บทนำ :
http://ppantip.com/topic/33249224
ตอนที่ 1 :
http://ppantip.com/topic/33341470
----------------------------------------------------------
(2)
ไวท์ชาเพล, ลอนดอน, ปลายเดือนกรกฎาคม 1889
ทั้งแอนน์ ฮิกกิ้นส์ และแอนโธนี เกรเซียนต่างกลับไปแล้ว เหลือเพียง นพ. เบนจามิน เวสต์ นพ. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ ศัลยแพทย์ตำรวจ พอล วิลคินสัน เจ้าหน้าที่ประจำห้องเก็บศพ จ่ามัสเกรฟ และข้าพเจ้ายืนรายล้อมร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มในเครื่องแบบสีน้ำเงินขลิบแดงของพนักงานส่งโทรเลขซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงสำหรับชันสูตรศพ
ไม่มีปาฏิหาริย์แม้เพียงน้อยนิดสำหรับผู้คาดหวังและเฝ้าภาวนา… คำยืนยันจากปากของน้องสาวคนรอง เพื่อนข้างห้อง เพื่อนที่สำนักงานโทรเลขกลางลอนดอน และคนอื่น ๆ ที่รู้จักสนิทสนมกับเขา ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้ตาย คือ เจมส์ หรือ จิมมี่ ซัลลิแวน อย่างแน่นอน
ไม่ต้องอาศัยคำยืนยันจากพวกเขา ทั้งจ่ามัสเกรฟและข้าพเจ้าก็สามารถยืนยันในข้อนั้นได้ เพราะเราต่างเคยพบเขามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเขามารายงานตัวที่สก็อตแลนด์ยาร์ด ก่อนที่จะหายตัวไป
ความสดชื่น งดงาม ความใสซื่อ ไร้เดียงสา ล้วนเป็นสมบัติและเสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีผู้นี้ เค้าโครงและเครื่องหน้าของเขาหล่อเหลาและละม้ายคล้ายคลึงกับแอนโธนี เกรเซียน เพื่อนของเขาอย่างยิ่ง ผิดกันก็แต่ซัลลิแวนมีดวงตาที่มองทุกสิ่งทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมาเหมือนลูกกวางหรือกระต่ายที่อาจตกเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าดุร้ายชนิดอื่นหรือกับดักของนายพรานได้โดยง่าย และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องหลงเข้ามาในวังวนของคดีที่ถนนคลีฟแลนด์ แต่ไม่มีใครเลยที่คาดคิดว่า เขาจะมาพบจุดจบในลักษณะเช่นนี้
จ่ามัสเกรฟเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ทันทีที่แอนโธนี เกรเซียนเห็นศพ ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด ริมฝีปากสั่น มือสั่น จ้องมองร่างไร้วิญญาณบนเตียงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะพยายามพาตัวเองเข้าไปหาอีกฝ่าย ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งไม่อาจรับรู้อะไรได้อีกต่อไปแล้ว กล่าวพึมพำเรียกชื่อ ‘จิมมี่’ ไม่ขาดปาก ราวกับเห็นว่า เพื่อนรักนอนหลับอยู่มิได้ตายจากไปไหน จนกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าต้องจับแขนของเขา ค่อย ๆ ดึงออกมาให้ห่างจากศพ ซึ่งเขายอมทำตามอย่างว่าง่าย แม้ดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาจะไม่ยอมละไปจากคนบนเตียงเลยก็ตาม
ข้อสงสัยในเรื่องความสนิทสนมกันของเขาและครอบครัวซัลลิแวนได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงด้วยเช่นกัน เมื่อแอนน์ ฮิกกิ้นส์พาลิซซี่ ซัลลิแวน น้องสาววัยสิบสี่ปีและน้องชายคนล่าสุดของจิมมี่ ซึ่งรอให้การผ่าตัดตาของมารดาเสร็จสิ้นลงอยู่ภายนอกห้องผ่าตัดไปถึงห้องเก็บศพ
นี่อาจเป็นเรื่องโหดร้ายที่จะต้องให้เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปในสถานที่ที่ไม่มีใครปราถนาจะไปเยือน และต้องทำในสิ่งที่เด็กในวัยนี้ยังไม่ควรจะทำ แต่เธอเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวของจิมมี่ ซัลลิแวนที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ ในเมื่อมารดาของเธอป่วยหนัก และไม่สามารถตามหาตัวบิดาของเธอ ซึ่งเป็นกรรมกรขนของที่ท่าเรือมายืนยันตัวเขาได้
“ฉันจะดูแลทอมมี่ให้เองจ้ะ” แอนน์ ฮิกกิ้นส์ก้าวขึ้นมายืนข้างข้าพเจ้า ยื่นมือออกมารับตัวพ่อหนูน้อยไปจากลิซซี่ อุ้มแกเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวลและชำนาญ ก่อนที่จะเอ่ยกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลิซซี่ ตามสารวัตรเฟย์เข้าไปหาคุณหมอฟอล์กเนอร์ข้างในนะจ๊ะ”
เมื่อเห็นว่าน้องชายอยู่ในความดูแลของคนที่ตนคุ้นเคย ลิซซี่ค่อยดูคลายใจลงบ้าง ถึงกระนั้น เธอก็อดมองข้าพเจ้าด้วยความลังเลมิได้
“นอกจากคุณหมอฟอล์กเนอร์แล้ว แอนโธนีก็รอหนูอยู่ที่นั่นด้วยนะ ลิซซี่” ข้าพเจ้าเอ่ย “หนูจำเพื่อนของพี่ชายหนูที่ชื่อ แอนโธนี เกรเซียนได้ใช่ไหม เขามาขอให้ฉันช่วยตามหาพี่ชายของหนู”
“กลัวหรือ สาวน้อย” ข้าพเจ้าถาม เมื่อเห็นเด็กสาวยังคงยืนอยู่กับที่ ก่อนที่จะยื่นมือไปหาเธอ “เราเข้าไปด้วยกัน”
สิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติ ทำให้เธอมองข้าพเจ้าอย่างไม่แน่ใจ แล้วหันไปมองยังแอนน์ ฮิกกิ้นส์อีกครั้ง กระทั่งอีกฝ่ายหนึ่งพยักหน้าและยิ้มให้แทนคำยืนยันว่า เธอสามารถไว้ใจข้าพเจ้าได้ เธอจึงค่อย ๆ เอื้อมมือมาจับมือกับข้าพเจ้าอย่างเคอะเขิน
สัมผัสจากมือของลิซซี่ทำให้ข้าพเจ้าใจหาย… ไม่ใช่เพราะความเย็นและอาการสั่นน้อย ๆ ด้วยความหวาดหวั่นที่ส่งผ่านมาถึงมือของข้าพเจ้า หากเพราะมือเล็ก ๆ ข้างนั้นหยาบและด้านอย่างคนทำงานหนักติดต่อกันมานานหลายปี แต่ลิซซี่ไม่ใช่เด็กคนเดียวในอีสต์เอนด์ที่ต้องทำงานตั้งแต่เพิ่งรู้ความ สักวันหนึ่งที่ทอมมี่น้อยเติบโตขึ้น เริ่มพูดและเดินได้ แกอาจต้องเริ่มช่วยเหลือคนในครอบครัวทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อนจนกระทั่งโตพอที่จะออกไปทำงานได้ก่อนที่อายุจะพ้นสิบขวบด้วยซ้ำไป
ข้าพเจ้าพาเธอผ่านทางเดินระหว่างห้องทำงานไปยังส่วนของห้องเก็บศพ ภายในอาคารหลังนี้เงียบงันเสียจนเสียงฝีเท้าของข้าพเจ้าที่แม้จะแผ่วเบาที่สุดแล้ว ก็กลับกลายเป็นเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศของความตายที่ชวนอึดอัดและกลิ่นบางอย่างที่แม้จะไม่ใช่กลิ่นคาวเลือดหรือกลิ่นเน่าเหม็นของซากศพที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ในโรงเก็บด้านหลังของห้องชันสูตรทำให้หายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย แม้ว่าจะเข้ามาที่นี่บ่อยครั้งแล้วก็ตาม
“ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไร” ข้าพเจ้ากระซิบบอกลิซซี่ที่กุมมือของข้าพเจ้าแน่น และบีบมือของเด็กสาวที่ตอบเพื่อให้กำลังใจ หากยามนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้ชัดว่าที่ทำไปนั้นเป็นการปลอบใจเธอหรือปลอบใจตัวเองกันแน่
“สารวัตรเฟย์ ลิซซี่… มาแล้วหรือครับ”
คำทักทายนั้นมาจากบุคคลที่ก้าวออกมาตรงหน้าประตูทางเข้าห้องชันสูตร เขาสวมเวสต์โค้ตและเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นเหนือข้อศอก และใช้เชือกรัดไว้ไม่ให้เลื่อนหลุดลงมา หากสวมผ้ากันเปื้อนตัวยาวทับลงไปอีกเพียงชิ้นเดียว เขาก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ของศัลยแพทย์ตำรวจในการผ่าชันสูตรศพแล้ว แต่เขายังรั้งรอเอาไว้ เพื่อไม่ให้เด็กสาวตกใจกลัว
ข้าพเจ้าสบตากับเขา แววเศร้าของดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังกระจกแว่นสายตาคู่นั้นที่มองตอบกลับมา และเหลือบลงแลยังลิซซี่ ซัลลิแวน นี่คือสิ่งที่ยากลำบากและทรมานใจที่สุดประการหนึ่ง ซึ่งเราต่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด
นพ. โทเบียส ฟอล์กเนอร์กล่าวกับเธอ “ลิซซี่ ฟังนะ… เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้เข้มแข็งเอาไว้ เพราะอะไร หนูจำได้ไหม”
เด็กสาวพยักหน้ารับ “เพราะแม่บอกว่า หนูเป็นพี่สาวคนโต ต้องดูแลน้อง ๆ ตอนที่แม่ไม่สบายอยู่ที่โรงพยาบาล และระหว่างที่จิมมี่ไม่อยู่”
“ดีมาก” เขาชม และลูบศีรษะของเธอเบา ๆ “สิ่งที่หมออยากให้หนูทำต่อไปนี้ คือ เข้าไปในห้องข้างหลังนี้ มองหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงให้ดี ๆ แล้วตอบหมอว่า หนูรู้จักเขาหรือไม่… หนูเข้าใจที่บอกใช่ไหม”
เธอรับคำแผ่วเบา และนิ่งเงียบอย่างตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยถามในสิ่งที่ข้าพเจ้าเองก็คาดไม่ถึง
“คนที่อยู่ในห้องนั้น ตายแล้วใช่ไหมคะ”
“ใช่ เขาตายแล้ว… มีแต่คนตายเท่านั้นที่จะถูกพามาอยู่ที่นี่” นพ. ฟอล์กเนอร์พยักหน้า “หนูเคยเห็นและรู้ใช่ไหมว่า คนที่ตายแล้วเป็นอย่างไร”
คำตอบและคำถามของเขาตรงไปตรงมา และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนมองว่า เขาช่างเย็นชาสิ้นดี แต่ข้าพเจ้ารู้ดีว่า เขาไม่ใช่คนอย่างนั้น
“ค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ อย่างแทบไม่ต้องคิด
ลิซซี่ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ในโรงสงเคราะห์คนยากไร้เซ้าท์โกรฟกับมารดาของเธอและน้อง ๆ … ที่นั่น แม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ ก็ยังต้องทำงานแลกอาหาร เงิน และที่อยู่อาศัยเพื่อการเลี้ยงชีพ และที่นั่นยังเป็นที่ซึ่งเด็กทารกแรกเกิด เด็ก คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ทั้งชายหญิง ไม่ว่าจะมีสติดีหรือบกพร่องทางสมอง คนพิการ และผู้สูงอายุที่ไร้ญาติขาดมิตร ช่วยเหลือตนเองแทบไม่ไหวอยู่รวมกันในที่แห่งเดียว ความเจ็บป่วยและความตายจึงเป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ทุกวัน
“หนูต้องเข้าไปดูคนที่ตายแล้วคนนั้น แล้วบอกว่า หนูรู้จักเขาหรือเปล่า… ใช่ไหมคะ”
แม้น้ำเสียงของเธอจะแผ่วเบาคล้ายไม่แน่ใจว่า สิ่งที่เธอถาม คือ สิ่งที่เขาต้องการให้เธอทำใช่หรือไม่ แต่คำถามนั้นบอกให้รู้ว่า เธอเป็นเด็กฉลาด โตกว่าอายุ และเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
“ถูกแล้ว” นพ. ฟอล์กเนอร์รับ “พร้อมหรือยัง ลิซซี่”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะพยักหน้าแทนคำตอบให้เขาอย่างกล้าหาญ ค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากมือของข้าพเจ้า และก้าวตามเขาเข้าไปในห้องเก็บศพ
-------------------------------------------------------------------------------------
(มีต่อนะคะ)
Dark Tales of London: เหตุอื้อฉาวที่ถนนคลีฟแลนด์ (ตอนที่ 2)
ตอนที่ 1 : http://ppantip.com/topic/33341470
(2)
ทั้งแอนน์ ฮิกกิ้นส์ และแอนโธนี เกรเซียนต่างกลับไปแล้ว เหลือเพียง นพ. เบนจามิน เวสต์ นพ. โทเบียส ฟอล์กเนอร์ ศัลยแพทย์ตำรวจ พอล วิลคินสัน เจ้าหน้าที่ประจำห้องเก็บศพ จ่ามัสเกรฟ และข้าพเจ้ายืนรายล้อมร่างไร้วิญญาณของชายหนุ่มในเครื่องแบบสีน้ำเงินขลิบแดงของพนักงานส่งโทรเลขซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงสำหรับชันสูตรศพ
ไม่มีปาฏิหาริย์แม้เพียงน้อยนิดสำหรับผู้คาดหวังและเฝ้าภาวนา… คำยืนยันจากปากของน้องสาวคนรอง เพื่อนข้างห้อง เพื่อนที่สำนักงานโทรเลขกลางลอนดอน และคนอื่น ๆ ที่รู้จักสนิทสนมกับเขา ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผู้ตาย คือ เจมส์ หรือ จิมมี่ ซัลลิแวน อย่างแน่นอน
ไม่ต้องอาศัยคำยืนยันจากพวกเขา ทั้งจ่ามัสเกรฟและข้าพเจ้าก็สามารถยืนยันในข้อนั้นได้ เพราะเราต่างเคยพบเขามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเขามารายงานตัวที่สก็อตแลนด์ยาร์ด ก่อนที่จะหายตัวไป
ความสดชื่น งดงาม ความใสซื่อ ไร้เดียงสา ล้วนเป็นสมบัติและเสน่ห์ที่มีอยู่ในตัวของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีผู้นี้ เค้าโครงและเครื่องหน้าของเขาหล่อเหลาและละม้ายคล้ายคลึงกับแอนโธนี เกรเซียน เพื่อนของเขาอย่างยิ่ง ผิดกันก็แต่ซัลลิแวนมีดวงตาที่มองทุกสิ่งทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมาเหมือนลูกกวางหรือกระต่ายที่อาจตกเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าดุร้ายชนิดอื่นหรือกับดักของนายพรานได้โดยง่าย และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องหลงเข้ามาในวังวนของคดีที่ถนนคลีฟแลนด์ แต่ไม่มีใครเลยที่คาดคิดว่า เขาจะมาพบจุดจบในลักษณะเช่นนี้
จ่ามัสเกรฟเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ทันทีที่แอนโธนี เกรเซียนเห็นศพ ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด ริมฝีปากสั่น มือสั่น จ้องมองร่างไร้วิญญาณบนเตียงอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ก่อนจะพยายามพาตัวเองเข้าไปหาอีกฝ่าย ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งไม่อาจรับรู้อะไรได้อีกต่อไปแล้ว กล่าวพึมพำเรียกชื่อ ‘จิมมี่’ ไม่ขาดปาก ราวกับเห็นว่า เพื่อนรักนอนหลับอยู่มิได้ตายจากไปไหน จนกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้าต้องจับแขนของเขา ค่อย ๆ ดึงออกมาให้ห่างจากศพ ซึ่งเขายอมทำตามอย่างว่าง่าย แม้ดวงตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำตาจะไม่ยอมละไปจากคนบนเตียงเลยก็ตาม
ข้อสงสัยในเรื่องความสนิทสนมกันของเขาและครอบครัวซัลลิแวนได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงด้วยเช่นกัน เมื่อแอนน์ ฮิกกิ้นส์พาลิซซี่ ซัลลิแวน น้องสาววัยสิบสี่ปีและน้องชายคนล่าสุดของจิมมี่ ซึ่งรอให้การผ่าตัดตาของมารดาเสร็จสิ้นลงอยู่ภายนอกห้องผ่าตัดไปถึงห้องเก็บศพ
นี่อาจเป็นเรื่องโหดร้ายที่จะต้องให้เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปในสถานที่ที่ไม่มีใครปราถนาจะไปเยือน และต้องทำในสิ่งที่เด็กในวัยนี้ยังไม่ควรจะทำ แต่เธอเป็นญาติสนิทเพียงคนเดียวของจิมมี่ ซัลลิแวนที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ ในเมื่อมารดาของเธอป่วยหนัก และไม่สามารถตามหาตัวบิดาของเธอ ซึ่งเป็นกรรมกรขนของที่ท่าเรือมายืนยันตัวเขาได้
“ฉันจะดูแลทอมมี่ให้เองจ้ะ” แอนน์ ฮิกกิ้นส์ก้าวขึ้นมายืนข้างข้าพเจ้า ยื่นมือออกมารับตัวพ่อหนูน้อยไปจากลิซซี่ อุ้มแกเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวลและชำนาญ ก่อนที่จะเอ่ยกับเด็กสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลิซซี่ ตามสารวัตรเฟย์เข้าไปหาคุณหมอฟอล์กเนอร์ข้างในนะจ๊ะ”
เมื่อเห็นว่าน้องชายอยู่ในความดูแลของคนที่ตนคุ้นเคย ลิซซี่ค่อยดูคลายใจลงบ้าง ถึงกระนั้น เธอก็อดมองข้าพเจ้าด้วยความลังเลมิได้
“นอกจากคุณหมอฟอล์กเนอร์แล้ว แอนโธนีก็รอหนูอยู่ที่นั่นด้วยนะ ลิซซี่” ข้าพเจ้าเอ่ย “หนูจำเพื่อนของพี่ชายหนูที่ชื่อ แอนโธนี เกรเซียนได้ใช่ไหม เขามาขอให้ฉันช่วยตามหาพี่ชายของหนู”
“กลัวหรือ สาวน้อย” ข้าพเจ้าถาม เมื่อเห็นเด็กสาวยังคงยืนอยู่กับที่ ก่อนที่จะยื่นมือไปหาเธอ “เราเข้าไปด้วยกัน”
สิ่งที่ข้าพเจ้าปฏิบัติ ทำให้เธอมองข้าพเจ้าอย่างไม่แน่ใจ แล้วหันไปมองยังแอนน์ ฮิกกิ้นส์อีกครั้ง กระทั่งอีกฝ่ายหนึ่งพยักหน้าและยิ้มให้แทนคำยืนยันว่า เธอสามารถไว้ใจข้าพเจ้าได้ เธอจึงค่อย ๆ เอื้อมมือมาจับมือกับข้าพเจ้าอย่างเคอะเขิน
สัมผัสจากมือของลิซซี่ทำให้ข้าพเจ้าใจหาย… ไม่ใช่เพราะความเย็นและอาการสั่นน้อย ๆ ด้วยความหวาดหวั่นที่ส่งผ่านมาถึงมือของข้าพเจ้า หากเพราะมือเล็ก ๆ ข้างนั้นหยาบและด้านอย่างคนทำงานหนักติดต่อกันมานานหลายปี แต่ลิซซี่ไม่ใช่เด็กคนเดียวในอีสต์เอนด์ที่ต้องทำงานตั้งแต่เพิ่งรู้ความ สักวันหนึ่งที่ทอมมี่น้อยเติบโตขึ้น เริ่มพูดและเดินได้ แกอาจต้องเริ่มช่วยเหลือคนในครอบครัวทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปก่อนจนกระทั่งโตพอที่จะออกไปทำงานได้ก่อนที่อายุจะพ้นสิบขวบด้วยซ้ำไป
ข้าพเจ้าพาเธอผ่านทางเดินระหว่างห้องทำงานไปยังส่วนของห้องเก็บศพ ภายในอาคารหลังนี้เงียบงันเสียจนเสียงฝีเท้าของข้าพเจ้าที่แม้จะแผ่วเบาที่สุดแล้ว ก็กลับกลายเป็นเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ บรรยากาศของความตายที่ชวนอึดอัดและกลิ่นบางอย่างที่แม้จะไม่ใช่กลิ่นคาวเลือดหรือกลิ่นเน่าเหม็นของซากศพที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ในโรงเก็บด้านหลังของห้องชันสูตรทำให้หายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย แม้ว่าจะเข้ามาที่นี่บ่อยครั้งแล้วก็ตาม
“ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไร” ข้าพเจ้ากระซิบบอกลิซซี่ที่กุมมือของข้าพเจ้าแน่น และบีบมือของเด็กสาวที่ตอบเพื่อให้กำลังใจ หากยามนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้ชัดว่าที่ทำไปนั้นเป็นการปลอบใจเธอหรือปลอบใจตัวเองกันแน่
“สารวัตรเฟย์ ลิซซี่… มาแล้วหรือครับ”
คำทักทายนั้นมาจากบุคคลที่ก้าวออกมาตรงหน้าประตูทางเข้าห้องชันสูตร เขาสวมเวสต์โค้ตและเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนขึ้นเหนือข้อศอก และใช้เชือกรัดไว้ไม่ให้เลื่อนหลุดลงมา หากสวมผ้ากันเปื้อนตัวยาวทับลงไปอีกเพียงชิ้นเดียว เขาก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ของศัลยแพทย์ตำรวจในการผ่าชันสูตรศพแล้ว แต่เขายังรั้งรอเอาไว้ เพื่อไม่ให้เด็กสาวตกใจกลัว
ข้าพเจ้าสบตากับเขา แววเศร้าของดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังกระจกแว่นสายตาคู่นั้นที่มองตอบกลับมา และเหลือบลงแลยังลิซซี่ ซัลลิแวน นี่คือสิ่งที่ยากลำบากและทรมานใจที่สุดประการหนึ่ง ซึ่งเราต่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ยคำใด
นพ. โทเบียส ฟอล์กเนอร์กล่าวกับเธอ “ลิซซี่ ฟังนะ… เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้เข้มแข็งเอาไว้ เพราะอะไร หนูจำได้ไหม”
เด็กสาวพยักหน้ารับ “เพราะแม่บอกว่า หนูเป็นพี่สาวคนโต ต้องดูแลน้อง ๆ ตอนที่แม่ไม่สบายอยู่ที่โรงพยาบาล และระหว่างที่จิมมี่ไม่อยู่”
“ดีมาก” เขาชม และลูบศีรษะของเธอเบา ๆ “สิ่งที่หมออยากให้หนูทำต่อไปนี้ คือ เข้าไปในห้องข้างหลังนี้ มองหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงให้ดี ๆ แล้วตอบหมอว่า หนูรู้จักเขาหรือไม่… หนูเข้าใจที่บอกใช่ไหม”
เธอรับคำแผ่วเบา และนิ่งเงียบอย่างตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยถามในสิ่งที่ข้าพเจ้าเองก็คาดไม่ถึง
“คนที่อยู่ในห้องนั้น ตายแล้วใช่ไหมคะ”
“ใช่ เขาตายแล้ว… มีแต่คนตายเท่านั้นที่จะถูกพามาอยู่ที่นี่” นพ. ฟอล์กเนอร์พยักหน้า “หนูเคยเห็นและรู้ใช่ไหมว่า คนที่ตายแล้วเป็นอย่างไร”
คำตอบและคำถามของเขาตรงไปตรงมา และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนมองว่า เขาช่างเย็นชาสิ้นดี แต่ข้าพเจ้ารู้ดีว่า เขาไม่ใช่คนอย่างนั้น
“ค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ อย่างแทบไม่ต้องคิด
ลิซซี่ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่ในโรงสงเคราะห์คนยากไร้เซ้าท์โกรฟกับมารดาของเธอและน้อง ๆ … ที่นั่น แม้แต่เด็กตัวเล็ก ๆ ก็ยังต้องทำงานแลกอาหาร เงิน และที่อยู่อาศัยเพื่อการเลี้ยงชีพ และที่นั่นยังเป็นที่ซึ่งเด็กทารกแรกเกิด เด็ก คนหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ทั้งชายหญิง ไม่ว่าจะมีสติดีหรือบกพร่องทางสมอง คนพิการ และผู้สูงอายุที่ไร้ญาติขาดมิตร ช่วยเหลือตนเองแทบไม่ไหวอยู่รวมกันในที่แห่งเดียว ความเจ็บป่วยและความตายจึงเป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นได้ทุกวัน
“หนูต้องเข้าไปดูคนที่ตายแล้วคนนั้น แล้วบอกว่า หนูรู้จักเขาหรือเปล่า… ใช่ไหมคะ”
แม้น้ำเสียงของเธอจะแผ่วเบาคล้ายไม่แน่ใจว่า สิ่งที่เธอถาม คือ สิ่งที่เขาต้องการให้เธอทำใช่หรือไม่ แต่คำถามนั้นบอกให้รู้ว่า เธอเป็นเด็กฉลาด โตกว่าอายุ และเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
“ถูกแล้ว” นพ. ฟอล์กเนอร์รับ “พร้อมหรือยัง ลิซซี่”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะพยักหน้าแทนคำตอบให้เขาอย่างกล้าหาญ ค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากมือของข้าพเจ้า และก้าวตามเขาเข้าไปในห้องเก็บศพ
(มีต่อนะคะ)