https://ppantip.com/topic/42989980 (บทที่ 12 โจรลักพาตัว)
“ไปขึ้นรถปิคอัพข้างหลัง เร็ว” ขวัญฤทัยสั่ง
ชีวีชะงักเท้า ก่อนจะก้มกลับเข้าเบาะหลังตามเดิมแล้วใช้หัวเข่าและมือซ้ายยันตัวเองไว้บนเบาะ มือขวากำปลายกระบอกปืน ใช้ด้ามปืนฟาดเข้าที่ใบหน้าของชายหน้าปรุเต็มแรง ฟาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายครั้งจนเลือดไหลอาบใบหน้านั้นและลำตัวก็โงนโงนฟุบลงบนเบาะ
“ตบหน้าฉันเหรอ เป็นไงล่ะ โดนเอาคืนซะบ้าง สมน้ำหน้า” หญิงสาวตะโกนใส่ชายหน้าปรุ
“ไปได้แล้ว” ขวัญฤทัยตะโกนสั่งเด็ดขาด
ขวัญชีวีกำปืนติดมือมาขึ้นรถบนที่นั่งคนขับ วางปืนไว้บนเบาะข้างตัว ขวัญฤทัยตามมาจะขึ้นที่นั่งคนขับ แต่ขวัญชีวีชี้ไปที่เบาะนั่งผู้โดยสาร “แม่นั่งตรงนั้น หนูขับเอง”
“ลงมา แม่จะขับ เร็วเข้า”
ขวัญชีวีทำหน้าหงิกขณะรีบก้าวลงจากที่นั่งคนขับ หลบให้แม่ขึ้นไปนั่งแทน เธอวิ่งอ้อมหน้ารถมาขึ้นเบาะผู้โดยสารข้างหน้า เปิดประตู เห็นแม่หยิบปืนที่เธอวางบนเบาะขึ้นมากดถอดซองกระสุนออก แล้วเลื่อนสไลด์ดีดกระสุนออกจากรังเพลิง เลื่อนสไลด์ไปมาอีกสองครั้งอย่างเชี่ยวชาญ โยนปืนไปเบาะข้างหลัง เก็บซองกระสุนและลูกปืนอีกนัดเข้ากระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต
รถปิคอัพแซงรถสองคันที่ชนกันอยู่มาตามถนน ขวัญชีวีสังเกตเห็นว่าแม่เยียบคลัชเปลี่ยนเกียร์กดคันเร่งอย่างคล่องแคล่ว มันคือรถคันที่เธอเหยียบซิ่งหนีออกจากบ้านนั้นมานี่นา เธอถาม “รถคันนี้จอดอยู่หน้าบ้านเรานี่ แล้วใครขับรถเก๋งคันนั้นคะ”
“ใช่ น้านางกับน้าดาว”
“หนูดีใจที่สุดเลย ได้เจอแม่แล้ว” โผเข้ากอดแม่แน่น น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว
“แม่ก็ดีใจ ที่ลูกปลอดภัย” ขวัญฤทัยบอก
“ในที่สุดแม่ก็เห็นหนูสำคัญกว่างาน” ยิ้มกว้าง หอมแก้มแม่หนึ่งฟอด “รักแม่จัง”
“เด็กดื้ออ่ะเรา”
“แล้วน้านางกับน้าดาวจะตามเรามามั้ยคะ”
“เสร็จธุระตรงนั้นแล้ว จะแยกไปอีกทาง เปลี่ยนรถ แล้วจะไปเจอกันทีหลัง”
“พวกนั้นจะถูกเก็บมั้ยคะ หนูอยากฆ่าพวกมันให้ตายจริงๆ โคตรเกลียด” ขวัญชีวีเสียงจริงจัง ปล่อยอ้อมกอดกลับมานั่งบนเบาะตามเดิม
“คงแค่บาดเจ็บ” ขวัญฤทัยบอก “ถึงว่า เห็นเอาปืนฟาดหัวไอ้นั้นจนตัวงอหมดสภาพ”
“มันตบหน้าหนู ล็อคคอหนู เอาปืนจ่อหัวหนู ยังแค้นมันไม่หายเลยตอนนี้”
“ลูกไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”
“เอ้า..หนูไม่ปล่อยให้โดนกระทำฝ่ายเดียวหรอก มีโอกาสต้องเอาคืนให้มันรู้ซะบ้าง ฟาดให้ตายไปเลยยิ่งดี หนูไม่กล้วมนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น”
“โอเคๆ เชื่อแล้ว”
“พวกนั้นจะไปแจ้งตำรวจมั้ยคะว่าโดนทำร้ายบาดเจ็บ”
“คงไม่หรอกลูก คนแบบนั้นไม่กล้าไปหาตำรวจหรอก”
“นั่นสินะ ก็พวกมันลักพาตัวหนูมานี่นา”
“แต่เราสองคนมีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยนะ ทำร้ายน้านางและหนีออกมา” ขวัญฤทัยหันมองหน้าลูกสาวอีกครั้ง
“หนูขอโทษ ก็ตอนนั้นมันคิดแต่ว่าจะต้องหนี ก็หนูไม่รู้จักน้านางกับคนอื่นๆ มาก่อน จะให้หนูไว้ใจได้ยังไง”
“แม่เข้าใจ แต่ลูกเล่นแรงไปหน่อยแค่นั้น”
“แม่ตามมาช่วยหนูได้ยังไงคะ” ขวัญชีวีเปลี่ยนเรื่องคุย
“น้านางโทร.บอก แม่มากับน้าดาว ไปรับน้านางที่บ้านนั้น ตอนอยู่บนรถ เราช่วยกันโทร.เข้าเบอร์ลูกหลายสิบครั้ง แต่ก็ไม่รับสาย”
“แหม..หนูก็นึกว่า เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ หรือ คอลเซ็นเตอร์นี่นา เบอร์ไม่รู้จัก”
“ดีที่แม่ไปทันเห็นเหตุการณ์พอดี”
“อ้าว..แม่อยู่ตรงนั้นแล้วทำไมไม่ช่วยหนูตั้งแต่ตอนนั้นเลยล่ะคะ” ขวัญชีวีแปลกใจ
“โอกาสมันไม่เปิด จริงๆ แล้ว แม่ตั้งใจจะไปเจอลูกที่บ้าน คุยกันให้เข้าใจแล้วให้กลับไปกับน้านาง แต่ก็ไม่คิดว่าจะไปเจอคนสวมรอยเป็นตำรวจอุ้มตัวลูกมา อ้อ..แม่เก็บโทรศัพท์กับสายชาร์จมาให้ด้วย อยู่ในเป้ของลูกบนเบาะหลัง พวกเสื้อผ้า ชุดชั้นใน ถุงเท้า รองเท้าผ้าใบ และอีกหลายอย่าง อยู่ในกระเป๋าอีกใบ”
ขวัญชีวีหันมองเบาะหลังเห็นกระเป๋าเป้ของตัวเองวางอยู่ข้างกล่องใบหนึ่ง “ขอบคุณค่ะ แม่น่ารักที่สุดเลย รู้ใจหนูทุกเรื่อง ว่าแต่..หลายวันมานี้แม่หายไปไหนคะ หนูคิดถึงและเป็นห่วงแม่ใจจะขาด”
“เรื่องมันยาวลูก มีเวลาแล้วค่อยเล่า”
“นั่นกล่องอะไรคะสีดำๆ”
“ตู้เซฟใบเล็กของแม่”
“แม่เก็บไว้ที่ไหนคะ หนูแทบจะรื้อบ้านทิ้ง ก็ไม่เจอตู้เซฟใบนี้”
“ตอนแม่เข้าบ้าน แม่เห็นว่าเกือบทุกห้องถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย รวมทั้งห้องนอนแม่ คิดว่าพวกคนร้ายบุกมาค้นหาของซะอีก ที่แท้เป็นฝีมือของลูกนี่เอง”
“ใช่ค่ะ ฝีมือหนูเอง พยายามหาเบาะแสเกี่ยวกับแม่ แต่ก็ไม่เจออะไร แล้วแม่เก็บเซฟไว้ที่ไหนคะ”
“อยู่ใต้ตู้คอลเลคชั่นตุ๊กตาของลูก”
“ห๊ะ..อยู่ในห้องนอนหนูเองเหรอเนี่ย นั่นสินะ หนูรื้อทุกห้อง แต่ไม่ได้ค้นห้องตัวเอง พลาดอย่างแรง” พูดพลางหัวเราะ
“บางทีคนเราก็เผลอมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวแบบนี้ล่ะ”
ขวัญชีวีพยักหน้า “จริงค่ะ หนูนึกว่าหนูรู้ทุกซอกทุกมุมในห้องตัวเองแล้ว เส้นผมบังภูเขาจริงๆ แล้วพวกมันเป็นใครคะ คนที่พาตัวหนูมา”
“แม่ก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าจะให้เดาก็คงเป็นคนของนายอัครา แต่ไม่รู้ว่าใครบงการ เพราะนายอัคราตายไปแล้ว”
“เมียเขามั้ยคะที่เป็นคนสั่ง เพราะตอนหนูไปให้ปากคำกับตำรวจ เจอคนชื่ออริศราที่ทำงานบริษัทเดียวกับแม่บอกว่า เมียนายอัคราโกรธแค้นมาก จะไม่ให้อภัยคนที่ทำให้ผัวของเขาตาย แถมเค้ายังไปแจ้งความแล้วด้วย”
“นี่ลูกไปเจอตำรวจมาแล้วเหรอเนี่ย”
“ใช่ค่ะ เมื่อเช้า ที่สถานีตำรวจแม่รัก พันตำรวจโทอัศวินกับนายดาบตำรวจทรงสิทธิ์ ฝ่ายสืบสวน”
“แล้วลูกบอกอะไรตำรวจบ้าง”
“ไม่รู้ค่ะ”
“เอ้า..บอกแม่มาว่าลูกพูดอะไรกับตำรวจบ้าง”
“หนูตอบตำรวจนักสืบคนนั้นว่า “ไม่รู้ค่ะ” เกือบทุกคำถามที่เขาถามเรื่องแม่”
“อ้อ..แล้วคำถามอย่างอื่นที่ไม่ได้ตอบว่า “ไม่รู้ค่ะ” ล่ะ ลูกพูดอะไรไปบ้าง”
“ค่ะ”
ขวัญฤทัยหัวเราะ ยื่นมือซ้ายมายีผมหยิกฟูของลูกสาว “ร้ายนะเราเนี่ย”
“แล้วหนูก็พูดทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ตำรวจอยากให้แม่ไปให้ปากคำเรื่องที่เกิดขึ้น ตำรวจยังไม่ตั้งข้อกล่าวหากับใคร เค้ารวบรวมพยานหลักฐานอยู่ แม่อาจจะเป็นทั้งผู้ต้องสงสัยและพยานปากสำคัญ”
“แม่ยังไม่พร้อม แม่ยังมีงานต้องทำให้เสร็จ”
ขวัญชีวีพยักหน้า “แต่หนูก็เห็นด้วยกับตำรวจนะ แม่ไปให้ปากคำในฐานะพยาน และยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของสองคนนั้น”
ขวัญฤทัยเงียบเสียงครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยออกมา “เรื่องนี้เอาไว้คุยทีหลังนะคะลูก”
“ได้ค่ะ..แล้วพวกที่ลักพาตัวหนู กับพวกนายอัคราและเมียของเขา อันตรายมั้ยคะ”
“แม่ว่า คนที่ใหญ่กว่านายอัคราและเมีย อันตรายกว่าเยอะ”
“แม่หมายความว่า พวกนี้เป็นแค่ลูกน้องระดับล่างเหรอคะ”
“ใช่..นายอัคราก็เป็นแค่หุ่นเชิดให้คนบางกลุ่มที่มีเงิน อำนาจและอิทธิพลที่กฎหมายเอื้อมขึ้นไปไม่ถึง”
“ฟังดูน่ากลัวจัง แต่หนูไม่กลัว”
แม่หัวเราะ “อย่าเพิ่งห้าว ลูกยังไม่เคยเจอความกลัวของจริง ข้างนอกนั่นมันน่ากลัวกว่าที่ลูกคิด”
“แล้วคนชื่ออริศรา ที่ทำงานบริษัทเดียวกับแม่ละคะ เขาอยู่ฝ่ายไหน”
“อ๋อ..คุณเหน่ง คน
ประจำบริษัท จะเลือกอยู่ฝ่ายที่ชนะเท่านั้น”
“ถึงว่า ดูท่าทางออกจะดัดจริตเสแสร้งตอนพูดกับหนูที่สถานีตำรวจ”
“ทุกคนต้องหาวิธีเอาตัวรอดทั้งนั้นล่ะลูก หาคนจริงใจยากในสังคมบริษัทนั้น”
ขวัญชีวีหมุนตัวไปยกเซฟจากเบาะหลังมาวางไว้บนตัก “หนูอยากเห็นข้างในเซฟแล้วว่ามีอะไรบ้าง แม่เปิดให้หนูดูหน่อยนะคะ”
“ขวัญชีวี! เอาเซฟใบนั้นไปวางไว้เบาะหลังที่เดิม” ขวัญฤทัยทำเสียงดุ
ลูกสาวรู้ทันทีว่า เวลาแม่ไม่สบอารมณ์ จะเรียกชื่อเต็มของเธอ แต่เธอก็หาทางเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง “อ้าว..ก็หนูอยากเปิดมันดูอ่ะ หนูรู้สึกได้ว่าเซฟใบนี้มีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงถึงหนู เหมือนมีความผูกพันกัน”
“ไม่ต้องมาอ้างรู้สึกแบบนั้นแบบนี้เลย”
“ก็มันจริงนี่คะ ถ้าไม่มีอะไรผูกพันกับหนู แล้วแม่จะเอาไปซ่อนไว้ในห้องหนูทำไม ที่อื่นในบ้านก็มีตั้งเยอะแยะ แม่ก็ไม่เอาไปซ่อน”
“เอาเซฟไปไว้เบาะหลัง ทำตามที่แม่บอก เดี๋ยวนี้”
“ไม่ค่ะ หนูไม่วาง ถ้าแม่ไม่เปิด หนูจะโยนมันทิ้งออกจากรถ” กดเลื่อนกระจกประตูลง ลมตีเข้ามากระทบใบหน้า เส้นผมปลิวตามแรงลมพัด “โยนใส่หน้าต่างบ้านคนอื่นด้วย”
“อย่านะ..โอเคๆ แม่ยอมแล้ว” ขวัญฤทัยรู้นิสัยลูกสาวว่าเป็นคนพูดจริงทำจริง
กดเลื่อนกระจกขึ้นจนสุด “บอกรหัสมาเลยค่ะ หนูพร้อมกดแล้ว”
แม่ล้วงกระเป๋าด้านในของเสื้อแจ็คเก็ต หยิบกุญแจยื่นให้ลูกสาว “เสียบกุญแจ ยังไม่ต้องหมุน ใส่รหัสตัวเลขหกตัว ชุดเดียวกันกับรหัสบัตรเอทีเอ็มของลูก เสร็จแล้วก็หมุนกุญแจทวนเข็มนาฬิกาจนสุด แล้วหมุนตามเข็มนาฬิกากลับมาจนสุด แล้วหมุนทวนเข็มกลับมาที่จุดเริ่มต้นตอนก่อนเริ่มหมุน จะได้ยินเสียงลั่น จากนั้นก็บิดตัวหมุนไปทางขวาเปิดประตูออก”
“เห็นมั้ย เชื่อหนูหรือยังว่า มันมีความสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งกับหนู ขนาดรหัสเซฟ แม่ยังใช้รหัสบัตรเอทีเอ็มของหนูเลย แต่เดี๋ยวนะ..แม่รู้รหัสบัตรหนูได้ยังไง หนูไม่เคยบอกใครเลยนะ แม้แต่แม่”
“เอาเป็นว่าแม่รู้ก็แล้วกันนะ”
“ร้ายนะแม่เนี่ย” ขวัญชีวีทำหน้างงอยู่ครู่หนึ่ง ก็เปิดไฟเหนือหัวภายในรถ เสียบกุญแจเข้าช่อง กดหมายเลขหกหลักตามบัตรเอทีเอ็มของเธอ แล้วหมุนกุญแจตามที่แม่บอก เกิดเสียงกลไกปลดล็อค ก็บิดตัวหมุนประตูเปิดฝาตู้เซฟใบเล็ก เธอขยับตัวเพื่อกางฝาหน้าเซฟออกกว้าง ยกขึ้นเล็กน้อยให้มองเห็นข้างในชัดเจน
ปืนพกกระบอกเล็กวางอยู่ข้างธนบัตรเงินสดจำนวนมาก ข้างล่างสุดมีซองกระดาษสีน้ำตาลสี่ซองวางซ้อนกันอยู่ ขวัญชีวีหยิบปืนออกมา กำด้ามไว้ด้วยมือเรียวงามของเธอ นิ้วชี้สอดเข้าแตะไกปืน ชูปืนหันปากกระบอกตรงไปข้างหน้า
“เล็กกระทัดรัด เหมาะมือมาก”
“ขวัญชีวี! เอานิ้วออกจากไกปืน แล้ววางไว้เหนือโกร่งไก เดี๋ยวนี้!” ขวัญฤทัยตะเบ็งเสียงลั่น
เด็กสาวตกใจสะดุ้งเฮือก แต่ก็รีบทำตามอย่างรวดเร็ว หันไปหัวเราะแหะๆ กับแม่ “หนูขอโทษค่ะ หนูไม่รู้ แต่เงินในนี้เยอะมากเลยค่ะแม่”
“เก็บไว้ให้ลูกใช้เวลาฉุกเฉินนั่นแหละ ส่งปืนมาให้แม่ แล้วปิดเซฟซะ”
“หนูเปิดดูซองพวกนี้ได้มั้ยคะ” เธอยื่นปืนให้แม่รับไว้ในมือซ้าย
“เอาไว้มีเวลาแล้วค่อยเปิดดูทีหลังลูก ปิดเซฟซะ” ขวัญฤทัยพูดขณะกดปุ่มปล่อยซองกระสุนออกจากด้ามปืน ใช้มือซ้ายข้างเดียวเลื่อนสไลด์ให้ลูกปืนในรังเพลิงดีดตัวออกมาตกลงไปที่พื้นใต้พวงมาลัยรถ เลื่อนสไลด์อีกสองสามครั้ง แล้วยัดปืนพกลงในกระเป๋าข้างซ้ายของเสื้อแจ็กเก็ต เก็บซองกระสุนใส่กระเป๋าข้างขวาด้านในเสื้อคลุม
“แม่เป็นอย่างที่น้านาง น้าศิน น้ากริชพูดไว้จริงๆ เหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ” เธอปิดเซฟแล้วยกกลับไปวางเบาะหลัง
“เป็นยังไง”
“เป็นคนโคตรเก่ง ทำงานให้หน่วยเล็กๆ ที่ลึกลับ”
“อย่าไปฟังพวกน้าๆ เรื่องแม่มากนักลูก”
“แม่ฝึกให้หนูยิงปืนและต่อสู้ เหมือนที่แม่เคยฝึกได้มั้ยคะ”
“แม่เพิ่งบอกหยกๆ ว่า อย่าไปฟังพวกนั้นมากนัก”
“นะคะแม่ แม่จ๋า ฝึกให้หนูนะ หนูเป็นลูกแม่ แม่ไม่รักลูกคนนี้แล้วเหรอ”
“ไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก หน้าที่เด็กคือไปเรียนหนังสือ”
“ก็เรียนไปด้วย ฝึกไปด้วยก็ได้นี่คะ ไม่เห็นเป็นไร หนูเรียนออนไลน์ได้”
“ลูกไม่ควรสนใจเรื่องพวกนี้”
“ตอนหนูเป็นเด็ก แม่ยังพาหนูไปฝึกเทควันโดเลย แม่บอกว่ามันจำเป็นสำหรับลูกผู้หญิง มีไว้ป้องกันตัว”
“มันไม่เหมือนกัน”
“มันอาจจะไม่เหมือนซะทีเดียว แต่มันก็มี
นิยาย: จอมป่วนชวนจับโจร บทที่ 13 คนในชุดดำ
“ไปขึ้นรถปิคอัพข้างหลัง เร็ว” ขวัญฤทัยสั่ง
ชีวีชะงักเท้า ก่อนจะก้มกลับเข้าเบาะหลังตามเดิมแล้วใช้หัวเข่าและมือซ้ายยันตัวเองไว้บนเบาะ มือขวากำปลายกระบอกปืน ใช้ด้ามปืนฟาดเข้าที่ใบหน้าของชายหน้าปรุเต็มแรง ฟาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายครั้งจนเลือดไหลอาบใบหน้านั้นและลำตัวก็โงนโงนฟุบลงบนเบาะ
“ตบหน้าฉันเหรอ เป็นไงล่ะ โดนเอาคืนซะบ้าง สมน้ำหน้า” หญิงสาวตะโกนใส่ชายหน้าปรุ
“ไปได้แล้ว” ขวัญฤทัยตะโกนสั่งเด็ดขาด
ขวัญชีวีกำปืนติดมือมาขึ้นรถบนที่นั่งคนขับ วางปืนไว้บนเบาะข้างตัว ขวัญฤทัยตามมาจะขึ้นที่นั่งคนขับ แต่ขวัญชีวีชี้ไปที่เบาะนั่งผู้โดยสาร “แม่นั่งตรงนั้น หนูขับเอง”
“ลงมา แม่จะขับ เร็วเข้า”
ขวัญชีวีทำหน้าหงิกขณะรีบก้าวลงจากที่นั่งคนขับ หลบให้แม่ขึ้นไปนั่งแทน เธอวิ่งอ้อมหน้ารถมาขึ้นเบาะผู้โดยสารข้างหน้า เปิดประตู เห็นแม่หยิบปืนที่เธอวางบนเบาะขึ้นมากดถอดซองกระสุนออก แล้วเลื่อนสไลด์ดีดกระสุนออกจากรังเพลิง เลื่อนสไลด์ไปมาอีกสองครั้งอย่างเชี่ยวชาญ โยนปืนไปเบาะข้างหลัง เก็บซองกระสุนและลูกปืนอีกนัดเข้ากระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ต
รถปิคอัพแซงรถสองคันที่ชนกันอยู่มาตามถนน ขวัญชีวีสังเกตเห็นว่าแม่เยียบคลัชเปลี่ยนเกียร์กดคันเร่งอย่างคล่องแคล่ว มันคือรถคันที่เธอเหยียบซิ่งหนีออกจากบ้านนั้นมานี่นา เธอถาม “รถคันนี้จอดอยู่หน้าบ้านเรานี่ แล้วใครขับรถเก๋งคันนั้นคะ”
“ใช่ น้านางกับน้าดาว”
“หนูดีใจที่สุดเลย ได้เจอแม่แล้ว” โผเข้ากอดแม่แน่น น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว
“แม่ก็ดีใจ ที่ลูกปลอดภัย” ขวัญฤทัยบอก
“ในที่สุดแม่ก็เห็นหนูสำคัญกว่างาน” ยิ้มกว้าง หอมแก้มแม่หนึ่งฟอด “รักแม่จัง”
“เด็กดื้ออ่ะเรา”
“แล้วน้านางกับน้าดาวจะตามเรามามั้ยคะ”
“เสร็จธุระตรงนั้นแล้ว จะแยกไปอีกทาง เปลี่ยนรถ แล้วจะไปเจอกันทีหลัง”
“พวกนั้นจะถูกเก็บมั้ยคะ หนูอยากฆ่าพวกมันให้ตายจริงๆ โคตรเกลียด” ขวัญชีวีเสียงจริงจัง ปล่อยอ้อมกอดกลับมานั่งบนเบาะตามเดิม
“คงแค่บาดเจ็บ” ขวัญฤทัยบอก “ถึงว่า เห็นเอาปืนฟาดหัวไอ้นั้นจนตัวงอหมดสภาพ”
“มันตบหน้าหนู ล็อคคอหนู เอาปืนจ่อหัวหนู ยังแค้นมันไม่หายเลยตอนนี้”
“ลูกไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น”
“เอ้า..หนูไม่ปล่อยให้โดนกระทำฝ่ายเดียวหรอก มีโอกาสต้องเอาคืนให้มันรู้ซะบ้าง ฟาดให้ตายไปเลยยิ่งดี หนูไม่กล้วมนุษย์หน้าไหนทั้งนั้น”
“โอเคๆ เชื่อแล้ว”
“พวกนั้นจะไปแจ้งตำรวจมั้ยคะว่าโดนทำร้ายบาดเจ็บ”
“คงไม่หรอกลูก คนแบบนั้นไม่กล้าไปหาตำรวจหรอก”
“นั่นสินะ ก็พวกมันลักพาตัวหนูมานี่นา”
“แต่เราสองคนมีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยนะ ทำร้ายน้านางและหนีออกมา” ขวัญฤทัยหันมองหน้าลูกสาวอีกครั้ง
“หนูขอโทษ ก็ตอนนั้นมันคิดแต่ว่าจะต้องหนี ก็หนูไม่รู้จักน้านางกับคนอื่นๆ มาก่อน จะให้หนูไว้ใจได้ยังไง”
“แม่เข้าใจ แต่ลูกเล่นแรงไปหน่อยแค่นั้น”
“แม่ตามมาช่วยหนูได้ยังไงคะ” ขวัญชีวีเปลี่ยนเรื่องคุย
“น้านางโทร.บอก แม่มากับน้าดาว ไปรับน้านางที่บ้านนั้น ตอนอยู่บนรถ เราช่วยกันโทร.เข้าเบอร์ลูกหลายสิบครั้ง แต่ก็ไม่รับสาย”
“แหม..หนูก็นึกว่า เป็นพวกสิบแปดมงกุฎ หรือ คอลเซ็นเตอร์นี่นา เบอร์ไม่รู้จัก”
“ดีที่แม่ไปทันเห็นเหตุการณ์พอดี”
“อ้าว..แม่อยู่ตรงนั้นแล้วทำไมไม่ช่วยหนูตั้งแต่ตอนนั้นเลยล่ะคะ” ขวัญชีวีแปลกใจ
“โอกาสมันไม่เปิด จริงๆ แล้ว แม่ตั้งใจจะไปเจอลูกที่บ้าน คุยกันให้เข้าใจแล้วให้กลับไปกับน้านาง แต่ก็ไม่คิดว่าจะไปเจอคนสวมรอยเป็นตำรวจอุ้มตัวลูกมา อ้อ..แม่เก็บโทรศัพท์กับสายชาร์จมาให้ด้วย อยู่ในเป้ของลูกบนเบาะหลัง พวกเสื้อผ้า ชุดชั้นใน ถุงเท้า รองเท้าผ้าใบ และอีกหลายอย่าง อยู่ในกระเป๋าอีกใบ”
ขวัญชีวีหันมองเบาะหลังเห็นกระเป๋าเป้ของตัวเองวางอยู่ข้างกล่องใบหนึ่ง “ขอบคุณค่ะ แม่น่ารักที่สุดเลย รู้ใจหนูทุกเรื่อง ว่าแต่..หลายวันมานี้แม่หายไปไหนคะ หนูคิดถึงและเป็นห่วงแม่ใจจะขาด”
“เรื่องมันยาวลูก มีเวลาแล้วค่อยเล่า”
“นั่นกล่องอะไรคะสีดำๆ”
“ตู้เซฟใบเล็กของแม่”
“แม่เก็บไว้ที่ไหนคะ หนูแทบจะรื้อบ้านทิ้ง ก็ไม่เจอตู้เซฟใบนี้”
“ตอนแม่เข้าบ้าน แม่เห็นว่าเกือบทุกห้องถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย รวมทั้งห้องนอนแม่ คิดว่าพวกคนร้ายบุกมาค้นหาของซะอีก ที่แท้เป็นฝีมือของลูกนี่เอง”
“ใช่ค่ะ ฝีมือหนูเอง พยายามหาเบาะแสเกี่ยวกับแม่ แต่ก็ไม่เจออะไร แล้วแม่เก็บเซฟไว้ที่ไหนคะ”
“อยู่ใต้ตู้คอลเลคชั่นตุ๊กตาของลูก”
“ห๊ะ..อยู่ในห้องนอนหนูเองเหรอเนี่ย นั่นสินะ หนูรื้อทุกห้อง แต่ไม่ได้ค้นห้องตัวเอง พลาดอย่างแรง” พูดพลางหัวเราะ
“บางทีคนเราก็เผลอมองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวแบบนี้ล่ะ”
ขวัญชีวีพยักหน้า “จริงค่ะ หนูนึกว่าหนูรู้ทุกซอกทุกมุมในห้องตัวเองแล้ว เส้นผมบังภูเขาจริงๆ แล้วพวกมันเป็นใครคะ คนที่พาตัวหนูมา”
“แม่ก็ยังไม่รู้ แต่ถ้าจะให้เดาก็คงเป็นคนของนายอัครา แต่ไม่รู้ว่าใครบงการ เพราะนายอัคราตายไปแล้ว”
“เมียเขามั้ยคะที่เป็นคนสั่ง เพราะตอนหนูไปให้ปากคำกับตำรวจ เจอคนชื่ออริศราที่ทำงานบริษัทเดียวกับแม่บอกว่า เมียนายอัคราโกรธแค้นมาก จะไม่ให้อภัยคนที่ทำให้ผัวของเขาตาย แถมเค้ายังไปแจ้งความแล้วด้วย”
“นี่ลูกไปเจอตำรวจมาแล้วเหรอเนี่ย”
“ใช่ค่ะ เมื่อเช้า ที่สถานีตำรวจแม่รัก พันตำรวจโทอัศวินกับนายดาบตำรวจทรงสิทธิ์ ฝ่ายสืบสวน”
“แล้วลูกบอกอะไรตำรวจบ้าง”
“ไม่รู้ค่ะ”
“เอ้า..บอกแม่มาว่าลูกพูดอะไรกับตำรวจบ้าง”
“หนูตอบตำรวจนักสืบคนนั้นว่า “ไม่รู้ค่ะ” เกือบทุกคำถามที่เขาถามเรื่องแม่”
“อ้อ..แล้วคำถามอย่างอื่นที่ไม่ได้ตอบว่า “ไม่รู้ค่ะ” ล่ะ ลูกพูดอะไรไปบ้าง”
“ค่ะ”
ขวัญฤทัยหัวเราะ ยื่นมือซ้ายมายีผมหยิกฟูของลูกสาว “ร้ายนะเราเนี่ย”
“แล้วหนูก็พูดทั่วๆ ไป ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ตำรวจอยากให้แม่ไปให้ปากคำเรื่องที่เกิดขึ้น ตำรวจยังไม่ตั้งข้อกล่าวหากับใคร เค้ารวบรวมพยานหลักฐานอยู่ แม่อาจจะเป็นทั้งผู้ต้องสงสัยและพยานปากสำคัญ”
“แม่ยังไม่พร้อม แม่ยังมีงานต้องทำให้เสร็จ”
ขวัญชีวีพยักหน้า “แต่หนูก็เห็นด้วยกับตำรวจนะ แม่ไปให้ปากคำในฐานะพยาน และยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของสองคนนั้น”
ขวัญฤทัยเงียบเสียงครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยออกมา “เรื่องนี้เอาไว้คุยทีหลังนะคะลูก”
“ได้ค่ะ..แล้วพวกที่ลักพาตัวหนู กับพวกนายอัคราและเมียของเขา อันตรายมั้ยคะ”
“แม่ว่า คนที่ใหญ่กว่านายอัคราและเมีย อันตรายกว่าเยอะ”
“แม่หมายความว่า พวกนี้เป็นแค่ลูกน้องระดับล่างเหรอคะ”
“ใช่..นายอัคราก็เป็นแค่หุ่นเชิดให้คนบางกลุ่มที่มีเงิน อำนาจและอิทธิพลที่กฎหมายเอื้อมขึ้นไปไม่ถึง”
“ฟังดูน่ากลัวจัง แต่หนูไม่กลัว”
แม่หัวเราะ “อย่าเพิ่งห้าว ลูกยังไม่เคยเจอความกลัวของจริง ข้างนอกนั่นมันน่ากลัวกว่าที่ลูกคิด”
“แล้วคนชื่ออริศรา ที่ทำงานบริษัทเดียวกับแม่ละคะ เขาอยู่ฝ่ายไหน”
“อ๋อ..คุณเหน่ง คนประจำบริษัท จะเลือกอยู่ฝ่ายที่ชนะเท่านั้น”
“ถึงว่า ดูท่าทางออกจะดัดจริตเสแสร้งตอนพูดกับหนูที่สถานีตำรวจ”
“ทุกคนต้องหาวิธีเอาตัวรอดทั้งนั้นล่ะลูก หาคนจริงใจยากในสังคมบริษัทนั้น”
ขวัญชีวีหมุนตัวไปยกเซฟจากเบาะหลังมาวางไว้บนตัก “หนูอยากเห็นข้างในเซฟแล้วว่ามีอะไรบ้าง แม่เปิดให้หนูดูหน่อยนะคะ”
“ขวัญชีวี! เอาเซฟใบนั้นไปวางไว้เบาะหลังที่เดิม” ขวัญฤทัยทำเสียงดุ
ลูกสาวรู้ทันทีว่า เวลาแม่ไม่สบอารมณ์ จะเรียกชื่อเต็มของเธอ แต่เธอก็หาทางเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง “อ้าว..ก็หนูอยากเปิดมันดูอ่ะ หนูรู้สึกได้ว่าเซฟใบนี้มีอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงถึงหนู เหมือนมีความผูกพันกัน”
“ไม่ต้องมาอ้างรู้สึกแบบนั้นแบบนี้เลย”
“ก็มันจริงนี่คะ ถ้าไม่มีอะไรผูกพันกับหนู แล้วแม่จะเอาไปซ่อนไว้ในห้องหนูทำไม ที่อื่นในบ้านก็มีตั้งเยอะแยะ แม่ก็ไม่เอาไปซ่อน”
“เอาเซฟไปไว้เบาะหลัง ทำตามที่แม่บอก เดี๋ยวนี้”
“ไม่ค่ะ หนูไม่วาง ถ้าแม่ไม่เปิด หนูจะโยนมันทิ้งออกจากรถ” กดเลื่อนกระจกประตูลง ลมตีเข้ามากระทบใบหน้า เส้นผมปลิวตามแรงลมพัด “โยนใส่หน้าต่างบ้านคนอื่นด้วย”
“อย่านะ..โอเคๆ แม่ยอมแล้ว” ขวัญฤทัยรู้นิสัยลูกสาวว่าเป็นคนพูดจริงทำจริง
กดเลื่อนกระจกขึ้นจนสุด “บอกรหัสมาเลยค่ะ หนูพร้อมกดแล้ว”
แม่ล้วงกระเป๋าด้านในของเสื้อแจ็คเก็ต หยิบกุญแจยื่นให้ลูกสาว “เสียบกุญแจ ยังไม่ต้องหมุน ใส่รหัสตัวเลขหกตัว ชุดเดียวกันกับรหัสบัตรเอทีเอ็มของลูก เสร็จแล้วก็หมุนกุญแจทวนเข็มนาฬิกาจนสุด แล้วหมุนตามเข็มนาฬิกากลับมาจนสุด แล้วหมุนทวนเข็มกลับมาที่จุดเริ่มต้นตอนก่อนเริ่มหมุน จะได้ยินเสียงลั่น จากนั้นก็บิดตัวหมุนไปทางขวาเปิดประตูออก”
“เห็นมั้ย เชื่อหนูหรือยังว่า มันมีความสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งกับหนู ขนาดรหัสเซฟ แม่ยังใช้รหัสบัตรเอทีเอ็มของหนูเลย แต่เดี๋ยวนะ..แม่รู้รหัสบัตรหนูได้ยังไง หนูไม่เคยบอกใครเลยนะ แม้แต่แม่”
“เอาเป็นว่าแม่รู้ก็แล้วกันนะ”
“ร้ายนะแม่เนี่ย” ขวัญชีวีทำหน้างงอยู่ครู่หนึ่ง ก็เปิดไฟเหนือหัวภายในรถ เสียบกุญแจเข้าช่อง กดหมายเลขหกหลักตามบัตรเอทีเอ็มของเธอ แล้วหมุนกุญแจตามที่แม่บอก เกิดเสียงกลไกปลดล็อค ก็บิดตัวหมุนประตูเปิดฝาตู้เซฟใบเล็ก เธอขยับตัวเพื่อกางฝาหน้าเซฟออกกว้าง ยกขึ้นเล็กน้อยให้มองเห็นข้างในชัดเจน
ปืนพกกระบอกเล็กวางอยู่ข้างธนบัตรเงินสดจำนวนมาก ข้างล่างสุดมีซองกระดาษสีน้ำตาลสี่ซองวางซ้อนกันอยู่ ขวัญชีวีหยิบปืนออกมา กำด้ามไว้ด้วยมือเรียวงามของเธอ นิ้วชี้สอดเข้าแตะไกปืน ชูปืนหันปากกระบอกตรงไปข้างหน้า
“เล็กกระทัดรัด เหมาะมือมาก”
“ขวัญชีวี! เอานิ้วออกจากไกปืน แล้ววางไว้เหนือโกร่งไก เดี๋ยวนี้!” ขวัญฤทัยตะเบ็งเสียงลั่น
เด็กสาวตกใจสะดุ้งเฮือก แต่ก็รีบทำตามอย่างรวดเร็ว หันไปหัวเราะแหะๆ กับแม่ “หนูขอโทษค่ะ หนูไม่รู้ แต่เงินในนี้เยอะมากเลยค่ะแม่”
“เก็บไว้ให้ลูกใช้เวลาฉุกเฉินนั่นแหละ ส่งปืนมาให้แม่ แล้วปิดเซฟซะ”
“หนูเปิดดูซองพวกนี้ได้มั้ยคะ” เธอยื่นปืนให้แม่รับไว้ในมือซ้าย
“เอาไว้มีเวลาแล้วค่อยเปิดดูทีหลังลูก ปิดเซฟซะ” ขวัญฤทัยพูดขณะกดปุ่มปล่อยซองกระสุนออกจากด้ามปืน ใช้มือซ้ายข้างเดียวเลื่อนสไลด์ให้ลูกปืนในรังเพลิงดีดตัวออกมาตกลงไปที่พื้นใต้พวงมาลัยรถ เลื่อนสไลด์อีกสองสามครั้ง แล้วยัดปืนพกลงในกระเป๋าข้างซ้ายของเสื้อแจ็กเก็ต เก็บซองกระสุนใส่กระเป๋าข้างขวาด้านในเสื้อคลุม
“แม่เป็นอย่างที่น้านาง น้าศิน น้ากริชพูดไว้จริงๆ เหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ” เธอปิดเซฟแล้วยกกลับไปวางเบาะหลัง
“เป็นยังไง”
“เป็นคนโคตรเก่ง ทำงานให้หน่วยเล็กๆ ที่ลึกลับ”
“อย่าไปฟังพวกน้าๆ เรื่องแม่มากนักลูก”
“แม่ฝึกให้หนูยิงปืนและต่อสู้ เหมือนที่แม่เคยฝึกได้มั้ยคะ”
“แม่เพิ่งบอกหยกๆ ว่า อย่าไปฟังพวกนั้นมากนัก”
“นะคะแม่ แม่จ๋า ฝึกให้หนูนะ หนูเป็นลูกแม่ แม่ไม่รักลูกคนนี้แล้วเหรอ”
“ไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องของเด็ก หน้าที่เด็กคือไปเรียนหนังสือ”
“ก็เรียนไปด้วย ฝึกไปด้วยก็ได้นี่คะ ไม่เห็นเป็นไร หนูเรียนออนไลน์ได้”
“ลูกไม่ควรสนใจเรื่องพวกนี้”
“ตอนหนูเป็นเด็ก แม่ยังพาหนูไปฝึกเทควันโดเลย แม่บอกว่ามันจำเป็นสำหรับลูกผู้หญิง มีไว้ป้องกันตัว”
“มันไม่เหมือนกัน”
“มันอาจจะไม่เหมือนซะทีเดียว แต่มันก็มี