Dark Tales of London:
มือมาร (The Hand of Glory)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทนำ : http://ppantip.com/topic/32052994
ตอนที่ 1 : http://ppantip.com/topic/32071542
ตอนที่ 2 : http://ppantip.com/topic/32113866
ตอนที่ 3 : http://ppantip.com/topic/32161547
ตอนที่ 4 : http://ppantip.com/topic/32210478
ตอนจบ : http://ppantip.com/topic/32260401
ทวิฆาต (The Man Who Died Twice)
บทนำ :
http://ppantip.com/topic/32351131
ตอนที่ 1 :
http://ppantip.com/topic/32376238
---------------------------------------------------------------------------------
(2)
ชานเซอรี เลน, ลอนดอน, 21 มกราคม 1889
“น่าละอายจริง ที่ผมทำให้สารวัตรต้องเดือดร้อนไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”
ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์นั่งลงบนเก้าอี้ชุดรับแขกข้างกันกับข้าพเจ้าหลังจากมื้ออาหารค่ำ ผมของเขาที่ตกลงปรกเหนือหน้าผากผิดจากทุกครั้งที่มักจะหวีเสยขึ้นอย่างเรียบร้อย ทำให้เขาดูเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยมากกว่าศัลยแพทย์ประจำดิวิชั่นเอชที่ตำรวจแทบทั้งไวท์ชาเพิลหวาดหวั่นที่จะทำงานด้วย และยังเป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์มามากมายทั้งในสนามรบและในมหานคร
“คงน่าสังเวชพิลึก ถ้าศัลยแพทย์ตำรวจต้องกลายเป็นศพให้เพื่อนร่วมวิชาชีพตรวจ เนื่องจากเผลอหลับไประหว่างอาบน้ำจนกระทั่งจมน้ำหรือหนาวตายอยู่ในอ่างน้ำภายในบ้านของตัวเอง”
“คุณหมอ นั่นเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ไม่น่าขันเลย”
“แต่สารวัตรกำลังหัวเราะ”
อย่างที่เขาว่า ข้าพเจ้าเผลอหัวเราะออกมาจริง ๆ เมื่อนึกตามตลกร้ายที่เขากล่าว ทั้งที่ไม่ควรจะหัวเราะเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะสถานการณ์ที่ตึงเครียดมาทั้งวันทำให้ข้าพเจ้าใกล้เป็นโรคประสาทเต็มทนจึงได้เส้นตื้นผิดปกติธรรมดาก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุอันใด ข้าพเจ้าก็ห้ามตัวเองเอาไว้ไม่อยู่จริง ๆ
เขาและข้าพเจ้ามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะออกมาพร้อมกันโดยที่ต่างคนก็ต่างไม่ทราบว่าตนเองขบขันอะไรหนักหนา แต่การหัวเราะก็ช่วยให้ผ่อนคลายลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะตลอดเวลาอาหารค่ำ เราแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย
“มิสซิสดาร์ลตันยังไม่ทราบเรื่องนี้ใช่ไหม” เขาถามข้าพเจ้า หลังจากบังคับตนเองให้หยุดหัวเราะได้สำเร็จ
“ยังหรอก” ข้าพเจ้าว่า “หากหล่อนรู้ บ้านของคุณหมอคงไม่เงียบอย่างนี้กระมัง”
“จริงของสารวัตร” ดร. ฟอล์กเนอร์ยิ้ม “ตะกี้นี้ ผมมีเรื่องต้องคุยกับมิสซิสดาร์ลตันเล็กน้อย ขออภัยที่ทำให้เสียเวลารอ หนังสือสนุกไหมครับ”
“อา…” ข้าพเจ้าก้มมองหนังสือนิยายเรื่อง ‘Study in Scarlet’ ของอาเธอร์ โคนัน ดอยล์ในมือ “ผมพลิกดูรูปเล่นเสียมากกว่าจะอ่านตัวหนังสือ นิยายเรื่องนี้ ผมเคยอ่านมาตั้งแต่สมัยที่ลงในนิตยสารบีตั้นส์
(1) แล้ว อ่านได้เพลินดี แต่ผมออกจะชอบเรื่องแนวผจญภัยของเขามากกว่า เรื่อง John Huxford’s Hiatus ที่ลงในคอร์นฮิลล์
(2) ปีก่อนก็ไม่เลวเลย แต่หากเขาจะเขียนนิยายที่มีนักสืบที่ปรึกษาอย่างเชอร์ล็อก โฮล์มส์ต่ออีกสักเรื่อง ผมเชื่อว่ามีคนรออ่านอยู่อีกมาก”
“หมอโคนัน ดอยล์เป็นนักเขียนที่มีฝีมือ อัลเฟรดหมายมั่นจะติดต่อเขาให้เขียนนิยายเรื่องยาวลงคอร์นฮิลล์บ้าง แต่แว่วว่าทางลิพพินค็อตต์
(3) ก็สนใจเขาอยู่ และบรรณาธิการของทางนั้นคิดชักชวนให้เขาเขียนเชอร์ล็อก โฮล์มส์ตอนใหม่ด้วย เพราะอย่างนี้ อัลเฟรดจึงต้องนัดรับประทานอาหารค่ำกับพวกบรรณาธิการคนอื่นเพื่อหารือเรื่องนี้” เขาพูดถึงเพื่อนที่ขอแบ่งเช่าแฟลตแห่งนี้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกองบรรณาธิการของนิตยสารคอร์นฮิลล์และเป็นนักเขียนอยู่ด้วย “เคราะห์ดีที่เขาได้รับอนุญาตจากสารวัตรให้เขียนถึงคดีมือผีนั่น เป็นอันว่ามีเรื่องลึกลับนักสืบไว้รอลงหนังสือให้เบาใจอยู่ได้บ้าง”
“คุณหมอไม่คิดจะเขียนหนังสือขายอย่าง มร. คอร์ทนีย์ หรือ โคนัน ดอยล์ดูบ้างหรือ” ข้าพเจ้าถาม
เขาเอียงศีรษะมองข้าพเจ้า “ผมเห็นว่าสารวัตรก็ชำนาญการอนุมานเหมือนพ่อนักสืบของหมอโคนัน ดอยล์ดีอยู่ ทำไมจึงไม่เขียนหนังสือขายดูบ้างเล่า”
ข้าพเจ้าส่ายหน้า “ผมขอตัวทีกับเรื่องนี้ ให้เล่าก็เล่าได้ แต่เขียนให้ได้อรรถรสแบบนิยาย เกินความสามารถของผมจริง ๆ”
ดร. ฟอล์กเนอร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “คำตอบของผมก็เหมือนกับของสารวัตรนั่นละ”
“โธ่ คุณหมอ” ข้าพเจ้าหัวเราะที่เสียรู้เขาจนได้ “แต่เอาเถิด เห็นคุณหมอพอจะยิ้มออกได้อย่างนี้ ผมก็เบาใจ”
“ยังไม่เบาใจอย่างที่พูดดอกกระมัง เพราะผมเห็นว่าสารวัตรมีเรื่องที่อยากจะถามผมอยู่หลายเรื่องทีเดียว” เขาว่า
ข้าพเจ้าวางหนังสือลงกับโต๊ะ “สีหน้าของผมดูออกง่ายอย่างนั้นเทียวหรือ คุณหมอ”
“ไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอกครับ” เขาเอนหลังอิงโซฟา “หากสารวัตรไม่มีเรื่องที่อยากคุยกับผม สารวัตรคงไม่แวะมาหา และคงไม่อดทนรอจนกระทั่งผมอาบน้ำเสร็จ”
“จริงอย่างที่คุณหมอพูด” ข้าพเจ้ายอมรับ “ผมไม่ได้อยากสอบถามเรื่องคดีอย่างเดียวหรอก ผมอยากรู้ด้วยว่า คุณหมอป่วยไข้ไม่สบายไปหรือไม่จากวานนี้ ผมออกจะรู้สึกผิดอยู่ด้วยซ้ำที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณหมออีก”
“อย่าพูดอย่างนั้น” เขาหันมาเอ่ยกับข้าพเจ้า “หากสารวัตรไม่รอ และไม่เอะใจเข้าไปเรียกผมถึงในห้อง เราอาจไม่ได้นั่งคุยกันอยู่อย่างนี้”
เมื่อสักสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าแวะมาพบเขาที่บ้านหลังจากเลิกงาน มิสซิสดาร์ลตันผู้ดูแลบ้านของเขาออกมารับ และบอกข้าพเจ้าว่า ดร. ฟอล์กเนอร์กลับมาถึงก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะมาสักครึ่งชั่วโมงและน่าจะกำลังผลัดเสื้อผ้าอยู่ที่ห้อง เมื่อข้าพเจ้าถามว่า หากข้าพเจ้ารอพบเขาอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือจะขัดข้องหรือไม่ ท่าทางของหล่อนดีใจมากกว่าลำบากใจ ซึ่งนั่นทำให้ข้าพเจ้าเดาได้ว่า เขาคงไม่ใคร่สบายนัก และข้าพเจ้ารู้ดีว่า เขา ‘ดื้อ’ เกินกว่าที่จะฟังคำแนะนำของหล่อนว่า ให้นอนพักผ่อนอยู่เฉย ๆ เมื่อข้าพเจ้าอาสาว่า จะไปดูอาการของเขาให้ หล่อนจึงยิ้มออก
มิสซิสดาร์ลตันนำขนมและน้ำชามารับรองข้าพเจ้าได้พักใหญ่ แต่ ดร. ฟอล์กเนอร์ก็ยังไม่ออกมาจากห้องส่วนตัว ในตอนแรก ข้าพเจ้าคาดอยู่แล้วว่า เขาคงอาบน้ำเสียก่อนที่จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะข้าพเจ้าทราบจากทางดิวิชั่นเอชว่า ในวันนี้ เขาทำหน้าที่แพทย์ผู้ชันสูตรศพ และมีศพมากกว่าหนึ่งราย คนที่รักสะอาดอย่างเขาคงทนอยู่ไม่ได้ หากไม่ชำระร่างกายเสียให้เรียบร้อยทันทีที่กลับถึงบ้าน หากเวลาที่เขาใช้มาจนถึงเวลาที่ข้าพเจ้ารอนั้น ออกจะนานเกินไป
แทนที่จะลงไปตามมิสซิสดาร์ลตันให้ขึ้นมาเรียกเขา ข้าพเจ้าถือวิสาสะเดินไปเคาะประตูห้องซึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า เป็นห้องของเขา แต่กลับไม่มีเสียงตอบและไม่มีเสียงของความเคลื่อนไหวใด ๆ เมื่อลองเปิดประตูเข้าไปก็พบว่า เขาไม่ได้ลงกลอน เสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับเปลี่ยนยังวางอยู่บนเตียง ทั้งห้องนั้นเงียบกริบราวกับไม่มีใครอยู่ ซึ่งผิดปกติเกินไป แม้กระทั่งเสียงจากห้องที่ควรเป็นห้องน้ำ และนั่นทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเสียมารยาทเปิดประตูเข้าไปในห้องดังกล่าว
ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นอยู่แก่ตาในเวลานั้นทำให้ข้าพเจ้าใจหายวาบ ชายหนุ่มที่อยู่ในอ่างอาบน้ำแน่นิ่ง แขนที่พาดออกมานอกขอบอ่างปราศจากความเคลื่อนไหว ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท ในขณะที่ศีรษะเอียงตกเอนแนบบ่า น้ำที่ควรอุ่นจัดเริ่มเย็นลงจนไอน้ำที่ควรลอยอยู่ทั่วไปนั้นจางหายไปมากแล้ว
ข้าพเจ้ายืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ แต่ไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นว่าทรวงอกของเขายังสะท้อนขึ้นลงอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เขายังมีชิวิตอยู่ ข้าพเจ้ารีบเรียกสติของตนเองให้กลับคืนมา เข้าไปหาเขา เขย่าตัวของเขา ร้องเรียกชื่อของเขาเบา ๆ เขาจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองข้าพเจ้าอย่างงุนงง และยกมือขึ้นลูบใบหน้า
“ผมเผลอหลับไปหรือนี่”
ประโยคแรกที่เขาเอ่ยขึ้นเมื่อคืนสติ ทำให้ข้าพเจ้าถอนใจเฮือก อยากโมโหเขาเหลือเกินที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องเผชิญกับความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียใครไปต่อหน้าต่อตาอย่างไม่ทันเตรียมใจอีก แต่เมื่อเห็นว่า เขาปลอดภัยดี ความโล่งใจจึงมีน้ำหนักเหนือความโกรธของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าบอกให้เขารีบขึ้นจากอ่างอาบน้ำและแต่งตัวให้เรียบร้อย และออกไปรอเขาข้างนอก หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ออกมาพบกับข้าพเจ้า ชวนข้าพเจ้าให้อยู่รับประทานอาหารค่ำด้วยกันก่อน จึงย้ายมานั่งสนทนากันในห้องนั่งเล่น
“คุณหมออาจมีชีวิตรอดจากสงครามในซูดานได้ แต่คุณหมอคิดว่าตนเองมีกี่ชีวิตกันหรือถึงได้ใช้อย่างไม่ห่วงตัวเองเลย ถึงจะยังหนุ่ม แต่คุณหมอควรถนอมชีวิตและร่างกายของตนเองให้มากกว่านี้” ข้าพเจ้าเอ่ย
เขาก้มศีรษะรับคำตักเตือนของข้าพเจ้าแต่โดยดี แต่แล้วก็ระบายลมหายใจยาวนาน “ถูกของสารวัตร เสียดายที่มนุษย์เรามีเพียงชีวิตเดียว หากผมเป็นแมวและแมวตัวนั้นมีเก้าชีวิต ถ้าผมพลาดพลั้งตายไปอีกคราวนี้ ผมก็ยังมีเหลืออีกตั้งเจ็ดชีวิต”
ข้าพเจ้าขมวดคิ้ว “เจ็ดหรือ คุณหมอ”
“เปล่าเลย ผมไม่ได้ลบเลขผิด” ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์หัวเราะเบา ๆ “สารวัตรคงเห็นคำตอบบนตัวของผมแล้วไม่ใช่หรือ”
ถูกแล้ว ในขณะที่พบเขาในห้องน้ำ ข้าพเจ้าเห็นคำตอบของปริศนาที่เขาชี้ให้เห็นจริง ๆ เพียงแต่ไม่เคยนึกเลยว่า ผลของมันจะฉกาจฉกรรจ์ถึงเพียงนั้น เมื่อเข้าถึงตัวเขา ข้าพเจ้าได้เห็นรอยแผลเป็นอีกแผลหนึ่งบนร่างกายท่อนบนของเขา แผลนั้นคือ แผลเป็นจากกระสุนปืนซึ่งเคยเจาะบ่าซ้ายของเขาจากด้านหลังทะลุออกมาด้านหน้า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้าไม่อาจละสายตาไปจากแผลเป็นนั้นได้เลย
“นอกจากระสุนเจ้ากรรมที่อยู่ในเข่าของผมนั่น แผลที่ไหล่เป็นอีกสิ่งที่หยุดผมเอาไว้ไม่ให้ทำงานต่อไปได้อีก มันทำให้ผมเสียเลือดมากจนผมไม่นึกว่าตัวเองจะรอด เพราะผมต้องอยู่ในสภาพเหมือนตายไปแล้วมาชั่วเวลาหนึ่ง…”
เขามองข้าพเจ้าเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนบรรจุยาเส้น จุดไม้ขีดจ่อไฟเข้าที่กล้องยาสูบ สลัดไม้ขีดให้ไฟดับ และโยนซากไม้ขีดเข้าในเตาผิง เขาสูบกล้องของตนเองเงียบ ๆ และเหม่อมองควันสีขาวที่พ่นออกมาอย่างช้า ๆ ด้วยอาการครุ่นคิด
“เสียดายที่ผู้หมวดอาร์เชอร์ไม่สามารถรอดชีวิตจากการเสียเลือดมากเกินไปมาได้ ไม่อย่างนั้น เราคงได้ทราบแล้วว่า สิ่งที่เขาต้องการให้ผมช่วยคืออะไร”
“แต่อย่างน้อย เราก็ได้ทราบว่า เขาตายด้วยสาเหตุใด” ข้าพเจ้าว่า หากเมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็นึกสะกิดใจกับอะไรบางอย่างในคำพูดของเขา
“คุณหมอไม่ได้เป็นคนผ่าศพของเขา ไม่ได้อยู่ร่วมการชันสูตร แล้วคุณหมอทราบได้อย่างไรว่า เขาตายเพราะเสียเลือดมาก”
----------------------------------------------------------------
(1) Beeton's Christmas Annual
(2) Cornhill Magazine
(3) Lippincott’s Magazine
(มีต่อนะคะ)
Dark Tales of London: ทวิฆาต (The Man Who Died Twice) - ตอนที่ 2
มือมาร (The Hand of Glory)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ทวิฆาต (The Man Who Died Twice)
บทนำ : http://ppantip.com/topic/32351131
ตอนที่ 1 : http://ppantip.com/topic/32376238
(2)
“น่าละอายจริง ที่ผมทำให้สารวัตรต้องเดือดร้อนไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”
ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์นั่งลงบนเก้าอี้ชุดรับแขกข้างกันกับข้าพเจ้าหลังจากมื้ออาหารค่ำ ผมของเขาที่ตกลงปรกเหนือหน้าผากผิดจากทุกครั้งที่มักจะหวีเสยขึ้นอย่างเรียบร้อย ทำให้เขาดูเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยมากกว่าศัลยแพทย์ประจำดิวิชั่นเอชที่ตำรวจแทบทั้งไวท์ชาเพิลหวาดหวั่นที่จะทำงานด้วย และยังเป็นผู้ที่ผ่านประสบการณ์มามากมายทั้งในสนามรบและในมหานคร
“คงน่าสังเวชพิลึก ถ้าศัลยแพทย์ตำรวจต้องกลายเป็นศพให้เพื่อนร่วมวิชาชีพตรวจ เนื่องจากเผลอหลับไประหว่างอาบน้ำจนกระทั่งจมน้ำหรือหนาวตายอยู่ในอ่างน้ำภายในบ้านของตัวเอง”
“คุณหมอ นั่นเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ไม่น่าขันเลย”
“แต่สารวัตรกำลังหัวเราะ”
อย่างที่เขาว่า ข้าพเจ้าเผลอหัวเราะออกมาจริง ๆ เมื่อนึกตามตลกร้ายที่เขากล่าว ทั้งที่ไม่ควรจะหัวเราะเลย ซึ่งอาจเป็นเพราะสถานการณ์ที่ตึงเครียดมาทั้งวันทำให้ข้าพเจ้าใกล้เป็นโรคประสาทเต็มทนจึงได้เส้นตื้นผิดปกติธรรมดาก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุอันใด ข้าพเจ้าก็ห้ามตัวเองเอาไว้ไม่อยู่จริง ๆ
เขาและข้าพเจ้ามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะออกมาพร้อมกันโดยที่ต่างคนก็ต่างไม่ทราบว่าตนเองขบขันอะไรหนักหนา แต่การหัวเราะก็ช่วยให้ผ่อนคลายลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพราะตลอดเวลาอาหารค่ำ เราแทบจะไม่ได้พูดคุยกันเลย
“มิสซิสดาร์ลตันยังไม่ทราบเรื่องนี้ใช่ไหม” เขาถามข้าพเจ้า หลังจากบังคับตนเองให้หยุดหัวเราะได้สำเร็จ
“ยังหรอก” ข้าพเจ้าว่า “หากหล่อนรู้ บ้านของคุณหมอคงไม่เงียบอย่างนี้กระมัง”
“จริงของสารวัตร” ดร. ฟอล์กเนอร์ยิ้ม “ตะกี้นี้ ผมมีเรื่องต้องคุยกับมิสซิสดาร์ลตันเล็กน้อย ขออภัยที่ทำให้เสียเวลารอ หนังสือสนุกไหมครับ”
“อา…” ข้าพเจ้าก้มมองหนังสือนิยายเรื่อง ‘Study in Scarlet’ ของอาเธอร์ โคนัน ดอยล์ในมือ “ผมพลิกดูรูปเล่นเสียมากกว่าจะอ่านตัวหนังสือ นิยายเรื่องนี้ ผมเคยอ่านมาตั้งแต่สมัยที่ลงในนิตยสารบีตั้นส์ (1) แล้ว อ่านได้เพลินดี แต่ผมออกจะชอบเรื่องแนวผจญภัยของเขามากกว่า เรื่อง John Huxford’s Hiatus ที่ลงในคอร์นฮิลล์ (2) ปีก่อนก็ไม่เลวเลย แต่หากเขาจะเขียนนิยายที่มีนักสืบที่ปรึกษาอย่างเชอร์ล็อก โฮล์มส์ต่ออีกสักเรื่อง ผมเชื่อว่ามีคนรออ่านอยู่อีกมาก”
“หมอโคนัน ดอยล์เป็นนักเขียนที่มีฝีมือ อัลเฟรดหมายมั่นจะติดต่อเขาให้เขียนนิยายเรื่องยาวลงคอร์นฮิลล์บ้าง แต่แว่วว่าทางลิพพินค็อตต์ (3) ก็สนใจเขาอยู่ และบรรณาธิการของทางนั้นคิดชักชวนให้เขาเขียนเชอร์ล็อก โฮล์มส์ตอนใหม่ด้วย เพราะอย่างนี้ อัลเฟรดจึงต้องนัดรับประทานอาหารค่ำกับพวกบรรณาธิการคนอื่นเพื่อหารือเรื่องนี้” เขาพูดถึงเพื่อนที่ขอแบ่งเช่าแฟลตแห่งนี้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกองบรรณาธิการของนิตยสารคอร์นฮิลล์และเป็นนักเขียนอยู่ด้วย “เคราะห์ดีที่เขาได้รับอนุญาตจากสารวัตรให้เขียนถึงคดีมือผีนั่น เป็นอันว่ามีเรื่องลึกลับนักสืบไว้รอลงหนังสือให้เบาใจอยู่ได้บ้าง”
“คุณหมอไม่คิดจะเขียนหนังสือขายอย่าง มร. คอร์ทนีย์ หรือ โคนัน ดอยล์ดูบ้างหรือ” ข้าพเจ้าถาม
เขาเอียงศีรษะมองข้าพเจ้า “ผมเห็นว่าสารวัตรก็ชำนาญการอนุมานเหมือนพ่อนักสืบของหมอโคนัน ดอยล์ดีอยู่ ทำไมจึงไม่เขียนหนังสือขายดูบ้างเล่า”
ข้าพเจ้าส่ายหน้า “ผมขอตัวทีกับเรื่องนี้ ให้เล่าก็เล่าได้ แต่เขียนให้ได้อรรถรสแบบนิยาย เกินความสามารถของผมจริง ๆ”
ดร. ฟอล์กเนอร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “คำตอบของผมก็เหมือนกับของสารวัตรนั่นละ”
“โธ่ คุณหมอ” ข้าพเจ้าหัวเราะที่เสียรู้เขาจนได้ “แต่เอาเถิด เห็นคุณหมอพอจะยิ้มออกได้อย่างนี้ ผมก็เบาใจ”
“ยังไม่เบาใจอย่างที่พูดดอกกระมัง เพราะผมเห็นว่าสารวัตรมีเรื่องที่อยากจะถามผมอยู่หลายเรื่องทีเดียว” เขาว่า
ข้าพเจ้าวางหนังสือลงกับโต๊ะ “สีหน้าของผมดูออกง่ายอย่างนั้นเทียวหรือ คุณหมอ”
“ไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอกครับ” เขาเอนหลังอิงโซฟา “หากสารวัตรไม่มีเรื่องที่อยากคุยกับผม สารวัตรคงไม่แวะมาหา และคงไม่อดทนรอจนกระทั่งผมอาบน้ำเสร็จ”
“จริงอย่างที่คุณหมอพูด” ข้าพเจ้ายอมรับ “ผมไม่ได้อยากสอบถามเรื่องคดีอย่างเดียวหรอก ผมอยากรู้ด้วยว่า คุณหมอป่วยไข้ไม่สบายไปหรือไม่จากวานนี้ ผมออกจะรู้สึกผิดอยู่ด้วยซ้ำที่มารบกวนเวลาพักผ่อนของคุณหมออีก”
“อย่าพูดอย่างนั้น” เขาหันมาเอ่ยกับข้าพเจ้า “หากสารวัตรไม่รอ และไม่เอะใจเข้าไปเรียกผมถึงในห้อง เราอาจไม่ได้นั่งคุยกันอยู่อย่างนี้”
เมื่อสักสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าแวะมาพบเขาที่บ้านหลังจากเลิกงาน มิสซิสดาร์ลตันผู้ดูแลบ้านของเขาออกมารับ และบอกข้าพเจ้าว่า ดร. ฟอล์กเนอร์กลับมาถึงก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะมาสักครึ่งชั่วโมงและน่าจะกำลังผลัดเสื้อผ้าอยู่ที่ห้อง เมื่อข้าพเจ้าถามว่า หากข้าพเจ้ารอพบเขาอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือจะขัดข้องหรือไม่ ท่าทางของหล่อนดีใจมากกว่าลำบากใจ ซึ่งนั่นทำให้ข้าพเจ้าเดาได้ว่า เขาคงไม่ใคร่สบายนัก และข้าพเจ้ารู้ดีว่า เขา ‘ดื้อ’ เกินกว่าที่จะฟังคำแนะนำของหล่อนว่า ให้นอนพักผ่อนอยู่เฉย ๆ เมื่อข้าพเจ้าอาสาว่า จะไปดูอาการของเขาให้ หล่อนจึงยิ้มออก
มิสซิสดาร์ลตันนำขนมและน้ำชามารับรองข้าพเจ้าได้พักใหญ่ แต่ ดร. ฟอล์กเนอร์ก็ยังไม่ออกมาจากห้องส่วนตัว ในตอนแรก ข้าพเจ้าคาดอยู่แล้วว่า เขาคงอาบน้ำเสียก่อนที่จะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะข้าพเจ้าทราบจากทางดิวิชั่นเอชว่า ในวันนี้ เขาทำหน้าที่แพทย์ผู้ชันสูตรศพ และมีศพมากกว่าหนึ่งราย คนที่รักสะอาดอย่างเขาคงทนอยู่ไม่ได้ หากไม่ชำระร่างกายเสียให้เรียบร้อยทันทีที่กลับถึงบ้าน หากเวลาที่เขาใช้มาจนถึงเวลาที่ข้าพเจ้ารอนั้น ออกจะนานเกินไป
แทนที่จะลงไปตามมิสซิสดาร์ลตันให้ขึ้นมาเรียกเขา ข้าพเจ้าถือวิสาสะเดินไปเคาะประตูห้องซึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า เป็นห้องของเขา แต่กลับไม่มีเสียงตอบและไม่มีเสียงของความเคลื่อนไหวใด ๆ เมื่อลองเปิดประตูเข้าไปก็พบว่า เขาไม่ได้ลงกลอน เสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับเปลี่ยนยังวางอยู่บนเตียง ทั้งห้องนั้นเงียบกริบราวกับไม่มีใครอยู่ ซึ่งผิดปกติเกินไป แม้กระทั่งเสียงจากห้องที่ควรเป็นห้องน้ำ และนั่นทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเสียมารยาทเปิดประตูเข้าไปในห้องดังกล่าว
ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นอยู่แก่ตาในเวลานั้นทำให้ข้าพเจ้าใจหายวาบ ชายหนุ่มที่อยู่ในอ่างอาบน้ำแน่นิ่ง แขนที่พาดออกมานอกขอบอ่างปราศจากความเคลื่อนไหว ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท ในขณะที่ศีรษะเอียงตกเอนแนบบ่า น้ำที่ควรอุ่นจัดเริ่มเย็นลงจนไอน้ำที่ควรลอยอยู่ทั่วไปนั้นจางหายไปมากแล้ว
ข้าพเจ้ายืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่ แต่ไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นว่าทรวงอกของเขายังสะท้อนขึ้นลงอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เขายังมีชิวิตอยู่ ข้าพเจ้ารีบเรียกสติของตนเองให้กลับคืนมา เข้าไปหาเขา เขย่าตัวของเขา ร้องเรียกชื่อของเขาเบา ๆ เขาจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองข้าพเจ้าอย่างงุนงง และยกมือขึ้นลูบใบหน้า
“ผมเผลอหลับไปหรือนี่”
ประโยคแรกที่เขาเอ่ยขึ้นเมื่อคืนสติ ทำให้ข้าพเจ้าถอนใจเฮือก อยากโมโหเขาเหลือเกินที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องเผชิญกับความหวาดกลัวว่าจะสูญเสียใครไปต่อหน้าต่อตาอย่างไม่ทันเตรียมใจอีก แต่เมื่อเห็นว่า เขาปลอดภัยดี ความโล่งใจจึงมีน้ำหนักเหนือความโกรธของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าบอกให้เขารีบขึ้นจากอ่างอาบน้ำและแต่งตัวให้เรียบร้อย และออกไปรอเขาข้างนอก หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ออกมาพบกับข้าพเจ้า ชวนข้าพเจ้าให้อยู่รับประทานอาหารค่ำด้วยกันก่อน จึงย้ายมานั่งสนทนากันในห้องนั่งเล่น
“คุณหมออาจมีชีวิตรอดจากสงครามในซูดานได้ แต่คุณหมอคิดว่าตนเองมีกี่ชีวิตกันหรือถึงได้ใช้อย่างไม่ห่วงตัวเองเลย ถึงจะยังหนุ่ม แต่คุณหมอควรถนอมชีวิตและร่างกายของตนเองให้มากกว่านี้” ข้าพเจ้าเอ่ย
เขาก้มศีรษะรับคำตักเตือนของข้าพเจ้าแต่โดยดี แต่แล้วก็ระบายลมหายใจยาวนาน “ถูกของสารวัตร เสียดายที่มนุษย์เรามีเพียงชีวิตเดียว หากผมเป็นแมวและแมวตัวนั้นมีเก้าชีวิต ถ้าผมพลาดพลั้งตายไปอีกคราวนี้ ผมก็ยังมีเหลืออีกตั้งเจ็ดชีวิต”
ข้าพเจ้าขมวดคิ้ว “เจ็ดหรือ คุณหมอ”
“เปล่าเลย ผมไม่ได้ลบเลขผิด” ดร. โทเบียส ฟอล์กเนอร์หัวเราะเบา ๆ “สารวัตรคงเห็นคำตอบบนตัวของผมแล้วไม่ใช่หรือ”
ถูกแล้ว ในขณะที่พบเขาในห้องน้ำ ข้าพเจ้าเห็นคำตอบของปริศนาที่เขาชี้ให้เห็นจริง ๆ เพียงแต่ไม่เคยนึกเลยว่า ผลของมันจะฉกาจฉกรรจ์ถึงเพียงนั้น เมื่อเข้าถึงตัวเขา ข้าพเจ้าได้เห็นรอยแผลเป็นอีกแผลหนึ่งบนร่างกายท่อนบนของเขา แผลนั้นคือ แผลเป็นจากกระสุนปืนซึ่งเคยเจาะบ่าซ้ายของเขาจากด้านหลังทะลุออกมาด้านหน้า ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้าพเจ้าไม่อาจละสายตาไปจากแผลเป็นนั้นได้เลย
“นอกจากระสุนเจ้ากรรมที่อยู่ในเข่าของผมนั่น แผลที่ไหล่เป็นอีกสิ่งที่หยุดผมเอาไว้ไม่ให้ทำงานต่อไปได้อีก มันทำให้ผมเสียเลือดมากจนผมไม่นึกว่าตัวเองจะรอด เพราะผมต้องอยู่ในสภาพเหมือนตายไปแล้วมาชั่วเวลาหนึ่ง…”
เขามองข้าพเจ้าเป็นเชิงขออนุญาต ก่อนบรรจุยาเส้น จุดไม้ขีดจ่อไฟเข้าที่กล้องยาสูบ สลัดไม้ขีดให้ไฟดับ และโยนซากไม้ขีดเข้าในเตาผิง เขาสูบกล้องของตนเองเงียบ ๆ และเหม่อมองควันสีขาวที่พ่นออกมาอย่างช้า ๆ ด้วยอาการครุ่นคิด
“เสียดายที่ผู้หมวดอาร์เชอร์ไม่สามารถรอดชีวิตจากการเสียเลือดมากเกินไปมาได้ ไม่อย่างนั้น เราคงได้ทราบแล้วว่า สิ่งที่เขาต้องการให้ผมช่วยคืออะไร”
“แต่อย่างน้อย เราก็ได้ทราบว่า เขาตายด้วยสาเหตุใด” ข้าพเจ้าว่า หากเมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็นึกสะกิดใจกับอะไรบางอย่างในคำพูดของเขา
“คุณหมอไม่ได้เป็นคนผ่าศพของเขา ไม่ได้อยู่ร่วมการชันสูตร แล้วคุณหมอทราบได้อย่างไรว่า เขาตายเพราะเสียเลือดมาก”
----------------------------------------------------------------
(1) Beeton's Christmas Annual
(2) Cornhill Magazine
(3) Lippincott’s Magazine
(มีต่อนะคะ)