Dark Tales of London: ทวิฆาต (The Man Who Died Twice) - ตอนที่ 7 (จบ)

ทวิฆาต (The Man Who Died Twice)
บทนำ : http://ppantip.com/topic/32351131
ตอนที่ 1  : http://ppantip.com/topic/32376238
ตอนที่ 2  : http://ppantip.com/topic/32406733
ตอนที่ 3  : http://ppantip.com/topic/32454296
ตอนที่ 4  : http://ppantip.com/topic/32633276
ตอนที่ 5  : http://ppantip.com/topic/32828985
ตอนที่ 6  : http://ppantip.com/topic/32987204

-----------------------------------------------------------------------------


ตอนที่ 7


ไฮเกท, ลอนดอน, 26 มกราคม 1889



สุสานไฮเกทเริ่มเปิดใช้เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1839 อีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะครบกึ่งศตวรรษแห่งการก่อตั้ง สุสานแห่งนี้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือ ตะวันตกและตะวันออก ทั้งสองฝั่งล้วนเต็มไปด้วยความสงบงามสมเป็นที่พักผ่อนสุดท้ายแห่งชีวิตใจกลางกรุงลอนดอน ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน สถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มของพรรณไม้และดอกไม้ป่าที่ผลิสะพรั่ง ทั้งบนต้นที่สูงขึ้นไป และที่ทอดเลื้อยลงแนบผืนดิน ส่วนในฤดูหนาว หิมะที่ปกคลุมและสายหมอกที่ลอยต่ำก็จะทำให้ทั่วทั้งบริเวณเต็มไปด้วยความงามอันเยือกเย็นแปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง


เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ายังทำงานเป็นสารวัตรประจำสถานีตำรวจนครบาลเขตไอส์ลิงตัน หากไม่ไปเดินเล่นที่วอเตอร์โลว์พาร์ก ฝั่งตะวันตกของสุสานไฮเกทก็เป็นอีกที่หนึ่งซึ่งข้าพเจ้ามักใช้เป็นที่หย่อนใจ แม้จะเป็นสุสาน แต่ความร่มรื่น ความเขียวขจี ความเงียบ และความงามของโบสถ์และสถาปัตยกรรมที่อยู่ภายในบริเวณสุสานก็ช่วยให้จิตใจสงบลง และทำให้ข้าพเจ้าคลายความคิดถึงบ้านเกิดกับเมืองอาศัยอย่างโรบินฮู้ดส์เบย์และสกาเบอระได้บ้าง และในบางครั้ง ระหว่างที่เดินเล่นที่นี่  ข้าพเจ้าก็อดคิดถึงแมรี่ ภรรยาผู้ล่วงลับของข้าพเจ้า ซึ่งอาศัยสุสานริมผาของโบสถ์เซนต์แมรี่ในวิทบี้ บ้านเกิดของหล่อนไม่ได้ ยามนี้ หล่อนคงจะนอนหลับอย่างเป็นสุขเช่นเดียวกับผู้ที่หลับไหลอยู่ในสุสานไฮเกทแห่งนี้ไปตลอดกาล ในขณะที่คนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างข้าพเจ้า ยังคงต้องเผชิญกับความวุ่นวายของมหานครลอนดอนที่รออยู่ภายนอก จนกว่าจะถึงเวลาที่ข้าพเจ้าได้ละวางจากทุกสิ่งเพื่อกลับคืนสู่ผืนดินในสักวัน  


หลังได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการของแผนกสืบสวนกลางของตำรวจนครบาล และถูกโยกย้ายเข้ามาประจำสก็อตแลนด์ยาร์ด นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่ข้าพเจ้าได้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง หากมิได้มาด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเดินเล่นหรือพักผ่อนหย่อนใจ แต่เป็นการเข้าร่วมพิธีฝังศพของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีในความรับผิดชอบของข้าพเจ้า แม้ว่าคดีดังกล่าวจะถูกเปลี่ยนมือไปยังสารวัตรริชาร์ดสัน ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปิดคดีแทนข้าพเจ้าแล้วก็ตาม


เมื่อดอกไม้และดินกำสุดท้ายถูกโยนลงในหลุม คนของสุสานก็ใช้พลั่วตักดินที่กองอยู่ลงกลบเหนือโลงศพ ซึ่งเป็นที่พักพิงสุดท้ายของผู้ที่จากไปตลอดกาล และเป็นเวลาที่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จำต้องหันหลังให้บุคคลอันเป็นที่รักทั้งที่ใจยังอาวรณ์เพื่อกลับไปใช้ชีวิตของตนต่อไป


แม้เหล่ามิตรสหายที่มาร่วมไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้ายและครอบครัวของผู้วายชนม์จะทยอยออกจากสุสานไปหมดแล้ว หากข้าพเจ้ายังคงยืนอยู่ที่เดิม เช่นเดียวกับสหายหนุ่มของข้าพเจ้าที่ยังไม่ก้าวออกไปจากที่ที่ยืนอยู่


ในสายหมอกฤดูหนาว และใต้เงื้อมเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ทิ้งใบจนเหลือเพียงกิ่งเปล่าในสุสาน มิได้มีเฉพาะแต่ ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์และข้าพเจ้าที่ยังเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ยังมีสุภาพบุรุษอีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในเสื้อคลุมอินเวอร์เนส (1)  สีดำ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามและกำลังจ้องมองมายังเราสองคน


คะเนจากสายตา ชายผู้นั้นมีอายุพอกันกับข้าพเจ้า เขาไว้จอนหนาและมีหนวดเรียวเหนือริมฝีปาก แม้ใบหน้าของเขาไม่อาจนับได้ว่าหล่อเหลา แต่บุคลิกที่ผึ่งผาย มาดมั่น ภูมิฐานกลับทำให้เขาน่ามองอย่างประหลาด และมีบางอย่างในตัวเขาที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่แน่ใจว่า ข้าพเจ้าพบเขาเป็นครั้งแรก


ศัลยแพทย์หนุ่มจับปีกหมวกที่สวมอยู่ให้อีกฝ่ายเป็นการทักทาย พร้อมเอ่ยถามเมื่อชายผู้นั้นเดินเข้ามาหา “มาด้วยหรือ ผมไม่ทันเห็น”


“มาเมื่อจวนจบพิธีแล้วและยืนอยู่ทางด้านหลัง ไม่แปลกที่จะไม่ทันเห็น ไม่เช่นนั้น ก็ทำเป็นไม่เห็น” ผู้มาใหม่ตอบความ ก่อนยื่นมือออกมาสัมผัสกับมือของข้าพเจ้า “คุณคงเป็นสารวัตรไมเคิล เฟย์ แห่งแผนกสืบสวนอาชญากรรม ตำรวจนครบาล ผมชื่อ ทิโมธี ฟอล์กเนอร์ เป็นพี่ชายของ มร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ ยินดีที่ได้รู้จัก”


“เป็นเกียรติที่ได้พบ” ข้าพเจ้ารู้สึกได้ถึงแรงบีบหนักหน่วงจากมือของเขา “ผมเคยได้ยิน ดร. ฟอล์กเนอร์พูดถึงอยู่”


คำกล่าวนั้นทำให้เขาเหลือบตามองน้องชายของตนเองยิ้ม ๆ “นึกว่าไม่อยากเอ่ยถึงกันแล้วเสียอีก”


“ถ้าชังนัก คงเดินหนีไปตั้งแต่เห็นหน้าแล้ว” ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ว่าด้วยสีหน้าและน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย ก่อนหันหลังให้ และก้าวเท้าออกไปจากบริเวณที่ฝังศพ


“โทบี้” ทิโมธี ฟอล์กเนอร์ขานชื่อผู้อ่อนวัยกว่า “พี่ขอโทษ”


คำพูดดังกล่าวทำให้เท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าของศัลยแพทย์หนุ่มหยุดลง และหันหลังกลับมาหาพี่ชายคนโตของตนเอง “พี่ไม่จำเป็นต้องขอโทษผมหรอก… คนที่พี่ควรจะขอโทษ คือ ฮันนาห์ วัตกิ้นส์ พี่น้องอาร์เชอร์ สารวัตรเฟย์ และทางสก็อตแลนด์ยาร์ด ไม่ใช่ผม”


นักการเมืองหนุ่มนิ่งอึ้งไปกับคำพูดของเขา ส่วนข้าพเจ้าเองก็พลอยเงียบไปด้วยไม่คาดคิดว่า เขาจะกล่าวเช่นนั้น


“ที่นี่ไม่เหมาะที่จะคุยกัน” ดร. ฟอล์กเนอร์เอ่ย “เราเดินไปที่อียิปเชียนอเวนิว (2) เถอะ”


‘อียิปเชียนอเวนิว’ หรือ ‘ถนนอียิปต์’ ที่เขาเอ่ยถึงเป็นทางเชื่อมสู่อีกด้านหนึ่งของสุสาน ซึ่งทำเป็นซุ้มประตูโค้งหรืออุโมงค์ขนาดใหญ่มีรูปทรงและลวดลายแปลกตาเหมือนทางเข้ามหาวิหารในดินแดนไอยคุปต์ อันเป็นทางผ่านไปสู่ศูนย์กลางของสุสานไฮเกทฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีสุสานใต้ดิน (3)  ที่ถูกสร้างเป็นวงกลมล้อมรอบต้นซีดาร์เก่าแก่ เรียกว่า ‘วงเวียนแห่งเลบานอน’ (4) ตั้งอยู่


ตลอดทางที่เดินไป ไม่มีใครพูดอะไรกันเลยสักคำ ในความรู้สึกของข้าพเจ้า ความห่างเหินของพี่น้องฟอล์กเนอร์ไม่ได้เกิดจากความโกรธเกลียดหรือทิฐิที่ต่างฝ่ายต่างมีต่อกัน ไม่เช่นนั้นแล้ว คงไม่มีคำขอโทษและขอบคุณออกจากปากของชายทั้งสอง แต่ข้าพเจ้าคิดว่าช่องว่างระหว่างพวกเขานั้นเกิดจากการไม่รู้ว่าจะเริ่มเปิดใจพูดกันอย่างไรเสียมากกว่า


ดร. ฟอล์กเนอร์เป็นคนเงียบและเก็บความรู้สึกเสียจนเหมือนคนเย็นชา ความตรงไปตรงมาเมื่อต้องการพูดในสิ่งที่คิดทำให้เขาเหมือนคนไม่สนใจความรู้สึกของใคร การก้าวข้ามกำแพงที่เขาสร้างไว้กั้นขวางมิให้คนนอกเข้าถึงอาณาเขตส่วนตัวของเขาไม่ใช่เรื่องง่าย แม้กระทั่งกับคนที่มีความสามารถในการพูดชักจูงคนอื่นอย่าง มร. ฟอล์กเนอร์ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ


“คุณหมอเป็นห่วงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้สก็อตแลนด์ยาร์ดต้องเสียชื่อ และฮันนาห์ วัตกินส์จะตายเปล่าสินะ” สถานที่และบรรยากาศรอบตัวเงียบงันจนข้าพเจ้ารู้สึกว่า เสียงของตัวเองสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ และอาจทำลายความสงบในการหลับใหลของเหล่าผู้ที่จากไปอย่างไม่น่าให้อภัย


ดร. ฟอล์กเนอร์หันมามองข้าพเจ้าแวบหนึ่ง “สารวัตรเข้าใจความหมายของผมสินะครับ”


“ผมคิดว่า ผมเข้าใจ” ข้าพเจ้าตอบ และหันไปทาง มร. ทิโมธี ฟอล์กเนอร์ “บอกตามตรงว่า เรื่องของมิสวัตกิ้นส์คือสิ่งที่รบกวนจิตใจของผมเป็นอันดับหนึ่ง ความผิดหวังที่จะได้เห็นคนร้ายได้รับโทษอย่างตรงไปตรงมาเป็นอันดับสอง แต่สำหรับชื่อเสียงของสก็อตแลนด์ยาร์ดที่อาจเสียไปนั้น ผมไม่ใส่ใจเท่าใด เพราะการมีคดีที่ปิดไม่ลงเพิ่มมาอีกคดีหนึ่งก็แค่ทำให้ความคาดหวังและศรัทธาของประชาชนที่มีต่อตำรวจนครบาลซึ่งมีน้อยอยู่แล้วนับแต่เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ไวท์ชาเพลลดลงไปอีกเล็กน้อยเท่านั้น”


ข้าพเจ้าตัดสินใจหยุดเดินเพื่อพูดคุยเรื่องดังกล่าวเสียให้จบโดยไม่ขาดตอน และในขณะเดียวกัน ก็เพื่อให้สหายหนุ่มของข้าพเจ้าซึ่งยืนมานานนับชั่วโมง ซึ่งบัดนี้เริ่มเดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัดได้พักชั่วครู่


“ความตายของพันเอกโกลด์เบิร์กและร้อยเอกบาร์เทิลบี้ คือ สิ่งที่เรารู้เห็นและเข้าใจร่วมกันว่า นี่คือจุดจบของเรื่องทั้งหมดอย่างที่ ‘ควรจะเป็น’ เพื่อให้เรื่องทั้งหมดยุติลง และปิดผนึกเหตุการณ์ในอดีตไปพร้อมกับตะปูที่ตอกลงบนฝาโลงศพและดินที่กลบฝังพวกเขาในสุสานแห่งนี้ไปตลอดกาล”


ข้าพเจ้าหยุดพักหายใจชั่วครู่ ก่อนที่จะกล่าวต่อ เมื่อ ดร. ฟอล์กเนอร์พยักหน้าสนับสนุนให้ข้าพเจ้าพูดต่อไป


“สำหรับผมแล้ว ฮันนาห์ วัตกิ้นส์ คือ ผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง เพราะหล่อนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นใด ๆ เกี่ยวกับการตามล่าคนทรยศในปฏิบัติการช่วยเหลือนายพลกอร์ดอนที่ซูดานเลยแม้แต่น้อย แต่กลับต้องมาตาย เพราะเรื่องดังกล่าว ผมเชื่อว่า หล่อนร่วมมือกับร้อยเอกบาร์เทิลบี้ เพราะต้องการเงินไปเลี้ยงครอบครัว ด้วยค่าจ้างไม่กี่กินนีจากการทำงานในโรงฝึกอาชีพสำหรับคนยากไร้ไม่พอสำหรับเลี้ยงปากท้อง แต่สุดท้าย หล่อนกลับถูกใช้เป็นเหยื่อล่อซึ่งถูกฆ่าทิ้งอย่างไร้ค่า”


“ส่วนเซบาสเตียน อาร์เชอร์ตัวจริง ที่ใช้ชีวิตภายใต้ชื่อของเอ็ดมันด์ ผู้เป็นน้องชายนั้น ผมเชื่อเหลือเกินว่า เขายอมรับความตายด้วยความยินดี เพราะอย่างน้อยที่สุด ในวาระสุดท้าย เขาก็ได้ตายในชื่อของตนเอง และ การสละชีวิตเพื่อให้ความลับตายไปกับตัวถือเป็นการทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วในฐานะสายลับ ไม่ว่าคดีของเขาจะถูกสรุปว่า เป็นอุบัติเหตุ หรือ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการวิวาทที่พินชินสตรีท ขอเพียงแต่รักษาสิ่งที่เขาต้องการให้เก็บเป็นความลับเอาไว้ ผมเชื่อว่า เขาจะยอมรับบทสรุปที่เกิดขึ้นได้ทุกประการ”


“สำหรับกรณีการสังหารร้อยโทอาร์เชอร์และการลอบยิง ดร. ฟอล์กเนอร์ระหว่างการสู้รบที่อาบูเคลีย เป็นสิ่งที่เข้าใจได้…” ข้าพเจ้ามองศัลยแพทย์หนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ “และผมเชื่อว่า ดร. ฟอล์กเนอร์เองก็ไม่ติดใจอะไรกับเรื่องดังกล่าว ถูกต้องไหมครับ คุณหมอ”


เมื่อถูกถาม ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองข้าพเจ้าอย่างไม่คาดคิดว่า ข้าพเจ้าจะให้เขาเป็นคนตอบ เขามองข้าพเจ้าสลับกับทิโมธี ฟอล์กเนอร์อย่างไม่มั่นใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยปากได้หลังข้าพเจ้าพยักหน้ายืนยันว่า เขาควรพูดเรื่องของตนเอง


“เซ็บและผม พันเอกโกลด์เบิร์กและร้อยเอกบาร์เทิลบี้ เราต่างทำหน้าที่ของตนเอง ในฐานะสายลับของรัฐบาลแกลดสโตน และคนที่ต้องการรักษาความลับของกองทัพไม่ให้รั่วไหล ในเวลาอย่างนั้น หากเซ็บและผมถูกจับได้และเป็นอะไรไปเพราะการนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”


เริ่มแรก คำพูดที่ออกมาจากปากของเขาเบาและช้า เหมือนต้องการใช้เวลาเรียบเรียง เพราะการพูดเรื่องของตัวเองสำหรับเขาดูจะยากเย็นและเชื่องช้าต่างจากเวลาที่เขาบรรยายสภาพบาดแผลและข้อค้นพบทางการแพทย์ที่มั่นใจ รวดเร็ว และเต็มไปด้วยรายละเอียดอย่างสิ้นเชิง หากเมื่อกล่าวออกมาได้ คำพูดและความรู้สึกของเขาจึงค่อยพรั่งพรูออกมาอย่างไม่ยากลำบากนัก


“ถ้าพันเอกโกลด์เบิร์กหรือร้อยเอกบาร์เทิลบี้ยิงเราสองคนในสถานการณ์นั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องนอกกติกาอีกเหมือนกัน”




(มีต่อนะคะ)

____________________________________________________

หมายเหตุ
(1) Inverness Cape เสื้อโค้ตตัวยาวแบบไม่มีแขน แต่ทำเป็นผ้าคลุมทับช่วงไหล่ มีช่องให้แขนลอดออกมาจากคัวเสื้อแทน แบบที่เชอร์ล็อก โฮล์มส์ใส่กับหมวกล่ากวาง

(2) Egyptian Avenue

(3) Catacomb

(4) Circle of Lebanon
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่