https://ppantip.com/topic/42964397 (บทที่ 10 เผ่นหนี)
สถานีตำรวจภูธร แม่รัก อยู่ริมแม่น้ำปิง เลยจากโรงพยาบาลสันทรายมาราวสี่กิโลเมตร ใจของขวัญชีวีเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ คิดไปต่างๆ นาๆ แต่เมื่อต้องมานั่งอยู่ในห้องที่มีโต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สามตัว มีแต่พัดลมเพดาน ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ ยิ่งมีกล้องวงจรปิดอยู่มุมเหนือประตู เธอก็ยิ่งรู้สึกประหม่าและหวาดระแวง
ชายในชุดครึ่งท่อนสวมเสื้อคลุมมีตราตำรวจบนหน้าอกถือแฟ้มกระดาษเข้าห้องมา วางแฟ้มบนโต๊ะ นั่งลงตรงข้ามขวัญชีวี
“ขอบคุณที่ยอมมาให้ปากคำนะครับ ผมพันตำรวจโทอัศวิน ขวัญมา สารสัตรสืบสวน สภ แม่รัก และน้องคือ..”
“ข..ขวัญชีวีค่ะ”
“ต่อไปผมจะใช้คำแทนตัวเองว่าพี่ ซึ่งจะช่วยให้น้องไม่รู้สึกอึดอัดหรือกดดันมากไปเวลาตอบคำถาม”
“ค่ะ”
“น้องมีความสัมพันธ์อะไรกับนางสาวขวัญฤทัย นัดดาครับ”
“ลูกสาวค่ะ”
“พ่อของของน้องล่ะ ชื่ออะไร”
“ไม่รู้ค่ะ”
“ช่วยขยายความหน่อย คำว่าไม่รู้นี่คือ ไม่รู้ชื่อเลย หรือ ตายไปแล้ว หรือ ไม่ได้ติดต่อกันเลย หรือ แยกทางไปมีครอบครัวใหม่”
“หนูไม่รู้จริงๆ ค่ะ เกิดมาหนูก็มีแต่แม่คนเดียว ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ ไม่รู้พ่อชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหน ไม่มีแม้แต่รูปถ่าย”
“ดูจากรูปร่างหน้าตาและลักษณะอื่นๆ ของน้อง พ่อน้องน่าจะเป็นชาวต่างชาติผิวดำ”
“ก็คงเป็นแบบนั้นค่ะ”
“แล้วญาติพี่น้องคนอื่นล่ะ ฝ่ายแม่ที่อยู่ในเชียงใหม่หรือต่างจังหวัด”
“หนูไม่รู้ค่ะ หนูบอกคุณตำรวจแล้วว่า มีแต่แม่คนเดียว”
พันตำรวจโทอัศวินพยักหน้า “น้องเห็นข่าวอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งลงแม่น้ำปิงแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“นางสาวขวัญฤทัย แม่ของน้อง ตกเป็นผู้ต้องสงสัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุในคืนนั้น แต่เรายังตามหาตัวนางสาวขวัญฤทัยไม่พบ ทั้งในแบบที่ยังมีชีวิตและเสียชีวิตแล้ว”
“ค่ะ”
“เราค้นหาศพในแม่น้ำมาตั้งแต่คืนเกิดเหตุ จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบตัว ตามปกติศพที่จมน้ำตายจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง พี่สันนิษฐานว่า แม่ของน้อง จะออกจากรถ ว่ายน้ำขึ้นฝั่งและยังคงมีชีวิตอยู่แต่กำลังหลบซ่อนตัว”
“หนูก็ภาวนาให้แม่ยังมีชีวิตค่ะ”
“ตอนนี้ แม่ของน้องอยู่ที่ไหน”สารวัตรไม่รีรอที่จะยิงคำถามตรงๆ
“หนูไม่รู้ค่ะ”
“ถ้างั้น..พี่จะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกันนะ เข้าเรื่องกันเลย..” นายตำรวจเปิดแฟ้ม “ตามรายงานการผ่าศพพบว่า สาเหตุการตายของ นายอัครา ศิริไพศาลมงคล ผู้จัดการบริษัท ทรานส์อินโดไชน่า อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต คือ เสียชีวิตขณะที่อยู่ในน้ำ ส่วนสาเหตุการตายของนายสุธรรม เมืองต๊ะมา พนักงานขับรถของบริษัท คือ หัวใจฉีกขาดจากกระสุนปืนที่ทรวงอก”
“หมายความว่ายังไงคะ” ขวัญชีวีถามด้วยความงุนงงสงสัย
“พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ นายอัคราอาจจะจมน้ำตายภายในรถหลังจากถูกยิงหนึ่งนัด และนายสุธรรมถูกยิงตายก่อนที่รถจะตกลงไปในน้ำ”
“ค่ะ แล้วมันเกี่ยวกับแม่หนูยังไงคะ”
“มีส่วนมากทีเดียว เพราะนางสาวขวัญฤทัยอาจจะอยู่ในรถคันนั้นด้วยตอนเกิดเหตุ”
“คุณสารวัตรใช้คำว่า “อาจจะ” นั่นก็อาจแปลได้ว่า แม่ของหนูอาจจะไม่ได้อยู่บนรถคั้นนั้นก็ได้ใช่มั้ยคะ”
“เป็นไปได้ทุกอย่างครับ อาจจะอยู่ หรือ อาจจะไม่อยู่ ณ เวลานั้น”
“ถ้าเช่นนั้น แม่หนูก็อาจจะเป็นได้ทั้ง “ผู้ต้องสงสัย” และ “ผู้ไม่ต้องสงสัย” ใช่มั้ยคะ”
“น้องนี่ฉลาดและกล้าหาญน่าดู ต่อปากต่อคำกับตำรวจได้แบบไม่เกรงกลัว”
“ค่ะ”
“นี่ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุธรรมดา แต่อาจจะเป็นการฆาตกรรมอำพรางโดยทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ” สารวัตรอัศวินบอก
ขวัญชีวีก้มหน้ารับฟัง ไม่โต้ตอบ
“น้องเป็นลูกสาว พอจะรู้มั้ยว่า แม่ของน้องอยู่ที่ไหน พี่อยากขอให้แม่น้องติดต่อเข้ามาให้ปากคำกับตำรวจ”
“คือ หนูไม่รู้ค่ะ”
“แม่น้องไม่ติดต่อกลับมาบ้างเลยเหรอ”
ขวัญชีวีส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
“ตอนนี้ตำรวจยังไม่ตั้งข้อกล่าวหาใคร แม้แต่แม่ของน้อง และฝ่ายผู้ตายก็ยังไม่ได้มาแจ้งความดำเนินคดี”
“ค่ะ”
“เรากำลังรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ อยู่ จึงอยากให้แม่น้องมาให้ปากคำ” สารวัตรบอก
“หนูไม่ได้ข่าวแม่เลยค่ะ”
“เอางี้ แม่น้องเคยเล่าเรื่องความขัดแย้งกับใครหรือมีศัตรูในที่ทำงานหรือข้างนอกที่ทำงานให้ฟังบ้างมั้ย”
“ไม่เคยค่ะ แม่ไม่เคยเอาเรื่องที่ทำงานหรือข้างนอกกลับมาบ้าน”
“น้องเคยรู้ระแคะระคายบ้างมั้ยว่า แม่คบกับผู้ชายคนไหนอยู่”
“ไม่เคยค่ะ แม่ไม่ได้คบใคร”
“อะไรกัน อยู่กันสองคน ไม่คุยเรื่องส่วนตัวกันบ้างเลยหรือไง”
“ก็คุยแหละค่ะ แต่ก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป แบบผู้หญิงๆ”
พันตำรวจโทอัศวินถอนหายใจ “ในวันเกิดเหตุ แม่น้องได้โทรศัพท์หรือส่งข้อความบอกอะไรน้องที่จะเป็นสัญญาณว่าจะเกิดเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นบ้างไหม”
ขวัญชีวี นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ นึกถึงข้อความสุดท้ายจากแม่ที่ส่งมาให้เธอทางไลน์ว่า “ขอโทษ” แล้วจากนั้นแม่ก็ไม่อ่านหรือตอบข้อความจากเธออีกเลย
“มีค่ะ”
“บอกว่ายังไง” สารวัตรหูผึ่ง ทำตาลุกวาว
“แม่ถ่ายรูปตัวเองใส่ชุดแบบคนจีนสีแดงส่งมาให้ แล้วบอกว่า จะไปร่วมงานเลี้ยงที่โรงแรมอะไรสักอย่าง หนูจำชื่อโรงแรมไม่ได้”
“มีแค่นั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ แค่นั้น แล้วหนูก็ติดต่อแม่ไม่ได้อีกเลย”
“แน่ใจนะ”
“ค่ะ มีแค่นั้น” ขวัญชีวีจ้องตานายตำรวจยืนยัน
“เอาล่ะๆ เรื่องนี้อาจจะเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง มีบางคนในรถเจตนาฆ่าคนตาย มันเป็นคดีอาญา แต่ตำรวจยังหาตัวผู้ก่อเหตุไม่ได้ ในความคิดพี่ แม่น้องอาจจะเป็นทั้งผู้ต้องสงสัยและอาจจะเป็นพยายานปากสำคัญที่จะมาช่วยไขคดีนี้ให้กระจ่างได้ทั้งหมด”
“ค่ะ”
“เราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพียงแต่แม่น้องเข้ามาให้ปากคำกับเรา เล่าข้อเท็จจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอย่างตรงไปตรงมา หรือที่ดีกว่านั้น สามารถเป็นพยานชี้ตัวได้ว่าผู้ก่อเหตุที่แท้จริงเป็นใคร”
“คุณสารวัตรจะช่วยแม่หนูมั้ยคะ ถ้าแม่หนูมาพบตำรวจ”
“มันขึ้นอยู่กับผลการสอบสวน และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ถ้าแม่น้องไม่ได้ทำความผิด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของสองคนนั้น ก็ไม่ต้องกลัวอะไร ก็อย่างที่พี่บอก เราไม่มีประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุที่ยืนยันตัวคนทำได้ ดังนั้นแม่น้องจึงอาจจะเป็นผู้ต้องสงสัยคนเดียวในคดีนี้ แต่ถ้าแม่น้องสามารถหาพยานหลักฐานมายืนยันได้ว่า ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ แม่น้องก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์”
“ค่ะ”
“ทางที่ดีคือ ถ้าแม่น้องติดต่อมา พี่ขอให้น้องช่วยพูดกับแม่ให้เข้ามารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน”
“พนักงานสอบสวนเป็นใครคะ”
“ร้อยเวรเจ้าของคดี มีหน้าที่สอบสวนและทำสำนวนส่งให้อัยการ”
“คนละแผนกกับคุณสารวัตร”
“ใช่ งานสืบสวนกับงานสอบสวน แบ่งแยกหน้าที่กันทำ แต่ก็ทำงานประสานกันตลอดเวลา”
“ถ้าแม่มารายงานตัว แม่จะถูกสอบสวนใช่มั้ยคะ”
“สอบปากคำ” สารวัตรอัศวินตอบ “แต่ถ้าคำให้การและหลักฐานมัดตัวแม่น้องว่าเป็นคนกระทำความผิดจริง และแม่น้องรับสารภาพความผิด ตำรวจก็จะตั้งข้อกล่าวหาตามมูลความผิดที่กระทำ ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องหา ถูกจับกุมตัวพร้อมบันทึกการจับกุมและสรุปสำนวนคดีส่งฟ้องศาล”
“ถ้าไม่สารภาพล่ะคะ”
“ก็ต้องไปสู้กันในชั้นศาล”
“แม่หนูไม่ได้ทำผิดอะไร”
“นั่นขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน แต่ถ้าน้องมั่นใจว่าแม่น้องไม่ได้ทำความผิด ก็ให้แม่น้องเข้ามาให้ปากคำ” สารวัศอัศวินยื่นนามบัตรให้ขวัญชีวี “โทร.มาที่เบอร์นี้ ถ้าน้องมีอะไรคืบหน้าเรื่องแม่จะบอกพี่”
ขวัญชีวีรับนามบัตรมาใส่กระเป๋าเป้ “หนูกลับได้หรือยังคะ”
“น้องมีอะไรจะบอกพี่อีกหรือเปล่าล่ะ”
“หนูบอกเท่าที่หนูรู้ไปหมดแล้ว”
“ถ้างั้น พี่ก็คงมีเรื่องคุยกับน้องแค่นี้ กลับได้เลย นายดาบตำรวจทรงสิทธิ์จะเดินออกไปส่ง” พันตำรวจโทอัศวินสั่งลูกน้องคนสนิทแล้วยิ้มให้หญิงสาว เขาไม่เชื่อว่า แม่จะไม่ติดต่อมาหาลูกสาว ยิ่งมีกันแค่สองคนแบบนี้ แม่จะยิ่งห่วงหาอาทรลูกสาวมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่เด็กคนนี้ทั้งฉลาดเลือกคำพูดและหลีกเลี่ยงที่จะเปิดเผยข้อมูลให้เขารู้ เรื่องนี้เขาเข้าใจได้ ลูกทุกคนต่างก็รักและปกป้องบุพการีของตัวเองทั้งนั้น
ขวัญชีวีเดินออกจากตึกงานสืบสวนมาที่จอดรถด้านหน้าอาคารสถานีตำรวจเพื่อประชาชนพร้อมกับนายดาบทรงสิทธิ์ ทันใดก็มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องทัก
“ชีวี น้องชีวีใช่มั้ยคะ”
ขวัญชีวีหันไปมอง เห็นหญิงร่างท้วม หน้าตาคุ้นๆ เดินเข้ามาหา เธอตอบ “ค่ะ ใช่ค่ะ”
“น้าเหน่ง อริศราค่ะ จำได้มั้ย เพื่อนที่ทำงานของพี่ขวัญ”
“อ๋อ..นึกออกแล้วค่ะ สวัสดีค่ะ” ขวัญชีวียกมือไหว้
“น้องชีวี มาให้ปากคำตำรวจเรื่องพี่ขวัญเหรอคะ” อริศราเงยหน้าสบตาเด็กสาวที่สูงโย่ง
“ใช่ค่ะ”
“วันนี้น้าพาคุณนายมาแจ้งความกับสารวัตรสอบสวน นั่นไง คุณนายกับลูกๆ กำลังลงจากรถพอดี” อริศราชี้ไปที่รถเก๋งสีขาวคันใหญ่
“ค่ะ”
“พี่ขวัญติดต่อมาบ้างมั้ยคะ ทุกคนที่บริษัทเป็นห่วง เราเชื่อว่าพี่ขวัญยังมีชีวิตอยู่ แต่..”
“แต่อะไรคะ”
“แต่ไม่น่าทำร้ายท่านประธานกับพนักงานขับรถเลย”
“แม่หนูอาจไม่ได้ทำก็ได้”
“จะเป็นใครได้อีกล่ะ ใครๆ ก็รู้ว่าเย็นวันนั้น พี่ขวัญจะไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านประธาน แถมท่านยังไปรับถึงบ้านด้วยตัวเอง”
“หนูไม่รู้เรื่องนั้นค่ะ”
“วันก่อน ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าไปเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอที่โต๊ะทำงานพี่ขวัญที่บริษัท เอาไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอที่เก็บได้จากในรถ แต่น้าก็ลุ้นๆ อยู่นะว่าผลจะไม่ตรงกัน พี่ขวัญจะได้พ้นผิด”
“แม่หนูไม่ได้ทำอะไรผิด” จริงๆ แล้วขวัญชีวีอยากพูดว่า อย่ามา
..
ถ้าไม่ติดเกรงใจนายดาบตำรวจที่ยืนอยู่ข้างๆ
อริศราขยับมาชิดขวัญชีวี เขย่งเท้า แหงนหน้าขึ้นกระซิบ “คุณนายประกาศว่าจะไม่ให้อภัยพี่ขวัญ นอกจากพยายามจะแย่งสามีนางแล้ว พอแย่งไม่สำเร็จก็ถึงกับลงมือฆ่าเขา ทั้งยังฆ่าคนขับรถปิดปากอีกด้วย”
ขวัญชีวีตัวสั่นเทิ้ม ก้มมองหน้าอริศรา กำหมัดแน่น
“เห็นว่าถ้าได้ตัวพี่ขวัญมาเมื่อไหร่ นางจะฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งไม่ให้ได้ผุดได้เกิดเลยชาตินี้” อริศราพูดไม่หยุด
“พอเถอะครับ” นายดาบทรงสิทธิ์พูดแทรกขึ้น “เรายังไม่มีพยานหลักฐานแน่นหนา ยังไม่ได้ตั้งข้อหาใคร อย่าเพิ่งคิดเองเออเองเลยครับ”
ขวัญชีวีเดินเลี่ยงหนีมาที่รถ นายดาบทรงสิทธิ์ตามมาข้างหลัง ส่วนอริศราเดินตรงไปหาคุณนายภรรยาประธานบริหารบริษัทด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เขาจะทั้งฟ้องอาญาและแพ่งได้ด้วยเหรอคะ ตำรวจยังไม่ได้ตั้งข้อหาแม่หนูเลย” เด็กสาวเอ่ยปากถาม
“คนเราก็พูดได้ทุกอย่างนั่นแหละ คือแบบนี้ คดีอาญาเป็นคดีของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฟ้องผู้กระทำผิด ส่วนคดีแพ่งเป็นคดีเอกชน บุคคลเป็นคนฟ้องร้องอีกบุคคลหนึ่งต่อศาล รัฐจะวางตัวเป็นกลาง แต่ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดในคดีอาญาเสียชีวิตขณะถูกดำเนินคดี คดีอาญานั้นก็จะระงับไป แต่ถ้าผู้กระทำผิดมีทายาทสืบทอดทรัพย์สิน ทางญาติผู้เสียหายสามารถยื่นฟ้องคดีแพ่ง เรียกร้องสินไหมทดแทนได้” นายดาบตำรวจอธิบาย
“ฟังแล้ว ไม่เข้าใจค่ะ แต่..คุณนายคนนั้นมาแจ้งความแล้ว” เธอชี้ไปที่หน้าอาคาร
“เป็นสิทธิ์ของเค้าครับ แต่ถ้าแม่ของน้องขวัญชีวีไม่ได้ทำอะไรผิด ตำรวจก็จะให้ความยุติธรรม”
“ในกรณีแม่หนู ถ้าพิสูจน์ได้ว่าแม่ทำผิดจริง แต่แม่เสียชีวิตแล้ว หนูจะต้องเป็นคนร
บทที่ 11 ให้ปากคำ
สถานีตำรวจภูธร แม่รัก อยู่ริมแม่น้ำปิง เลยจากโรงพยาบาลสันทรายมาราวสี่กิโลเมตร ใจของขวัญชีวีเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ คิดไปต่างๆ นาๆ แต่เมื่อต้องมานั่งอยู่ในห้องที่มีโต๊ะหนึ่งตัวกับเก้าอี้สามตัว มีแต่พัดลมเพดาน ไม่ติดเครื่องปรับอากาศ ยิ่งมีกล้องวงจรปิดอยู่มุมเหนือประตู เธอก็ยิ่งรู้สึกประหม่าและหวาดระแวง
ชายในชุดครึ่งท่อนสวมเสื้อคลุมมีตราตำรวจบนหน้าอกถือแฟ้มกระดาษเข้าห้องมา วางแฟ้มบนโต๊ะ นั่งลงตรงข้ามขวัญชีวี
“ขอบคุณที่ยอมมาให้ปากคำนะครับ ผมพันตำรวจโทอัศวิน ขวัญมา สารสัตรสืบสวน สภ แม่รัก และน้องคือ..”
“ข..ขวัญชีวีค่ะ”
“ต่อไปผมจะใช้คำแทนตัวเองว่าพี่ ซึ่งจะช่วยให้น้องไม่รู้สึกอึดอัดหรือกดดันมากไปเวลาตอบคำถาม”
“ค่ะ”
“น้องมีความสัมพันธ์อะไรกับนางสาวขวัญฤทัย นัดดาครับ”
“ลูกสาวค่ะ”
“พ่อของของน้องล่ะ ชื่ออะไร”
“ไม่รู้ค่ะ”
“ช่วยขยายความหน่อย คำว่าไม่รู้นี่คือ ไม่รู้ชื่อเลย หรือ ตายไปแล้ว หรือ ไม่ได้ติดต่อกันเลย หรือ แยกทางไปมีครอบครัวใหม่”
“หนูไม่รู้จริงๆ ค่ะ เกิดมาหนูก็มีแต่แม่คนเดียว ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ ไม่รู้พ่อชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหน ไม่มีแม้แต่รูปถ่าย”
“ดูจากรูปร่างหน้าตาและลักษณะอื่นๆ ของน้อง พ่อน้องน่าจะเป็นชาวต่างชาติผิวดำ”
“ก็คงเป็นแบบนั้นค่ะ”
“แล้วญาติพี่น้องคนอื่นล่ะ ฝ่ายแม่ที่อยู่ในเชียงใหม่หรือต่างจังหวัด”
“หนูไม่รู้ค่ะ หนูบอกคุณตำรวจแล้วว่า มีแต่แม่คนเดียว”
พันตำรวจโทอัศวินพยักหน้า “น้องเห็นข่าวอุบัติเหตุรถยนต์พุ่งลงแม่น้ำปิงแล้วใช่มั้ย”
“ใช่ค่ะ”
“นางสาวขวัญฤทัย แม่ของน้อง ตกเป็นผู้ต้องสงสัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุในคืนนั้น แต่เรายังตามหาตัวนางสาวขวัญฤทัยไม่พบ ทั้งในแบบที่ยังมีชีวิตและเสียชีวิตแล้ว”
“ค่ะ”
“เราค้นหาศพในแม่น้ำมาตั้งแต่คืนเกิดเหตุ จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบตัว ตามปกติศพที่จมน้ำตายจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง พี่สันนิษฐานว่า แม่ของน้อง จะออกจากรถ ว่ายน้ำขึ้นฝั่งและยังคงมีชีวิตอยู่แต่กำลังหลบซ่อนตัว”
“หนูก็ภาวนาให้แม่ยังมีชีวิตค่ะ”
“ตอนนี้ แม่ของน้องอยู่ที่ไหน”สารวัตรไม่รีรอที่จะยิงคำถามตรงๆ
“หนูไม่รู้ค่ะ”
“ถ้างั้น..พี่จะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกันนะ เข้าเรื่องกันเลย..” นายตำรวจเปิดแฟ้ม “ตามรายงานการผ่าศพพบว่า สาเหตุการตายของ นายอัครา ศิริไพศาลมงคล ผู้จัดการบริษัท ทรานส์อินโดไชน่า อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต คือ เสียชีวิตขณะที่อยู่ในน้ำ ส่วนสาเหตุการตายของนายสุธรรม เมืองต๊ะมา พนักงานขับรถของบริษัท คือ หัวใจฉีกขาดจากกระสุนปืนที่ทรวงอก”
“หมายความว่ายังไงคะ” ขวัญชีวีถามด้วยความงุนงงสงสัย
“พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ นายอัคราอาจจะจมน้ำตายภายในรถหลังจากถูกยิงหนึ่งนัด และนายสุธรรมถูกยิงตายก่อนที่รถจะตกลงไปในน้ำ”
“ค่ะ แล้วมันเกี่ยวกับแม่หนูยังไงคะ”
“มีส่วนมากทีเดียว เพราะนางสาวขวัญฤทัยอาจจะอยู่ในรถคันนั้นด้วยตอนเกิดเหตุ”
“คุณสารวัตรใช้คำว่า “อาจจะ” นั่นก็อาจแปลได้ว่า แม่ของหนูอาจจะไม่ได้อยู่บนรถคั้นนั้นก็ได้ใช่มั้ยคะ”
“เป็นไปได้ทุกอย่างครับ อาจจะอยู่ หรือ อาจจะไม่อยู่ ณ เวลานั้น”
“ถ้าเช่นนั้น แม่หนูก็อาจจะเป็นได้ทั้ง “ผู้ต้องสงสัย” และ “ผู้ไม่ต้องสงสัย” ใช่มั้ยคะ”
“น้องนี่ฉลาดและกล้าหาญน่าดู ต่อปากต่อคำกับตำรวจได้แบบไม่เกรงกลัว”
“ค่ะ”
“นี่ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุธรรมดา แต่อาจจะเป็นการฆาตกรรมอำพรางโดยทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ” สารวัตรอัศวินบอก
ขวัญชีวีก้มหน้ารับฟัง ไม่โต้ตอบ
“น้องเป็นลูกสาว พอจะรู้มั้ยว่า แม่ของน้องอยู่ที่ไหน พี่อยากขอให้แม่น้องติดต่อเข้ามาให้ปากคำกับตำรวจ”
“คือ หนูไม่รู้ค่ะ”
“แม่น้องไม่ติดต่อกลับมาบ้างเลยเหรอ”
ขวัญชีวีส่ายหน้า “ไม่ค่ะ”
“ตอนนี้ตำรวจยังไม่ตั้งข้อกล่าวหาใคร แม้แต่แม่ของน้อง และฝ่ายผู้ตายก็ยังไม่ได้มาแจ้งความดำเนินคดี”
“ค่ะ”
“เรากำลังรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ อยู่ จึงอยากให้แม่น้องมาให้ปากคำ” สารวัตรบอก
“หนูไม่ได้ข่าวแม่เลยค่ะ”
“เอางี้ แม่น้องเคยเล่าเรื่องความขัดแย้งกับใครหรือมีศัตรูในที่ทำงานหรือข้างนอกที่ทำงานให้ฟังบ้างมั้ย”
“ไม่เคยค่ะ แม่ไม่เคยเอาเรื่องที่ทำงานหรือข้างนอกกลับมาบ้าน”
“น้องเคยรู้ระแคะระคายบ้างมั้ยว่า แม่คบกับผู้ชายคนไหนอยู่”
“ไม่เคยค่ะ แม่ไม่ได้คบใคร”
“อะไรกัน อยู่กันสองคน ไม่คุยเรื่องส่วนตัวกันบ้างเลยหรือไง”
“ก็คุยแหละค่ะ แต่ก็เป็นเรื่องทั่วๆ ไป แบบผู้หญิงๆ”
พันตำรวจโทอัศวินถอนหายใจ “ในวันเกิดเหตุ แม่น้องได้โทรศัพท์หรือส่งข้อความบอกอะไรน้องที่จะเป็นสัญญาณว่าจะเกิดเรื่องอะไรสักอย่างขึ้นบ้างไหม”
ขวัญชีวี นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ นึกถึงข้อความสุดท้ายจากแม่ที่ส่งมาให้เธอทางไลน์ว่า “ขอโทษ” แล้วจากนั้นแม่ก็ไม่อ่านหรือตอบข้อความจากเธออีกเลย
“มีค่ะ”
“บอกว่ายังไง” สารวัตรหูผึ่ง ทำตาลุกวาว
“แม่ถ่ายรูปตัวเองใส่ชุดแบบคนจีนสีแดงส่งมาให้ แล้วบอกว่า จะไปร่วมงานเลี้ยงที่โรงแรมอะไรสักอย่าง หนูจำชื่อโรงแรมไม่ได้”
“มีแค่นั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ แค่นั้น แล้วหนูก็ติดต่อแม่ไม่ได้อีกเลย”
“แน่ใจนะ”
“ค่ะ มีแค่นั้น” ขวัญชีวีจ้องตานายตำรวจยืนยัน
“เอาล่ะๆ เรื่องนี้อาจจะเป็นคดีฆาตกรรมอำพราง มีบางคนในรถเจตนาฆ่าคนตาย มันเป็นคดีอาญา แต่ตำรวจยังหาตัวผู้ก่อเหตุไม่ได้ ในความคิดพี่ แม่น้องอาจจะเป็นทั้งผู้ต้องสงสัยและอาจจะเป็นพยายานปากสำคัญที่จะมาช่วยไขคดีนี้ให้กระจ่างได้ทั้งหมด”
“ค่ะ”
“เราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพียงแต่แม่น้องเข้ามาให้ปากคำกับเรา เล่าข้อเท็จจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้นอย่างตรงไปตรงมา หรือที่ดีกว่านั้น สามารถเป็นพยานชี้ตัวได้ว่าผู้ก่อเหตุที่แท้จริงเป็นใคร”
“คุณสารวัตรจะช่วยแม่หนูมั้ยคะ ถ้าแม่หนูมาพบตำรวจ”
“มันขึ้นอยู่กับผลการสอบสวน และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ถ้าแม่น้องไม่ได้ทำความผิด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของสองคนนั้น ก็ไม่ต้องกลัวอะไร ก็อย่างที่พี่บอก เราไม่มีประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุที่ยืนยันตัวคนทำได้ ดังนั้นแม่น้องจึงอาจจะเป็นผู้ต้องสงสัยคนเดียวในคดีนี้ แต่ถ้าแม่น้องสามารถหาพยานหลักฐานมายืนยันได้ว่า ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ แม่น้องก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์”
“ค่ะ”
“ทางที่ดีคือ ถ้าแม่น้องติดต่อมา พี่ขอให้น้องช่วยพูดกับแม่ให้เข้ามารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน”
“พนักงานสอบสวนเป็นใครคะ”
“ร้อยเวรเจ้าของคดี มีหน้าที่สอบสวนและทำสำนวนส่งให้อัยการ”
“คนละแผนกกับคุณสารวัตร”
“ใช่ งานสืบสวนกับงานสอบสวน แบ่งแยกหน้าที่กันทำ แต่ก็ทำงานประสานกันตลอดเวลา”
“ถ้าแม่มารายงานตัว แม่จะถูกสอบสวนใช่มั้ยคะ”
“สอบปากคำ” สารวัตรอัศวินตอบ “แต่ถ้าคำให้การและหลักฐานมัดตัวแม่น้องว่าเป็นคนกระทำความผิดจริง และแม่น้องรับสารภาพความผิด ตำรวจก็จะตั้งข้อกล่าวหาตามมูลความผิดที่กระทำ ถูกสอบสวนในฐานะผู้ต้องหา ถูกจับกุมตัวพร้อมบันทึกการจับกุมและสรุปสำนวนคดีส่งฟ้องศาล”
“ถ้าไม่สารภาพล่ะคะ”
“ก็ต้องไปสู้กันในชั้นศาล”
“แม่หนูไม่ได้ทำผิดอะไร”
“นั่นขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน แต่ถ้าน้องมั่นใจว่าแม่น้องไม่ได้ทำความผิด ก็ให้แม่น้องเข้ามาให้ปากคำ” สารวัศอัศวินยื่นนามบัตรให้ขวัญชีวี “โทร.มาที่เบอร์นี้ ถ้าน้องมีอะไรคืบหน้าเรื่องแม่จะบอกพี่”
ขวัญชีวีรับนามบัตรมาใส่กระเป๋าเป้ “หนูกลับได้หรือยังคะ”
“น้องมีอะไรจะบอกพี่อีกหรือเปล่าล่ะ”
“หนูบอกเท่าที่หนูรู้ไปหมดแล้ว”
“ถ้างั้น พี่ก็คงมีเรื่องคุยกับน้องแค่นี้ กลับได้เลย นายดาบตำรวจทรงสิทธิ์จะเดินออกไปส่ง” พันตำรวจโทอัศวินสั่งลูกน้องคนสนิทแล้วยิ้มให้หญิงสาว เขาไม่เชื่อว่า แม่จะไม่ติดต่อมาหาลูกสาว ยิ่งมีกันแค่สองคนแบบนี้ แม่จะยิ่งห่วงหาอาทรลูกสาวมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่เด็กคนนี้ทั้งฉลาดเลือกคำพูดและหลีกเลี่ยงที่จะเปิดเผยข้อมูลให้เขารู้ เรื่องนี้เขาเข้าใจได้ ลูกทุกคนต่างก็รักและปกป้องบุพการีของตัวเองทั้งนั้น
ขวัญชีวีเดินออกจากตึกงานสืบสวนมาที่จอดรถด้านหน้าอาคารสถานีตำรวจเพื่อประชาชนพร้อมกับนายดาบทรงสิทธิ์ ทันใดก็มีผู้หญิงคนหนึ่งร้องทัก
“ชีวี น้องชีวีใช่มั้ยคะ”
ขวัญชีวีหันไปมอง เห็นหญิงร่างท้วม หน้าตาคุ้นๆ เดินเข้ามาหา เธอตอบ “ค่ะ ใช่ค่ะ”
“น้าเหน่ง อริศราค่ะ จำได้มั้ย เพื่อนที่ทำงานของพี่ขวัญ”
“อ๋อ..นึกออกแล้วค่ะ สวัสดีค่ะ” ขวัญชีวียกมือไหว้
“น้องชีวี มาให้ปากคำตำรวจเรื่องพี่ขวัญเหรอคะ” อริศราเงยหน้าสบตาเด็กสาวที่สูงโย่ง
“ใช่ค่ะ”
“วันนี้น้าพาคุณนายมาแจ้งความกับสารวัตรสอบสวน นั่นไง คุณนายกับลูกๆ กำลังลงจากรถพอดี” อริศราชี้ไปที่รถเก๋งสีขาวคันใหญ่
“ค่ะ”
“พี่ขวัญติดต่อมาบ้างมั้ยคะ ทุกคนที่บริษัทเป็นห่วง เราเชื่อว่าพี่ขวัญยังมีชีวิตอยู่ แต่..”
“แต่อะไรคะ”
“แต่ไม่น่าทำร้ายท่านประธานกับพนักงานขับรถเลย”
“แม่หนูอาจไม่ได้ทำก็ได้”
“จะเป็นใครได้อีกล่ะ ใครๆ ก็รู้ว่าเย็นวันนั้น พี่ขวัญจะไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านประธาน แถมท่านยังไปรับถึงบ้านด้วยตัวเอง”
“หนูไม่รู้เรื่องนั้นค่ะ”
“วันก่อน ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าไปเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอที่โต๊ะทำงานพี่ขวัญที่บริษัท เอาไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอที่เก็บได้จากในรถ แต่น้าก็ลุ้นๆ อยู่นะว่าผลจะไม่ตรงกัน พี่ขวัญจะได้พ้นผิด”
“แม่หนูไม่ได้ทำอะไรผิด” จริงๆ แล้วขวัญชีวีอยากพูดว่า อย่ามา.. ถ้าไม่ติดเกรงใจนายดาบตำรวจที่ยืนอยู่ข้างๆ
อริศราขยับมาชิดขวัญชีวี เขย่งเท้า แหงนหน้าขึ้นกระซิบ “คุณนายประกาศว่าจะไม่ให้อภัยพี่ขวัญ นอกจากพยายามจะแย่งสามีนางแล้ว พอแย่งไม่สำเร็จก็ถึงกับลงมือฆ่าเขา ทั้งยังฆ่าคนขับรถปิดปากอีกด้วย”
ขวัญชีวีตัวสั่นเทิ้ม ก้มมองหน้าอริศรา กำหมัดแน่น
“เห็นว่าถ้าได้ตัวพี่ขวัญมาเมื่อไหร่ นางจะฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีแพ่งไม่ให้ได้ผุดได้เกิดเลยชาตินี้” อริศราพูดไม่หยุด
“พอเถอะครับ” นายดาบทรงสิทธิ์พูดแทรกขึ้น “เรายังไม่มีพยานหลักฐานแน่นหนา ยังไม่ได้ตั้งข้อหาใคร อย่าเพิ่งคิดเองเออเองเลยครับ”
ขวัญชีวีเดินเลี่ยงหนีมาที่รถ นายดาบทรงสิทธิ์ตามมาข้างหลัง ส่วนอริศราเดินตรงไปหาคุณนายภรรยาประธานบริหารบริษัทด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เขาจะทั้งฟ้องอาญาและแพ่งได้ด้วยเหรอคะ ตำรวจยังไม่ได้ตั้งข้อหาแม่หนูเลย” เด็กสาวเอ่ยปากถาม
“คนเราก็พูดได้ทุกอย่างนั่นแหละ คือแบบนี้ คดีอาญาเป็นคดีของรัฐ เจ้าพนักงานของรัฐที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ฟ้องผู้กระทำผิด ส่วนคดีแพ่งเป็นคดีเอกชน บุคคลเป็นคนฟ้องร้องอีกบุคคลหนึ่งต่อศาล รัฐจะวางตัวเป็นกลาง แต่ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดในคดีอาญาเสียชีวิตขณะถูกดำเนินคดี คดีอาญานั้นก็จะระงับไป แต่ถ้าผู้กระทำผิดมีทายาทสืบทอดทรัพย์สิน ทางญาติผู้เสียหายสามารถยื่นฟ้องคดีแพ่ง เรียกร้องสินไหมทดแทนได้” นายดาบตำรวจอธิบาย
“ฟังแล้ว ไม่เข้าใจค่ะ แต่..คุณนายคนนั้นมาแจ้งความแล้ว” เธอชี้ไปที่หน้าอาคาร
“เป็นสิทธิ์ของเค้าครับ แต่ถ้าแม่ของน้องขวัญชีวีไม่ได้ทำอะไรผิด ตำรวจก็จะให้ความยุติธรรม”
“ในกรณีแม่หนู ถ้าพิสูจน์ได้ว่าแม่ทำผิดจริง แต่แม่เสียชีวิตแล้ว หนูจะต้องเป็นคนร