Dark Tales of London : มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 4

กระทู้สนทนา
บทนำ : http://ppantip.com/topic/32052994
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 1 : http://ppantip.com/topic/32071542
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 2 : http://ppantip.com/topic/32113866
มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 3 : http://ppantip.com/topic/32161547

ตอน The Hand of Glory นี้มีทั้งหมด 5 ตอน ตอนนี้อาจจะยาวสักหน่อยนะคะ ส่วนตอนหน้าก็จะเป็นตอนจบแล้ว ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านและแวะมาคุยกันเป็นอย่างยิ่งค่ะ  ^^

----------------------------------------------------

(4)

บัคเคิลสตรีท, ลอนดอน, 29 ธันวาคม 1888



“ผมเกลียดอากาศฤดูหนาวในลอนดอนเสียจริง”


ดร. ฟอล์กเนอร์พึมพำหลังก้าวลงจากรถม้า เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความรู้สึกของตนเองออกมาให้ได้ยิน น้ำเสียงและสีหน้าของเขาแสดงความไม่ชอบใจอย่างจริงจัง ท่าทางการดึงปกเสื้อโค้ตขึ้นจนถึงคางและกระชับเสื้อเข้าหาตัว มองแล้วน่าขันและน่าเห็นใจไปพร้อมกัน ด้วยเขาดูต่างจากนายแพทย์ผู้ทำหน้าที่ชันสูตรศพด้วยสีหน้าเรียบเฉยแทบเป็นคนละคน


อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับเขาว่าบรรยากาศฤดูหนาวในลอนดอนไม่ใช่สิ่งที่น่าพิศมัย โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในอีสต์เอนด์ ซึ่งคนครึ่งค่อนเป็นชนชั้นล่างที่อยู่กันอย่างแออัด อากาศช่วงย่ำค่ำไม่เพียงแต่หนาวเย็น หากยังมืดลงอย่างรวดเร็ว แม้ริมทางสาธารณะจะมีกระถางใส่ก้อนถ่านหินเผาไฟให้ความอบอุ่นอยู่บ้าง แต่เถ้าจากเชื้อไฟก็ฟุ้งกระจายไปทั่วสารทิศ เกาะติดตามหมวกและเสื้อผ้า กลิ่นควันไฟที่ปะปนกับกลิ่นอับชื้นที่ลอยอวลอยู่ในอากาศเพิ่มความอึดอัดเป็นทวีคูณ  


สำหรับคนที่เคยสัมผัสกับโลกภายนอกที่สว่าง กว้างขวาง และปลอดโปร่งเช่นข้าพเจ้าซึ่งเกิดและเติบโตที่อื่นนั้น รู้ซึ้งถึงความแตกต่างเป็นอย่างดี แต่สำหรับคนที่เกิดและเติบโตมาในย่านนี้มาทั้งชีวิต นี่คือสิ่งปกติสำหรับพวกเขา และหากยิ่งเดินทางลึกเข้าไปในไวท์ชาเพิล เซนต์ไจลส์ หรือเบทนัลกรีน ทุกอย่างจะเลวร้ายกว่านี้อีกหลายเท่า ทว่าสำหรับบางคนที่เดินทางจากชนบทมาแสวงโชคในลอนดอนด้วยความหวังว่าจะทำเงินหรือมีกินมีใช้ ไม่ว่าจะรู้ถึงความแตกต่างหรือไม่ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ว่าจะชอบหรือไม่ จนกว่าจะมีโชคพอ


แม้จะไปบ่นอย่างนั้น แต่ข้าพเจ้ารู้ว่า ดร. ฟอล์กเนอร์ไม่ได้รังเกียจการเดินทางเข้ามาในย่านนี้แต่อย่างใด ข้าพเจ้าเห็นเขาส่งมือให้เจนนี่ ไรลีย์ สาวใช้ของสามีภรรยาพ็อตต์ และเป็นแม่ของลูกนอกสมรสของผู้ตายจับ เพื่อช่วยหล่อนลงจากรถม้า ในขณะที่ข้าพเจ้าจ่ายเงินให้คนขับ พร้อมบอกให้เขากลับมารับในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า โดยสัญญาว่าจะจ่ายเงินเพิ่มให้


ก่อนแยกกับคลาร่า พ็อตต์ ภรรยาของผู้ตาย ข้าพเจ้าขอตัวเจนนี่จากหล่อน เพื่อให้กลับไปเปิดบ้าน และห้องที่ปิดไว้ให้ข้าพเจ้า เนื่องจากข้าพเจ้าต้องการตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุอีกครั้งหนึ่ง ในคราวแรก หล่อนมีท่าทีลังเล แต่เมื่อ ดร. เวสต์และ ดร. ฟอล์กเนอร์แนะนำว่า สุขภาพของเจนนี่ไม่สมบูรณ์นัก และจะไปเป็นภาระให้หล่อนเสียมากกว่า ประกอบกับความจำเป็นที่ควรมีใครสักคนในบ้านอยู่เป็นพยานการตรวจที่เกิดเหตุ มิสซิสพ็อตต์จึงได้ยอม


นอกจากศัลยแพทย์ตำรวจทั้งสองคนแล้ว อีกคนหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องขอบคุณ คือ จ่าวิลเลียม มัสเกรฟ ลูกน้องของข้าพเจ้า เพราะไม่เพียงแต่เขาจะอดทนกับการผ่าศพที่น่าหวาดเสียวได้อย่างดีแล้ว เขาได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่า เขาเป็นตำรวจที่ฉลาดและมีทักษะที่ดีในการสอบถามพยาน โดยระหว่างเดินทางมายังร้านขายของเก่าที่บัคเคิลสตรีท จ่ามัสเกรฟอาศัยความที่มีอายุไล่เลี่ยกันและมีพื้นเพเป็นชาวไอริชเหมือนกันทำให้เจนนี่วางใจ และพูดคุยกับเขามาตลอดทาง ซึ่งเรื่องที่สนทนากันนั้นไม่ใช่เรื่องเรื่อยเปื่อย หากแต่เกี่ยวข้องกับคดีของเราทั้งสิ้น


เจนนี่ทำงานเป็นสาวใช้ของครอบครัวพ็อตต์มาเป็นเวลาห้าปี ตั้งแต่หล่อนอายุสิบเจ็ด กินอยู่หลับนอนในห้องเล็ก ๆ ใกล้กับครัวและกลับบ้านเฉพาะช่วงวันหยุดหรือมีกิจธุระเท่านั้น โดยหล่อนรับผิดชอบทำความสะอาดทั่วไปทั้งในร้าน และในบ้าน เพื่อแบ่งเบาภาระของของคลาร่า ซึ่งจะรับผิดชอบในการทำความสะอาดและช่วยเจมส์ทำบัญชีสินค้า หล่อนเล่าให้จ่ามัสเกรฟฟังว่า เมื่อครั้งที่มาใหม่ ๆ คลาร่าเป็นคนสอนงานทุกอย่างให้หล่อนด้วยตนเองทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่หล่อนออกจะพิศวงอยู่มาก เนื่องจากนายหญิงของหล่อนนั้นมีความเชี่ยวชาญเรื่องการบ้านการเรือนอย่างยิ่ง ราวกับเคยทำงานเป็นสาวใช้ให้กับคฤหาสน์หรือบ้านของเศรษฐีมาก่อน แต่หล่อนก็ไม่เคยกล่าวข้อสังเกตนี้กับใคร


สามีและภรรยาพ็อตต์ต่างปฏิบัติต่อหล่อนดีตามสมควร โดยเฉพาะเจมส์ พ็อตต์ซึ่งชอบใจหล่อนเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่หล่อนสารภาพออกมาเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง เพราะเจนนี่บอกว่า หล่อนไม่ได้รักใคร่นายจ้างของหล่อนเชิงชู้สาว หากเป็นการหลับนอนเพื่อเงิน โดยที่คลาร่าเองก็รู้เห็นทุกอย่างและบางครั้งก็เป็นคนจ่ายเงินให้หล่อนด้วยตนเองด้วยซ้ำไป ทั้งสามีและภรรยาพ็อตต์ต่างรับรู้การตั้งครรภ์ของหล่อน ด้วยความที่หล่อนไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น พวกเขาจึงสัญญากับหล่อนว่า จะรับลูกของหล่อนเป็นบุตรบุญธรรม เนื่องจากเขาทั้งสองไม่มีลูกด้วยกัน


ในช่วงเวลาที่หล่อนบอกเรื่องที่ตนตั้งครรภ์ให้สามีภรรยาพ็อตต์รับรู้นั้น เจมส์ พ็อตต์ไม่ได้มีท่าทีวิตกทุกข์ร้อน แต่กลับหัวเราะด้วยความยินดี พร้อมบอกหล่อนไม่ให้กังวลว่าลูกที่เกิดมาจะลำบาก เพราะ ‘เดอะ แฮนด์ ออฟ กลอรี่’ ที่เขาได้มาจากเพื่อนกลาสีที่เคยออกเรือด้วยกันเมื่อนานมาแล้วนั้นเป็นของนำโชค และเมื่อขายให้เซอร์เอ็ดเวิร์ด สแตนตันได้ เขาจะกลายเป็นเศรษฐีย่อม ๆ เลยทีเดียว


ความตายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและน่าสยดสยองของนายจ้างของหล่อน ทำให้หล่อนรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ เพราะเมื่อสิ้นเขาไปแล้ว ชีวิตของหล่อนจะเป็นอย่างไรต่อไป และคลาร่าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับหล่อนหรือไม่ ประกอบกับมีอาการแพ้ท้องทำให้หล่อนคลื่นไส้ เป็นลมอยู่บ่อยครั้ง และมีอารมณ์อ่อนไหวจนร้องไห้ได้ง่าย ๆ อย่างที่เห็น  อย่างไรก็ตาม การที่คลาร่าประกาศว่าหล่อนตั้งครรภ์ลูกของเจมส์ พ็อตต์ต่อหน้าพวกข้าพเจ้านั้น เป็นเรื่องที่หล่อนคาดไม่ถึง และทำให้หล่อนตกใจเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อข้าพเจ้าถามว่าหล่อนเคยเห็น ‘เดอะ แฮนด์ ออฟ กลอรี่’ ที่เจมส์ พ็อตต์นำมาหรือไม่ เจนนี่ตอบว่า เขานำมาให้หล่อนดู แต่หล่อนก็ไม่กล้าดูเต็มตา เพราะมือข้างนั้นดูน่ากลัวเกินไป และทำให้หล่อนไม่อยากเข้าไปทำความสะอาดในห้องหนังสือ แม้ว่าเขาจะใส่ไว้ในกล่องกำมะหยี่ปิดฝาไว้ก็ตาม อย่างน้อยที่สุด ก็จนกว่าเขาขายมือมนุษย์ทำแห้งนั้นไป


สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับความกระจ่างมากขึ้นจากปากคำของเจนนี่ คือ มือผีที่หายไปนั้นมีอยู่จริง แต่มันหายไปที่ใด ถูกซ่อนไว้ที่ใด หรือถูกทำลายทิ้งไปแล้ว ยังไม่ทราบได้ และมือของคลาร่าที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสมาก่อนหน้านี้ เป็นมือของคนที่ทำงานหนักมาก่อนจริง ๆ ซึ่งเป็นไปได้ว่า หล่อนอาจเคยเป็นคนรับใช้ในบ้านของผู้มีอันจะกินมาก่อน อย่างที่เจนนี่ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ หากเป็นดังนั้นจริง การที่หล่อนไปรู้จักกับพวกกลาสีเรืออย่างเจมส์ พ็อตต์ได้ก็น่าสนใจพอกันกับเรื่องที่สามีของหล่อนไปรู้จักกับมหาเศรษฐีนักเดินเรืออย่างเซอร์เอ็ดเวิร์ด สแตนตันนั่นเอง


“เชิญข้างในเจ้าค่ะ” เจนนี่บอก เมื่อไขกุญแจเข้าไปในร้านและเปิดประตูให้พวกข้าพเจ้าเข้าไปภายใน ข้าพเจ้าบอกให้จ่ามัสเกรฟและ ดร. ฟอล์กเนอร์เข้าไปก่อน โดยที่ข้าพเจ้าตามไปเป็นคนสุดท้าย และกำชับให้พลตระเวนที่ทำหน้าที่เฝ้าที่เกิดเหตุคอยดูและรายงานสถานการณ์ภายนอกให้รับทราบ


“คุณหมอ มีอะไรหรือ” ข้าพเจ้าถาม เมื่อเห็น ดร. ฟอล์กเนอร์ยังหยุดยืนอยู่กับที่ ยังไม่ขึ้นบันไดไปชั้นบนซึ่งเป็นชั้นที่เกิดเหตุ


“เปล่าครับ” เขาตอบ “แค่ยืนดูอะไรนิดหน่อยเท่านั้น”


“ของในร้านออกจะพิสดารอยู่สักหน่อยสำหรับผม” ข้าพเจ้าว่า “แต่คนที่สนใจเรื่องตำนานและความเชื่ออย่างคุณหมอ คงเห็นว่าเป็นของน่าสนใจกระมัง”


เขาโคลงศีรษะ “ถ้าเป็นของจริงก็น่าสนใจอยู่ ส่วนใหญ่เป็นของปลอมเสียมากกว่า แต่ก็ปลอดภัยดี สำหรับคนที่อยากได้ไว้เป็นของสะสม หรือเอาไว้ดูเล่นเป็นของแปลก”


“ปลอดภัยดี หมายความว่าอย่างไรกัน คุณหมอ”


“ปลอดภัยดี หมายความว่า ไม่เป็นอันตรายกับเจ้าของอย่างไรเล่าครับ สารวัตร”


ดร. ฟอล์กเนอร์มองข้าพเจ้าที่กำลังขมวดคิ้วด้วยความสนเท่ห์ แล้วหัวเราะ


“ถ้าคนเราใช้ความเชื่อเรื่องโชคลางของตนไปในทางที่ผิด หรือใช้ไปในทางที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือประสงค์ร้ายต่อเขา ของสิ่งนั้นก็ย่อมเป็นโทษกับผู้ครอบครองมากกว่าจะเป็นคุณ” เขาเฉลย “โดยเฉพาะเมื่อเชื่อว่าสิ่งที่ได้มาเป็นของจริง และฝากความหวังไว้กับมันมาก ความเชื่อว่าตนจะได้รับประโยชน์มักจะรุนแรงกว่าปกติ กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป หรือรู้ว่าผลตอบแทนที่ได้ ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง ก็มักจะสายเกินเยียวยาไปเสียแล้ว”


“ในเมื่อเป็นของปลอม คนที่มองออกก็คงจะไม่ซื้อ แล้วนายพ็อตต์จะทำเงินจากสิ่งเหล่านี้จนร่ำรวยได้อย่างไร” ข้าพเจ้าว่า “ข้าวของที่เขาใช้ล้วนมีราคา ออกจะหรูหราและฟุ่มเฟือยเกินไปเสียด้วยซ้ำ”


“ก็อาจเป็นอย่างที่สารวัตรตั้งข้อสงสัยเอาไว้ว่า เขาอาจปล่อยเงินกู้ รับจำนำ หรือรีดเอาทรัพย์จากใครมาก็เป็นได้” เขาบอก “ข้อหลังนั้น ก็น่าคิดอยู่ แต่ในเมื่อไม่มีเหยื่อมาแจ้งความ ก็ยากที่จะพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้ตายไปแล้ว”


ข้าพเจ้าฟังแล้วก็เห็นพ้องตามนั้น และได้แต่ถอนใจ


“เราคงได้ความกระจ่างสักวันหนึ่ง” ดร. ฟอล์กเนอร์ก้าวขึ้นบันไดมาหาข้าพเจ้า แต่เดินช้าลงกว่าเดิมมาก และดูเหมือนจะทิ้งน้ำหนักลงที่ขาขวามากกว่าซ้าย เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น และมองเห็นข้าพเจ้าที่หยุดยืนรอเขาอยู่บนบันได ก็เอ่ยขึ้นเหมือนอ่านสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจออก “ผมเจ็บขาอยู่แล้วนิดหน่อย กลับไปพักก็หาย สารวัตรไม่ต้องห่วง ไม่ต้องโทษตัวเอง ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องขอโทษ เพราะผมเป็นคนเต็มใจที่จะช่วยเพื่อสนองความสงสัยใคร่รู้ของผมเอง”


ถึงเขาจะบอกเช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าก็นึกเคืองตัวเองอยู่ดีที่ควรสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่า การที่เขานั่งเหยียดขาอยู่บนโซฟา โดยไม่ขยับไปไหนตั้งแต่แรกพบข้าพเจ้านั้น ก็ด้วยเหตุนี้ มิใช่เพราะเขาไม่ใส่ใจแสดงมารยาทต่อผู้อื่น


“สารวัตร” เขาเอ่ยเมื่อเดินมาถึงจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ “สารวัตรจำเรื่องมันดราโกรา หรือ ‘แมนเดรก’ ที่ผมเล่าให้ฟังได้ไหรือไม่”  


“จำได้” ข้าพเจ้าตอบ “มีอะไรหรือคุณหมอ”


“สารวัตรทราบความหมายอีกอย่างของคำว่า ‘แมนเดรก’ หรือเปล่า” เขาว่า “ความหมายแฝงที่ใช้หมายถึงสิ่งอื่น”


สิ่งที่เขาพูดทำให้ข้าพเจ้าชะงัก พยายามคิดตามเขาอยู่ชั่วขณะ และคำตอบที่ข้าพเจ้านึกได้ทำให้ข้าพเจ้าจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง


“คุณพระช่วย… เขาคิดจะเรียกค่าปิดปากจากเซอร์เอ็ดเวิร์ดจริงหรือนี่”





(มีต่อนะคะ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่