Dark Tales of London: ทวิฆาต (The Man Who Died Twice) - ตอนที่ 4

กระทู้สนทนา
ทวิฆาต (The Man Who Died Twice)
บทนำ : http://ppantip.com/topic/32351131
ตอนที่ 1  : http://ppantip.com/topic/32376238
ตอนที่ 2  : http://ppantip.com/topic/32406733
ตอนที่ 3  : http://ppantip.com/topic/32454296



Guido Reni's 'Saint Sebastian'




----------------------------------------------------



(4)


ไวท์ฮอลล์, ลอนดอน, 22 มกราคม 1889



คดีของเซบาสเตียน อาร์เชอร์พ้นไปจากมือของข้าพเจ้าในรุ่งเช้าที่ข้าพเจ้าเข้าพบผู้บังคับการแผนกสืบสวนสอบสวนเพื่อรายงานผลการชันสูตรศพและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบวานนี้ จะว่าเป็นไปตามคาดก็คงได้ แต่ก็ย่อมดีกว่าและปลอดภัยกว่า ที่ข้าพเจ้าจะเก็บข้อมูลที่ได้รับมาเอาไว้โดยไม่แจ้งต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อที่จะดำเนินการต่อเองอย่างลับ ๆ


เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าคงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เนื่องจากข้าพเจ้ามีส่วนใกล้ชิดกับผู้ที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวพันกับคดีมากเกินไป แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ใช่ตำรวจหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ แต่ระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือนที่เข้ามาทำงานในเดอะยาร์ดยังน้อยเกินไปที่จะสั่งสมประสบการณ์ทาง ‘การเมือง’ เรื่องรับมือกับคดีที่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพและกระทรวงกลาโหมเข้ามาเกี่ยวข้อง ข้าพเจ้าเชื่อสายตาและประสบการณ์ของผู้บัญชาการเจมส์ มอนโร และไม่มีข้อขัดแย้งหรือไม่พอใจในการที่สารวัตรเฮนรี ริชาร์ดสันจะเป็นผู้รับผิดชอบคดีแทนแต่อย่างใด


“สารวัตรขอรับ” เสียงของจ่าวิลเลียม มัสเกรฟที่ดังมาจากทางด้านหลังระหว่างข้าพเจ้าเดินขึ้นบันไดกลับไปยังห้องทำงานในสก็อตแลนด์ยาร์ด ทำให้ข้าพเจ้าหยุดเดิน และหันกลับมาหาเขา


“กระผมได้ข่าวว่าท่านผู้บัญชาการมอบหมายให้สารวัตรริชาร์ดสันเป็นผู้รับผิดชอบคดีเซบาสเตียน อาร์เชอร์แทน” สีหน้าและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง


“ถูกแล้ว สิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้ คือ รวบรวมข้อมูลที่เราหามาได้ ส่งต่อให้สารวัตรริชาร์ดสัน” ข้าพเจ้าตอบ


ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าไม่ได้ตอบอะไร ทำได้แต่พยักหน้าเหมือนยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่โดยดี หากสีหน้าของเขาแสดงชัดว่าเสียใจและเสียดายที่ต้องปล่อยมือจากคดีที่ตนลงแรงสืบหาข้อเท็จจริงมาแต่ต้น ข้าพเจ้าเข้าใจความรู้สึกของเขาดี เพราะแม้จะทำงานร่วมกันมาได้ไม่ถึงปี แต่เราต่างทำงานด้วยกันได้อย่างไม่มีอุปสรรค จ่ามัสเกรฟเป็นนายตำรวจหนุ่มที่มีความเข้มแข็ง อดทน มีความกระตือรือร้น มีสายตาและไหวพริบปฏิภาณที่คนทำงานสืบสวนพึงมีครบถ้วน จึงไม่แปลกใจเลยที่เขาจะนึกผิดหวังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปแตะที่ต้นแขนของเขาปลอบใจ “มาเถอะ เอาข้อมูลที่เราได้มาเขียนรายงานแล้วส่งต่อให้คนอื่นทำ เขาจะได้มีเวลาอ่านและเริ่มต้นสืบหาข้อเท็จจริงต่อโดยเร็ว”


จ่ามัสเกรฟรับคำ และเดินตามข้าพเจ้าไปยังสำนักงาน หากยังคงก้มหน้างุด ไม่เดินอย่างภาคภูมิเช่นปกติ


“ผิดหวังมากหรือ ที่ไม่ได้ทำคดีนี้เอง ทั้งที่ตั้งใจเอาไว้มาก” ข้าพเจ้าถามเขาตรง ๆ เมื่อเดินมาถึงโต๊ะทำงาน


คำถามนั้นทำให้เขาเงยหน้าจากพื้นขึ้นมามองข้าพเจ้า ก่อนจะยอมรับ และมองข้าพเจ้าด้วยความสงสัย “สารวัตรไม่เสียดายหรอกหรือขอรับ กระผมเชื่อว่าคดีนี้เราต้องคลี่คลายได้เช่นเดียวกับคดีมือผีที่บัคเคิลสตรีทคราวก่อนได้แน่”


คำพูดของเขาทำให้ข้าพเจ้าอดยิ้มกับความเชื่อมั่นนั้นไม่ได้ “ฉันก็เชื่ออย่างนั้น แต่คราวนี้ สถานการณ์ต่างออกไป เพราะคดีนี้มีคนรู้จักของฉันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างน้อยสองคน คือ เบนเน็ตต์ ดาลบี้ เพื่อนร่วมห้องเช่าของฉัน และ ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ ซึ่งจ่าคงจะรู้จักอยู่แล้ว การที่ฉันจะวางมือจากการสืบสวนคดีนี้ย่อมเหมาะสมกว่า”


“สำหรับมิสเตอร์ดาลบี้ ผมพอจะเข้าใจ แต่กระผมคาดไม่ถึงว่าสารวัตรจะสนิทสนมกับ ดร. ฟอล์กเนอร์” เขามองข้าพเจ้าอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “กระผมจำได้ว่า จากวันที่เราพบเขาครั้งแรกจนถึงวันนี้ ยังไม่ถึงเดือนดีด้วยซ้ำ”


“ถูกแล้ว ยังไม่ถึงเดือน แต่นับจากวันที่เราปิดคดีฆาตกรรมเจมส์ พ็อตต์ได้ ฉันได้พบปะกับเขาอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะที่บ้านของเขาเพื่อสังสรรค์สนทนากันนอกเวลาและนอกเรื่องการงาน และในวันที่พบศพของร้อยโทอาร์เชอร์ ดร. ฟอล์กเนอร์กับฉันกำลังเพิ่งเสร็จจากการไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน ก่อนที่จะมายังเซนต์เจมส์พาร์ก”


“พวกตำรวจที่ไวท์ชาเพิลบอกผมว่า ไม่มีใครได้เข้าไปในบ้านหรือรู้เรื่องส่วนตัวของ ดร. ฟอล์กเนอร์เลยสักคน”


“ฉันได้เข้าไปในบ้านของเขาตั้งแต่วันแรกที่เราสองคนยังไม่รู้จักกันดีด้วยซ้ำ”


“นั่นเป็นเรื่องที่กระผมนึกไมถึง” จ่ามัสเกรฟสั่นศีรษะ ใช้มือลูบคางของตนเองอย่างครุ่นคิด “ถึง ดร. ฟอล์กเนอร์จะเป็นศัลยแพทย์ตำรวจที่มีความสามารถ แต่ความเย็นชา ไร้อารมณ์ของเขาทำให้กระผมอดกลัวไม่ได้”


เขาทำท่าเหมือนลังเลที่จะพูดต่อ จนกระทั่งข้าพเจ้าบอกให้เขาเอ่ยสิ่งที่เขาคิดอยู่กับข้าพเจ้า และรับรองว่า เขาสามารถพูดได้ทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องกลัวว่า ข้าพเจ้าจะไม่พอใจ


“กระผมอดคิดไม่ได้ว่า การที่เขาพยายามสนิทสนมกับสารวัตรนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่เกี่ยวเนื่องกับคดีในคราวนี้ เขาอาจดึงสารวัตรเข้ามาเกี่ยวข้องในจังหวะและเวลาที่เหมาะสม โดยอาศัยความไว้วางใจของสารวัตรที่มีให้เขา จากนั้นก็ใช้ความสนิทสนมนั้น ผลักสารวัตรให้ออกไปจากคดี ทำให้สืบสาวต่อถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้”


“ดูเหมือนจ่าจะตามสืบเรื่องของ ดร. ฟอล์กเนอร์มามากทีเดียว”


เขายอมรับข้อสังเกตของข้าพเจ้าโดยดุษณี “กระผมไม่ไว้ใจเขานัก เรื่องส่วนตัวและเรื่องในอดีตของเขาไม่ปกติสักเท่าใด”


“พบข้อเท็จจริงอะไรเกี่ยวกับเขาอย่างนั้นหรือ”


“พอสมควรขอรับ โดยเฉพาะความเกี่ยวพันของเขากับผู้ตาย และคนในรัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรีแกลดสโตน”


วิลเลียม มัสเกรฟนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของข้าพเจ้า “สารวัตรเคยได้ยินชื่อ ทิโมธี ฟอล์กเนอร์ หรือเปล่าขอรับ”


ชื่อนั้นเป็นชื่อธรรมดาที่อาจพบเจอได้ทั่วไป แต่นามสกุลของเขามีส่วนพ้องกับ ดร. ฟอล์กเนอร์อย่างมีนัยสำคัญ


“ทิโมธี ฟอล์กเนอร์ อายุสี่สิบ เป็นลูกชายคนโตของทนายเซ็ปติมัส ฟอล์กเนอร์ เขาเป็นเลขานุการของกรรมการบริหารพรรคเสรีนิยม อายุของเขาห่างจากโทเบียส ฟอล์กเนอร์สิบปีเต็ม ด้วยอายุที่ห่างกันมากและรูปร่างหน้าตาที่ไม่คล้ายกันเท่าใด ทำให้ไม่มีใครนึกถึงว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องแท้ ๆ” เขากล่าว หยิบสมุดจดจากกระเป๋าเสื้อนอกมาพลิกอ่าน “ทิโมธี ฟอล์กเนอร์จบการศึกษาด้านรัฐศาสตร์ เขามีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นมีผู้มีชื่อเสียงและอิทธิพลทางการเมืองหลายคน และยังเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนการถอนทหารออกจากพื้นที่ซูดานหลังมอบหมายให้เคดิฟเข้าปกครองอีกด้วย”


“การสมัครเข้าเป็นศัลยแพทย์ทหารของ ดร. ฟอล์กเนอร์ไม่น่าจะตรงไปตรงมา เพราะคนที่ผ่านการอบรมจนได้เป็นสมาชิกราชวิทยาลัยศัลยแพทย์อย่างเขาสามารถเป็นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์ได้อย่างสบาย แต่กลับเข้ารับการอบรมเพิ่มเติมที่เน็ตลีย์ และเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยศัลยแพทย์ ก่อนที่จะได้ขึ้นเป็นศัลยแพทย์ทหารเต็มตัว”


ความสามารถในการค้นคว้าข้อมูลของนายตำรวจเชื้อสายไอริชผู้นี้ไม่เลวเลยทีเดียว เขาอาจเป็นคนช่างระแวง แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะไม่แสดงออกอย่างปราศจากความระมัดระวัง และนั่นก็อดทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดที่ ดร. ฟอล์กเนอร์เคยกล่าวถึงเขาไว้ครั้งหนึ่งว่า วิลเลียม มัสเกรฟจะช่วยงานของข้าพเจ้าได้มาก


สายตาสำหรับมองคนของศัลยแพทย์หนุ่มผู้นั้นใช้ได้ทีเดียว แต่ข้าพเจ้าไม่มั่นใจในสายตาของตนเองว่า มองเขาได้ทะลุปรุโปร่งเพียงใด เพราะใบหน้าและดวงตาคู่นั้นแทบไม่แสดงอารมณ์ออกมาให้ผู้ใดเห็น เหมือนแมวที่ซ่อนกรงเล็บไว้ในอุ้งเท้าโดยที่ข้าพเจ้าไม่อาจรู้ได้ว่า เมื่อเข้าใกล้ด้วยความรักและเอ็นดูแล้ว แมวตัวนั้นจะกางเล็บออกมาข่วนให้ได้แผลเมื่อใด


“จ่าตั้งใจจะบอกว่า ดร. ฟอล์กเนอร์ทำงานเป็นสายลับของรัฐบาลแกลดสโตนเหมือน รท. เซบาสเตียน อาร์เชอร์ ใช่ไหม”


“ถูกแล้วขอรับ” วิลเลียม มัสเกรฟกล่าว แต่แล้วก็ขมวดคิ้ว “ดูเหมือนว่า สารวัตรไม่แปลกใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่”


ข้าพเจ้ามองเขาตอบ “จ่าคิดว่าฉันเชื่อใจเขาไปทั้งใจจนไม่สืบหาข้อมูลเกี่ยวเขาเลยอย่างนั้นหรือ”


“อา…” เขาร้องออกมาได้เท่านั้น แล้วเงียบไป ซึ่งข้าพเจ้าพอจะเข้าใจว่า เขารู้ตัวว่า เขามองข้าพเจ้าคลาดเคลื่อนไปอยู่บ้าง


“ฉันชอบเขา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ฉันจะต้องเชื่อใจเขา”


อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่จ่ามัสเกรฟเสาะหามาได้ ตอกย้ำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า โทเบียส ฟอล์กเนอร์ รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับข้าพเจ้าว่า เขาจะเล่าแต่ความจริงให้ข้าพเจ้าได้รับรู้ทุกประการโดยไม่ปิดบัง


ที่บ้านบนถนนชานเซอรี่เลนนั้น อดีตศัลยแพทย์ทหารได้เปิดเผยความลับเกี่ยวกับตัวของเขาให้ข้าพเจ้าได้รับรู้ และ ‘คำสารภาพ’ ของเขาก็ทำให้ข้าพเจ้าแจ้งแก่ใจว่า เพราะเหตุใด เขาจึงได้ร้องขอให้ข้าพเจ้าอย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้กับใคร


ข้าพเจ้าไม่อาจลืมสีหน้า แววตา และน้ำเสียงของเขาในคืนนั้นได้เลย


---------------------------------------------------------------------




(มีต่อนะคะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่