายามเกี้ยวพาให้หล่อนตกลงคบหากับเขา ซึ่งไม่ว่าจะเพียรพยายามแค่ไหน เขาก็ถูกหล่อนปฎิเสธทุกครั้งไป ทว่าผลที่ได้รับกลับมา ไม่ได้ทำให้เขาหมดกำลังใจ ทว่ายิ่งอยากเอาชนะหล่อนให้ได้มากขึ้นไปอีก จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็หาวิธีการมาทำให้หล่อนยอมแต่งงานกับเขาจนได้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่า เจมส์ พ็อตต์รักคลาร่าอยู่บ้าง คือ เขาไม่ได้หยาบช้าถึงขนาดที่จะฉุดคร่าหล่อนมาเป็นของตน หากวิธีการของเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมนัก เพราะเขาให้พ่อของหล่อนกู้ยืมเงินจนเป็นหนี้สินหลายก้อน แต่เขายินดีจะยกหนี้ทั้งหมดให้ และจะออกเงินส่งให้น้องชายของหล่อนได้เรียนหนังสือในโรงเรียนไวยากรณ์ศึกษาด้วย หากหล่อนยินยอมแต่งงานกับเขา
คลาร่าไม่ได้ตอบตกลงในทันที หล่อนเก็บไปคิดทบทวนอยู่นาน โดยที่เขาไม่ได้บีบคั้นจะเอาคำตอบ ในที่สุด หล่อนก็ตัดสินใจที่จะแต่งงานกับเขา และลาออกจากการทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านของเซอร์เอ็ดเวิร์ด โดยหล่อนกล่าวกับข้าพเจ้าว่า หล่อนเชื่อว่า หล่อนอาจรักเจมส์ พ็อตต์ได้ในวันหนึ่ง แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง
แม้เจมส์ พ็อตต์จะดีกับหล่อน และยังว่าจ้างเจนนี่ ไรลีย์มาเป็นสาวใช้ประจำบ้านเพื่อแบ่งเบาภาระให้หล่อนด้วย เขาวางใจให้หล่อนช่วยงานในร้าน รวมไปถึงการทำบัญชี แต่งานที่เขาใช้เลี้ยงชีพทำให้หล่อนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากเขาเปิดร้านขายของเก่าไว้บังหน้ากิจการการรับจำนำและปล่อยกู้ให้คนในย่านไวท์ชาเพิล หากนั่นยังไม่เท่ากับการที่เขาปลอมเครื่องรางและวัตถุโบราณหายากไว้ลวงขายให้นักสะสมที่อยากได้ของเก่าและแปลก ความร่ำรวยของเขามาจากกิจกรรมอย่างหลังเสียมาก แต่หล่อนก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ นอกจากเก็บทุกอย่างไว้กับตัว เพราะอย่างน้อยที่สุด เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของหล่อนเสียแล้ว
ชีวิตสมรสของหล่อนเป็นไปอย่างเรียบร้อยและค่อนข้างจะเรียบเรื่อย จนกระทั่งเซอร์เอ็ดเวิร์ดตามหาที่อยู่ของหล่อนจนพบ และมาหาหล่อนที่บัคเคิลสตรีท การปรากฎตัวของเขาทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
----------------------------------------------------------------
(1) The Study in Scarlet หรือ สืบคดีสีเลือด เป็นนวนิยายที่มีเชอร์ล็อก โฮล์มส์และ ดร. วัตสันเป็นตัวละครเอกเรื่องแรกของเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Beeton’s Christmas Annual ในปี 1887
(มีต่อนะคะ)
Dark Tales of London : มือมาร (The Hand of Glory) ตอนจบ และ บทส่งท้าย
บทนำ : http://ppantip.com/topic/32052994
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 1 : http://ppantip.com/topic/32071542
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 2 : http://ppantip.com/topic/32113866
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 3 : http://ppantip.com/topic/32161547
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 4 : http://ppantip.com/topic/32210478
สำหรับ ตอนที่ 5 นี้ ถือเป็นตอนจบและบทเฉลยของเรื่อง The Hand of Glory แล้วละค่ะ แต่ไม่ใช่เรื่องสุดท้ายของ Dark Tales of London แน่นอน ถ้ายังไม่เบื่อสารวัตรเฟย์กับคุณหมอฟอล์กเนอร์กันไปเสียก่อน ต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาตลอดทั้งที่มาคุยกัน แวะมาอ่าน ทั้งที่แสดงตัวและไม่แสดงตัว ถ้ามีความคิดเห็นอย่างไรหรือข้อแนะนำอะไรก็บอกได้เลยนะคะ ยินดีรับฟังด้วยความขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง และจะแวะเข้ามาตอบเป็นระยะค่ะ ^^
----------------------------------------------------
(5)
ในช่วงค่ำ หลังจากจัดการเรื่องต่าง ๆ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลในส่วนของวันนั้นเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ไปพบ ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ที่บ้านตามคำเชิญให้มารับประทานอาหารค่ำร่วมกัน ซึ่งข้าพเจ้าขอพูดจากใจจริงว่า นี่เป็นอาหารเย็นมื้อที่ดีที่สุดตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ลิ้มรสนับตั้งแต่ทำงานในลอนดอน ฝีมือการทำอาหารของมิสซิสดาร์ลตัน โดยเฉพาะของหวานนั้นไร้ที่ติ
เมื่อข้าพเจ้าฝากชมไปถึงหล่อน มร. อัลเฟรด คอร์ทนีย์บอกข้าพเจ้าว่า มิสซิสดาร์ลตันต้องดีใจมากแน่ เพราะความสามารถในการทำขนมหวานคือสิ่งที่หล่อนภาคภูมิใจที่สุด และเล่าว่าหล่อนออกจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ เมื่อได้ทราบว่า มิสเตอร์โทเบียสของหล่อนจะเชิญแขกมาที่บ้าน เนื่องจากตั้งแต่กลับมาถึงลอนดอน หล่อนยังไม่เคยเห็นเขาเชิญใครมาที่บ้านสักครั้ง ซึ่งต่างจากบิดาและพี่ชายทั้งสามของเขาอย่างสิ้นเชิง และข้าพเจ้าถือเป็นแขกคนแรกที่เขาเชิญ
ทั้งหมดที่เขากล่าวมานี้ เจ้าบ้านอย่าง ดร. ฟอล์กเนอร์ ไม่ขัดคอหรือโต้แย้งแต่อย่างใด เพียงแต่มองยิ้ม ๆ อยู่เท่านั้น และจนบัดนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบว่า เพราะเหตุใดเขาจึงยอมให้ความร่วมมือกับข้าพเจ้าอย่างง่ายดาย ทั้งที่ใครต่อใครล้วนบอกว่า เขาไม่สังคมโลก เข้ากับผู้อื่นได้ยาก และไม่ยอมรับปากช่วยใครหากเขาไม่เห็นความจำเป็น ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ทราบเช่นกัน
หลังจากอาหารค่ำ เราทั้งสามคนย้ายมานั่งจิบบรั่นดีและสูบบุหรี่ในห้องนั่งเล่น พูดคุยเรื่องข่าวสารทั่วไปกันครู่หนึ่ง ดร. ฟอล์กเนอร์จึงได้ถามถึงคดีในความรับผิดชอบของข้าพเจ้า โดย มร. คอร์ทนีย์ขออนุญาตข้าพเจ้าบันทึกเรื่องที่ได้ฟัง และขอซื้อเรื่องดังกล่าวไปเขียนลงในหนังสือ เนื่องจากเพื่อนของเขาให้มาถามจากข้าพเจ้าด้วย ซึ่งข้าพเจ้าตอบเขาไปว่า ข้าพเจ้าจะยินยอมตามที่ขอก็ต่อเมื่อ เขารับปากข้าพเจ้ว่าจะไม่เผยแพร่เรื่องดังกล่าวจนกว่าคดีจะเสร็จสิ้น และสงวนสิทธิ์ที่จะไม่เล่ารายละเอียดบางเรื่อง เนื่องจากมีกระทบกับบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นอันมาก หากเขาทำตามข้อแม้ได้ ข้าพเจ้าก็จะขายเรื่องดังกล่าวให้เขาแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเขาตกลงตามเงื่อนไขของข้าพเจ้าทุกประการ
“เซอร์เอ็ดเวิร์ดเป็นผู้ที่มีความชำนาญด้านศิลปะป้องกันตัวหลายแขนงทีเดียว” ข้าพเจ้าบอก “เขาเป็นสมาชิกสมาคมมวย ฟันดาบ และกีฬาหลายประเภท จึงไม่ต้องแปลกใจเรื่องความคล่องแคล่ว และพละกำลังของเขา”
“หมายความว่า เซอร์เอ็ดเวิร์ดเป็นคนฆ่าเจ้าของร้านของเก่าที่บัคเคิลสตรีทหรือครับ สารวัตร” มร. คอร์ทนีย์ทำหน้าตื่น
“มิได้ครับ ไม่ใช่เขา” ข้าพเจ้าปฏิเสธ สีหน้าของเขาทำให้ข้าพเจ้าอดขันไม่ได้ แต่ความจริงที่จะเฉลยต่อไปนั้น ทำให้ข้าพเจ้าหัวเราะไม่ออก “แต่เป็น…”
“คลาร่า พ็อตต์” ดร. ฟอล์กเนอร์เอ่ย
“ถูกต้อง” ข้าพเจ้ารับ “คลาร่า พ็อตต์เป็นคนฆ่าสามีของตนเอง แล้วใช้มือมนุษย์แห้งข้างนั้นชุบหมึกทาบบนลำคอของเขา และบนหน้าต่าง อำพรางว่า ถูกสิ่งลึกลับฆ่าตาย หล่อนกระทำความผิดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีผู้อื่นช่วยเหลือ ไม่ได้ซับซ้อนซ่อนเงื่อนแต่ประการใดเลย”
เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา หลังจากพบเซอร์เอ็ดเวิร์ด สแตนตันที่สำนักงานของเขาแล้ว ข้าพเจ้าไปที่สก็อตแลนด์ยาร์ด รายงานความคืบหน้าในคดีฆ่าเจมส์ พ็อตต์ที่บัคเคิลสตรีทแก่ผู้บังคับบัญชา พร้อมขออนุมัติจับกุมผู้กระทำความผิด ซึ่งหลังจากได้รับคำสั่งให้ดำเนินการแล้ว ข้าพเจ้าและจ่ามัสเกรฟจึงได้ไปพบมิสซิสพ็อตต์ที่บ้านเพื่อแจ้งข้อกล่าวหา
คลาร่า พ็อตต์รับฟังด้วยอาการสงบ ยอมรับ และยินดีไปให้การที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลแต่โดยดี หล่อนให้ความร่วมมือกับข้าพเจ้าทุกอย่าง และคำสารภาพของหล่อนก็ตรงกับสมมุติฐานที่ข้าพเจ้าตั้งเอาไว้ทุกประการ ด้วยความเห็นใจ ข้าพเจ้าจึงอนุญาตให้หล่อนกลับบ้านไปจัดการพิธีศพของสามีเสียให้เรียบร้อย โดยจัดตำรวจสืบสวนและพลตระเวนจำนวนหนึ่งเป็นเวร ผลัดกันคอยติดตามให้แน่ใจว่าหล่อนจะไม่หลบหนี หรือทำร้ายตนเอง
“เรื่องจบลงโดนที่คนร้ายยอมรับผิด ไม่คิดต่อสู้ สำหรับนักเขียนอย่างคุณฟังแล้ว คงจะผิดหวังอยู่บ้างกระมัง” ข้าพเจ้าว่า
“ไม่ ไม่ ไม่เลยครับ สารวัตร” มร. คอร์ทนีย์โบกมือ “สำหรับสารวัตรกับโทบี้ เรื่องพวกนี้อาจเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับคนทั่วไปอย่างผม มันน่าตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าอะไร โดยเฉพาะในยุคที่เรื่องลึกลับนักสืบกำลังเฟื่อง ดูอย่างเรื่องสืบคดีสีเลือดของโคนันดอยล์ที่ลงในนิตยสารบีตันส์ (1) นั่นปะไรครับ”
ดร. ฟอล์กเนอร์ว่า “ผมเองก็อยากทราบเหมือนกันว่า คดีนี้ลงเอยอย่างไร แต่ผมเดาว่า คงจะสะเทือนใจอยู่พอตัว”
ข้าพเจ้าพยักหน้ารับ แล้วถอนใจ “คุณหมอกล่าวถูกแล้ว คดีนี้เป็นเรื่องสะเทือนใจ โดยเฉพาะแรงจูงใจในการฆ่าของหล่อน”
“แรงจูงใจในการฆ่าเจมส์ พ็อตต์ คืออะไร”
“ถ้าว่ากันตามคำสารภาพแรกของหล่อน หล่อนบอกผมว่า หล่อนโกรธแค้นที่สามีของหล่อนมีลูกกับคนใช้ในบ้าน”
“ซึ่งคงไม่เป็นความจริงเสียทีเดียว…” ดร. ฟอล์กเนอร์กล่าว
“ใช่ มันไม่จริง และหล่อนก็ปิดบังความจริงไม่เก่งเอาเสียเลย” ข้าพเจ้าตอบ “เมื่อผมสัญญากับหล่อนว่า จะไม่ทำให้คนที่หล่อนเป็นห่วงต้องเดือดร้อน หล่อนจึงตัดสินใจพูดความจริงกับผม ซึ่งผมเชื่อว่า สิ่งที่หล่อนสารภาพในความนี้ เป็นแรงจูงใจที่แท้จริง”
ข้าพเจ้าหยิบบุหรี่ออกมาจากกล่อง หากได้แต่ถือค้างเอาไว้ในมือเช่นนั้น และเมื่อสบกับสายตาที่จับจ้องอยู่ของ ดร. ฟอล์กเนอร์ ข้าพเจ้ามองตอบได้เพียงครู่หนึ่งก็ต้องเสมองที่พื้น ข้าพเจ้ารู้ดีว่าเขาอ่านความรู้สึกของข้าพเจ้าได้ และเข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดข้าพเจ้าจึงพูดอะไรไม่ออก
“หล่อนทำเพื่อปกป้องเซอร์เอ็ดเวิร์ด สแตนตัน นายเก่าให้พ้นจากการข่มขู่จะเรียกเงินที่กระทำโดยสามีของตนเอง”
สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดออกไปทำให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่บุคคลที่พอจะคาดการณ์ได้อยู่แล้วอย่าง ดร. ฟอล์กเนอร์เองก็นิ่งไปด้วยเช่นกัน
ความจงรักและภักดีของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต่อผู้ชายอีกคนหนึ่งที่หล่อนรักและเทิดทูนยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ทั้งที่รู้แก่ใจมาตลอดว่าหล่อนไม่มีวันที่จะเขาจะรักหล่อนตอบได้ ผลักดันหล่อนให้ลงมือฆ่าผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งรักหล่อนและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้หล่อนมาครอบครอง ทั้งที่รู้ว่าหล่อนไม่เคยมีใจให้
ถึงจะไม่เคยบอกว่า หล่อนรักเซอร์เอ็ดเวิร์ดมากเพียงใด แต่น้ำเสียงและสายตาของคลาร่า พ็อตต์หนักแน่นยิ่งกว่าคำพูด
ดังที่เซอร์เอ็ดเวิร์ดเคยบอก คลาร่าทำงานเป็นสาวใช้ให้กับครอบครัวของเขามาเป็นเวลานาน ด้วยความที่เขาเป็นเจ้าของบริษัทเรือเดินสมุทรทำให้มีบรรดาลูกเรือและคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการเดินเรือไปมาหาสู่เป็นประจำ นั่นทำให้หล่อนได้รู้จักกับเพื่อนของเจมส์ พ็อตต์ ซึ่งชายผู้นี้ได้พูดถึงหล่อนให้เพื่อนของตนฟัง
หล่อนได้พบกับเจมส์ พ็อตต์โดยบังเอิญในเวลาต่อมา เมื่อหล่อนกลับบ้านในอีสต์เอนด์ เพื่อใช้หนี้ที่พ่อของหล่อนค้างชำระ ในเวลานั้น เขาเพิ่งเปิดร้านขายของเก่าที่บัคเคิลสตรีทได้ไม่นาน เพื่อนของเขาซึ่งเคยพบหล่อนที่บ้านของเซอร์เอ็ดเวิร์ด แนะนำเขากับหล่อนให้รู้จักกัน และเขาก็ชอบใจหล่อนตั้งแต่แรกเห็น และพยายามเกี้ยวพาให้หล่อนตกลงคบหากับเขา ซึ่งไม่ว่าจะเพียรพยายามแค่ไหน เขาก็ถูกหล่อนปฎิเสธทุกครั้งไป ทว่าผลที่ได้รับกลับมา ไม่ได้ทำให้เขาหมดกำลังใจ ทว่ายิ่งอยากเอาชนะหล่อนให้ได้มากขึ้นไปอีก จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็หาวิธีการมาทำให้หล่อนยอมแต่งงานกับเขาจนได้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อว่า เจมส์ พ็อตต์รักคลาร่าอยู่บ้าง คือ เขาไม่ได้หยาบช้าถึงขนาดที่จะฉุดคร่าหล่อนมาเป็นของตน หากวิธีการของเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมนัก เพราะเขาให้พ่อของหล่อนกู้ยืมเงินจนเป็นหนี้สินหลายก้อน แต่เขายินดีจะยกหนี้ทั้งหมดให้ และจะออกเงินส่งให้น้องชายของหล่อนได้เรียนหนังสือในโรงเรียนไวยากรณ์ศึกษาด้วย หากหล่อนยินยอมแต่งงานกับเขา
คลาร่าไม่ได้ตอบตกลงในทันที หล่อนเก็บไปคิดทบทวนอยู่นาน โดยที่เขาไม่ได้บีบคั้นจะเอาคำตอบ ในที่สุด หล่อนก็ตัดสินใจที่จะแต่งงานกับเขา และลาออกจากการทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านของเซอร์เอ็ดเวิร์ด โดยหล่อนกล่าวกับข้าพเจ้าว่า หล่อนเชื่อว่า หล่อนอาจรักเจมส์ พ็อตต์ได้ในวันหนึ่ง แต่วันนั้นไม่เคยมาถึง
แม้เจมส์ พ็อตต์จะดีกับหล่อน และยังว่าจ้างเจนนี่ ไรลีย์มาเป็นสาวใช้ประจำบ้านเพื่อแบ่งเบาภาระให้หล่อนด้วย เขาวางใจให้หล่อนช่วยงานในร้าน รวมไปถึงการทำบัญชี แต่งานที่เขาใช้เลี้ยงชีพทำให้หล่อนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เนื่องจากเขาเปิดร้านขายของเก่าไว้บังหน้ากิจการการรับจำนำและปล่อยกู้ให้คนในย่านไวท์ชาเพิล หากนั่นยังไม่เท่ากับการที่เขาปลอมเครื่องรางและวัตถุโบราณหายากไว้ลวงขายให้นักสะสมที่อยากได้ของเก่าและแปลก ความร่ำรวยของเขามาจากกิจกรรมอย่างหลังเสียมาก แต่หล่อนก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ นอกจากเก็บทุกอย่างไว้กับตัว เพราะอย่างน้อยที่สุด เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีของหล่อนเสียแล้ว
ชีวิตสมรสของหล่อนเป็นไปอย่างเรียบร้อยและค่อนข้างจะเรียบเรื่อย จนกระทั่งเซอร์เอ็ดเวิร์ดตามหาที่อยู่ของหล่อนจนพบ และมาหาหล่อนที่บัคเคิลสตรีท การปรากฎตัวของเขาทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
----------------------------------------------------------------
(1) The Study in Scarlet หรือ สืบคดีสีเลือด เป็นนวนิยายที่มีเชอร์ล็อก โฮล์มส์และ ดร. วัตสันเป็นตัวละครเอกเรื่องแรกของเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Beeton’s Christmas Annual ในปี 1887
(มีต่อนะคะ)