ปมชั้น 14 พ่นพิษ! แพทยสภา สั่งสอบหมอ-พยาบาล เอี่ยวรักษา “ทักษิณ”
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/238978
ปมชั้น 14 รพ.ตำรวจพ่นพิษ! แพทยสภาร่อนหนังสือจี้ นายแพทย์ใหญ่ส่งข้อมูลรักษาทักษิณ พร้อมขอข้อมูลหมอ-พยาบาลที่เกี่ยวข้อง
ยังคงเป็นประเด็นร้อน ภายหลังคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติรับคำร้องและสั่งตั้งองค์คณะไต่สวน กรณีกล่าวหา อธิบดีกรมราชทัณฑ์ , นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวนาย
ทักษิณ ชินวัตร รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ จนกระทั่งครบ 180 วันนั้น
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า แพทยสภา ได้ทำหนังสือถึงโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อขอเอกสารทุกอย่างตั้งแต่วันเข้ารับการรักษาจนวันออกจากโรงพยาบาลในกรณีของนายทักษิณ
ทั้งนี้หนังสือดังกล่าว ออกโดย นพ.
อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภาในฐานะประธานอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจ ที่ตั้งโดยมติที่ประชุมแพทยสภาฯ ได้ทำหนังสือของแพทยสภา ลงวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ถึง แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมสามหน้ากระดาษ มีใจความโดยสรุปว่า
คณะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงเฉพาะกิจตั้งขึ้นตามมติของกรรมการแพทยสภาฯ เมื่อ 10 ต.ค. 2567 ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พรบ.วิชาชีพเวชกรรมพ.ศ. 2525 เพื่อสอบสวนกรณีดังกล่าวที่เกิดจาก กรณีมีการย้ายผู้ป่วยจากรพ.ราชทัณฑ์มาที่รพ.ตำรวจ จึงขอข้อมูลเพื่อประโยชน์แก่การสืบสวนสอบสวน อันเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม คณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ จึงขอให้ท่าน(แพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ชี้แจงข้อเท็จจริงและส่งพยานหลักฐานหรือวัตถุพยานเพื่อประโยชน์การแก่การพิจารณาจริยธรรม ดังนี้
1. คำชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้ารับการรักษาพยาบาล ของผู้ป่วยชาย นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมดโดยละเอียด
2. ขอทราบ ชื่อ สกุลแพทย์ทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วย นายทักษิณ ชินวัตร รวมถึงเลขใบประกอบวิชาชีพ
รวมถึงคำชี้แจงของบุคคลในข้อ 2 เกี่ยวกับกระบวนการตรวจ การวินิจฉัย การดูแลรักษาในรายผู้ป่วย นายทักษิณ ชินวัตรโดยละเอียด
โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า เนื่องจาก
ทักษิณ เป็นผู้ต้องขังที่ส่งตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำเกินกว่า 30 วัน และ 60 วัน - 60 วัน และ 120 วันตามลำดับ ตามที่กำหนดในข้อ 7 ของกฎกระทรวงยุติธรรม การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ที่กำหนดให้ผู้บัญชาการเรือนจำ มีหนังสือขอความเห็นจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษา และหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวง(ยุติธรรม)และรัฐมนตรีว่าการกระรทวงยุติธรรม ทราบ (ตามลำดับ)
ดังนั้นจึงขอความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ที่ก็คือ การขอความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง ตอนที่แพทย์ทำรายงานสามครั้ง คือถึง อธิบดีกรมราชทัณฑ์-ปลัดกระทรวงยุติธรรมและรมว.ยุติธรรม ในช่วงครบ 30 วัน 60 วันและ 120 วันตามลำดับ โดยให้ส่งรวมมาให้อนุกรรมการฯทั้งหมด
นอกจากนี้อนุกรรมการสอบสวน ของแพทยสภา ยังขอให้ส่งสำเนาใบส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาต่อ สำเนาเวชระเบียน สำนาบันทึกการผ่าตัด สำเนาบันทึกการให้ยาระงับความรู้สึก สำเนาบันทึกการพยาบาล สำเนารายงานทางการแพทย์ และเอกสารหรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล เช่นภาพถ่ายทางรังสีวินิจฉัย ผลการตรวจทางรังสี ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือเอกสารใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร โดยให้ระบุหมายเลขหน้าเอกสาร และให้เจ้าหน้าที่ลงนามรับรองเอกสารทุกหน้าด้วย
โดย เอกสารยังระบุอีกว่า ขอตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. 2566 ที่ผู้ป่วยถูกส่งต่อการรักษาไปที่รพ.ตำรวจ จนกระทั่งผู้ป่วยถูกจำหน่ายออกจากรพ. ตำรวจ ซึ่งถือว่าเกี่ยวข้องกับการพิจารณาจริยธรรมในครั้งนี้ โดยขอให้ทำคำชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานที่สนับสนุนคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรตามประเด็นข้างต้น โดยให้ส่งมาให้คณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจภายใน วันที่ 15 ม.ค. 2568
กรณีที่มีรายงานข่าวว่าแพทยสภาส่งหนังสือถึงนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ขอเอกสารหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการรักษาตัวของนาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น พีพีทีวี ตรวจสอบกับ พล.อ.ต.นพ.
อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา เปิดเผยสั้นๆ ว่า ตนเองยังไม่ทราบรายละเอียดในกรณีดังกล่าว เนื่องจากเป็นการพิจารณาของอนุกรรมการชุดพิเศษ ไม่ผ่านเลขาธิการแพทยสภา ซึ่งตนเองเข้าใจว่าเนื้อหาน่าจะเป็นไปตามนั้น แต่ขอตรวจสอบก่อน
บุกจับ ผอ.พรรคประชาชน ปราจีนบุรี ซุกปืนเถื่อน กระสุนหลายร้อยนัด.
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9555494
บุ
กจับ ผอ.พรรคประชาชน ปราจีนบุรี ซุกปืนเถื่อน กระสุนหลายร้อยนัด เตรียมส่งฝากขังศาล ตร.เผยทำตามคำสั่งกวาดล้างผู้มีอิทธิพล หลังคดียิง สจ.โต้ง
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2567 ที่เทศบาลศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ตำรวจภูธรภาค 2 ชุดขยายผล “
กวาดล้างผู้มีอิทธิพลใน จ.ปราจีนบุรี” บุกจับกุมบ้านผู้ต้องสงสัยพบอาวุธปืนเถื่อน พร้อมเครื่องกระสุนเป็นจำนวนมาก
ทราบภายหลังชื่อ นาย
สุเมธ เหรียญพงษ์นาม ผู้อำนวยการพรรคประชาชน(ปชน.) ประจำจังหวัดปราจีนบุรี โดนตำรวจจับพร้อมอาวุธปืนเถื่อน และเครื่องกระสุนเป็นจำนวนมาก โดยนาย
สุเมธ เป็นอดีตผู้ช่วย สส.กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ปัจจุบันยังมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วย สส.พรรคประชาชน และในการเลือกตั้ง นายก อบจ.ในครั้งนี้ นาย
สุเมธ ยังเป็นผู้บริหารในการจัดส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนายก อบจ. และ สจ. ในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะถึงนี้
ด้าน พ.ต.อ.
สุรพร เทพเสน ผกก.สภ.ระเบาะไผ่ เปิดเผยว่า ทางตำรวจภูธรภาค 2 ได้รับคำสั่งกวาดล้างผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี สืบเนื่องจากคดีนาย
สุนทร วิลาวัลย์ หรือ
โกทร นายก อบจ.ปราจีนบุรี ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของนาย
ชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.
โต้ง ปราจีนบุรี
จากการตรวจค้านบ้าน นาย
สุเมธ พบอาวุธปืน 5 กระบอก เป็นปืนที่ไม่มีใบอนุญาต 2 กระบอก และเครื่องกระสุนหลายร้อยนัด และอีก 3 กระบอก ทางเจ้าหน้าได้ยึดไปตรวจสอบ โดยจะมีการดำเนินคดีข้อหาพกอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝากขังต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ช่วยสส.พรรคประชาชน คนดังกล่าว เคยมีประเด็นพฤติกรรมเอื้อผลประโยชน์ ประเด็นซื้อขายที่ดินให้กับโรงงานบ่อกำจัดขยะ และเป็นผู้นำผู้เสียหายคดีคุกคามทางเพศ ของนาย
วุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี และรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาไปพบกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลในขณะนั้น
หุ้นดิ่ง 21 จุด รับสัญญาณสหรัฐ ผ่อนลดดอกเบี้ยเหลือ 2 ครั้ง ฉุดบาทอ่อน เงินทุนต่างชาติไหลออก
https://www.matichon.co.th/economy/news_4962315
หุ้นดิ่ง 21 จุด รับสัญญาณสหรัฐ ผ่อนลดดอกเบี้ยเหลือ 2 ครั้ง ฉุดบาทอ่อน เงินลงทุนต่างชาติไหลออก
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ (หุ้น) ในตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) ในวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,398.95 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,377.53 จุด ปรับลดลง 21.42 จุด หรือลบ 1.53% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,394.26 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,374.33 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 49,259.21 ล้านบาท
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบ ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากเมื่อวานนี้ (18 ธันวาคม) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามคาด แต่ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากเดิม 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง นอกจากนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลออก โดยมีแรงขายมากในหุ้นกลุ่มค้าปลีก ไอซีที และการเงิน
เอกชนโคราช ร้อง ‘ผบช.ภ.3’ ขอลดด่านตรวจ ชี้ เศรษฐกิจกลางคืนซบเซา
https://www.prachachat.net/local-economy/news-1719333
ตัวแทนภาคเอกชน 14 องค์กร จ.นครราชสีมา เข้าพบผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ร้องตำรวจตั้งด่านมากเกินไป จนทำให้เศรษฐกิจซบเซา วอนลดด่านลงฟื้นเศรษฐกิจภาคกลางคืนให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ที่ห้องทำงานผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 อ.เมือง จ.นครราชสีมา ตัวแทนหน่วยงานภาคเอกชน 14 องค์กร นำโดย นาย
เชน หีบสระน้อย ประธานชมรมสถานบันเทิงจังหวัดนครราชสีมา, นาย
จีระศักดิ์ คาระวิวัฒนา ประธานชมรมร้านอาหารจังหวัดนครราชสีมา, นาย
ชัยวัฒน์ วงศ์เบญจรัตน์ กรรมการที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, นาย
ปราโมศวร์ ตัณฑเศณีวัฒน์ รองประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, นาย
รณกฤต สองเมือง ประธานมูลนิธินักข่าวนครราชสีมา และนายก
รณ์เศรษฐ์ เจตน์จำลอง กรรมการหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ได้เข้าพบ พล.ต.ท.
วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เพื่อมอบกระเช้าแสดงความยินดี เนื่องในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 คนใหม่ พร้อมกับหารือเรื่องความเดือดร้อนของผู้ประกอบการสถานบันเทิง ร้านอาหาร และประชาชนในพื้นที่ จ.นครราชสีมา
ได้หารือเกี่ยวกับมาตรการการตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทำให้ประชาชนไม่กล้าออกมาใช้บริการ ส่งผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่ซบเซาเป็นอย่างมาก โดยภายหลังจากการเข้าหารือ พล.ต.ท.
วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ได้รับปากว่าจะช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน โดยการกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ทุก สภ.ลดการตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ แต่ให้เน้นไปที่การตั้งด่านบนถนนสายหลักเพื่อป้องกันอาชญากรรม และสิ่งของผิดกฎหมายเท่านั้น เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ประกอบการร้านอาหารสถานบันเทิงในพื้นที่
นาย
ชัยวัฒน์ วงศ์เบญจรัตน์ กรรมการที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ในวันนี้ตัวแทนหน่วยงานภาคเอกชนทั้ง 14 องค์กร ได้เข้าหารือกับ พล.ต.ท.
วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ในหลายเรื่อง แต่เรื่องที่สำคัญคือการขอความช่วยเหลือในเรื่องบรรเทาความเดือดร้อนจากการตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพราะปัจจุบันนี้เศรษฐกิจในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ซบเซามาก ทั้งช่วงกลางวัน และช่วงกลางคืน โดยเฉพาะร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่าง ๆ ซบเซามาก ส่วนหนึ่งเกิดจากประชาชนไม่กล้าออกมาใช้บริการ เพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่เป็นจำนวนมากหลายจุดทุกคืน
ดังนั้นภาคเอกชนจึงอยากขอความร่วมมือตำรวจลดการตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ลง โดยทางสถานประกอบการพร้อมให้ความร่วมมือในเรื่องอื่น ๆ เช่น มาตรการป้องกันยาเสพติดในสถานประกอบการ, การก่ออาชญากรรม และไม่อนุญาตให้เยาวชนเข้าใช้บริการในสถานบันเทิง โดยทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ สั่งการหน่วยงานในสังกัดให้ลดการตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ลงในช่วงระยะเวลาที่ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่าง ๆ เปิดทำการ
ซึ่งนับว่าเป็นแนวโน้มที่ดีที่จะทำให้สถานประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิงต่าง ๆ ในพื้นที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะสถานประกอบการเหล่านี้ ถือว่ามีความสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกมิติ เนื่องจากสถานประกอบการแต่ละแห่งจะต้องเลี้ยงดูพนักงานหลายชีวิต คนเหล่านี้จะได้มีงานทำ มีเงินใช้ ไม่ต้องไปเป็นปัญหาสังคม อีกทั้งถ้ามีคนออกมาเที่ยวเพิ่มมากขึ้น รายได้ก็กระจายไปสู่พ่อค้า แม่ค้า คนขี่รถจักรยานยนต์ และร้านค้าทั่วไป
JJNY : 5in1 ปมชั้น 14 พ่นพิษ!│บุกจับผอ.พรรคปชน.│หุ้นดิ่ง 21 จุด│เอกชนโคราชร้อง‘ผบช.ภ.3’│รัสเซียพร้อมถกดีลยุติศึกยูเครน
https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/238978
ปมชั้น 14 รพ.ตำรวจพ่นพิษ! แพทยสภาร่อนหนังสือจี้ นายแพทย์ใหญ่ส่งข้อมูลรักษาทักษิณ พร้อมขอข้อมูลหมอ-พยาบาลที่เกี่ยวข้อง
ยังคงเป็นประเด็นร้อน ภายหลังคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติรับคำร้องและสั่งตั้งองค์คณะไต่สวน กรณีกล่าวหา อธิบดีกรมราชทัณฑ์ , นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กรณีส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ จนกระทั่งครบ 180 วันนั้น
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า แพทยสภา ได้ทำหนังสือถึงโรงพยาบาลตำรวจ เพื่อขอเอกสารทุกอย่างตั้งแต่วันเข้ารับการรักษาจนวันออกจากโรงพยาบาลในกรณีของนายทักษิณ
ทั้งนี้หนังสือดังกล่าว ออกโดย นพ.อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภาในฐานะประธานอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจ ที่ตั้งโดยมติที่ประชุมแพทยสภาฯ ได้ทำหนังสือของแพทยสภา ลงวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ถึง แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมสามหน้ากระดาษ มีใจความโดยสรุปว่า
คณะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงเฉพาะกิจตั้งขึ้นตามมติของกรรมการแพทยสภาฯ เมื่อ 10 ต.ค. 2567 ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พรบ.วิชาชีพเวชกรรมพ.ศ. 2525 เพื่อสอบสวนกรณีดังกล่าวที่เกิดจาก กรณีมีการย้ายผู้ป่วยจากรพ.ราชทัณฑ์มาที่รพ.ตำรวจ จึงขอข้อมูลเพื่อประโยชน์แก่การสืบสวนสอบสวน อันเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม คณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ จึงขอให้ท่าน(แพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ชี้แจงข้อเท็จจริงและส่งพยานหลักฐานหรือวัตถุพยานเพื่อประโยชน์การแก่การพิจารณาจริยธรรม ดังนี้
1. คำชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้ารับการรักษาพยาบาล ของผู้ป่วยชาย นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมดโดยละเอียด
2. ขอทราบ ชื่อ สกุลแพทย์ทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วย นายทักษิณ ชินวัตร รวมถึงเลขใบประกอบวิชาชีพ
รวมถึงคำชี้แจงของบุคคลในข้อ 2 เกี่ยวกับกระบวนการตรวจ การวินิจฉัย การดูแลรักษาในรายผู้ป่วย นายทักษิณ ชินวัตรโดยละเอียด
โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า เนื่องจากทักษิณ เป็นผู้ต้องขังที่ส่งตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำเกินกว่า 30 วัน และ 60 วัน - 60 วัน และ 120 วันตามลำดับ ตามที่กำหนดในข้อ 7 ของกฎกระทรวงยุติธรรม การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ที่กำหนดให้ผู้บัญชาการเรือนจำ มีหนังสือขอความเห็นจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษา และหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวง(ยุติธรรม)และรัฐมนตรีว่าการกระรทวงยุติธรรม ทราบ (ตามลำดับ)
ดังนั้นจึงขอความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ที่ก็คือ การขอความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง ตอนที่แพทย์ทำรายงานสามครั้ง คือถึง อธิบดีกรมราชทัณฑ์-ปลัดกระทรวงยุติธรรมและรมว.ยุติธรรม ในช่วงครบ 30 วัน 60 วันและ 120 วันตามลำดับ โดยให้ส่งรวมมาให้อนุกรรมการฯทั้งหมด
นอกจากนี้อนุกรรมการสอบสวน ของแพทยสภา ยังขอให้ส่งสำเนาใบส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาต่อ สำเนาเวชระเบียน สำนาบันทึกการผ่าตัด สำเนาบันทึกการให้ยาระงับความรู้สึก สำเนาบันทึกการพยาบาล สำเนารายงานทางการแพทย์ และเอกสารหรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล เช่นภาพถ่ายทางรังสีวินิจฉัย ผลการตรวจทางรังสี ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือเอกสารใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร โดยให้ระบุหมายเลขหน้าเอกสาร และให้เจ้าหน้าที่ลงนามรับรองเอกสารทุกหน้าด้วย
โดย เอกสารยังระบุอีกว่า ขอตั้งแต่วันที่ 23 ส.ค. 2566 ที่ผู้ป่วยถูกส่งต่อการรักษาไปที่รพ.ตำรวจ จนกระทั่งผู้ป่วยถูกจำหน่ายออกจากรพ. ตำรวจ ซึ่งถือว่าเกี่ยวข้องกับการพิจารณาจริยธรรมในครั้งนี้ โดยขอให้ทำคำชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานที่สนับสนุนคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรตามประเด็นข้างต้น โดยให้ส่งมาให้คณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจภายใน วันที่ 15 ม.ค. 2568
กรณีที่มีรายงานข่าวว่าแพทยสภาส่งหนังสือถึงนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ขอเอกสารหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น พีพีทีวี ตรวจสอบกับ พล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา เปิดเผยสั้นๆ ว่า ตนเองยังไม่ทราบรายละเอียดในกรณีดังกล่าว เนื่องจากเป็นการพิจารณาของอนุกรรมการชุดพิเศษ ไม่ผ่านเลขาธิการแพทยสภา ซึ่งตนเองเข้าใจว่าเนื้อหาน่าจะเป็นไปตามนั้น แต่ขอตรวจสอบก่อน
บุกจับ ผอ.พรรคประชาชน ปราจีนบุรี ซุกปืนเถื่อน กระสุนหลายร้อยนัด.
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9555494
บุกจับ ผอ.พรรคประชาชน ปราจีนบุรี ซุกปืนเถื่อน กระสุนหลายร้อยนัด เตรียมส่งฝากขังศาล ตร.เผยทำตามคำสั่งกวาดล้างผู้มีอิทธิพล หลังคดียิง สจ.โต้ง
เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2567 ที่เทศบาลศรีมหาโพธิ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ตำรวจภูธรภาค 2 ชุดขยายผล “กวาดล้างผู้มีอิทธิพลใน จ.ปราจีนบุรี” บุกจับกุมบ้านผู้ต้องสงสัยพบอาวุธปืนเถื่อน พร้อมเครื่องกระสุนเป็นจำนวนมาก
ทราบภายหลังชื่อ นายสุเมธ เหรียญพงษ์นาม ผู้อำนวยการพรรคประชาชน(ปชน.) ประจำจังหวัดปราจีนบุรี โดนตำรวจจับพร้อมอาวุธปืนเถื่อน และเครื่องกระสุนเป็นจำนวนมาก โดยนายสุเมธ เป็นอดีตผู้ช่วย สส.กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ปัจจุบันยังมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วย สส.พรรคประชาชน และในการเลือกตั้ง นายก อบจ.ในครั้งนี้ นายสุเมธ ยังเป็นผู้บริหารในการจัดส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นนายก อบจ. และ สจ. ในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่กำลังจะถึงนี้
ด้าน พ.ต.อ.สุรพร เทพเสน ผกก.สภ.ระเบาะไผ่ เปิดเผยว่า ทางตำรวจภูธรภาค 2 ได้รับคำสั่งกวาดล้างผู้มีอิทธิพลในพื้นที่จังหวัดปราจีนบุรี สืบเนื่องจากคดีนายสุนทร วิลาวัลย์ หรือ โกทร นายก อบจ.ปราจีนบุรี ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง ปราจีนบุรี
จากการตรวจค้านบ้าน นายสุเมธ พบอาวุธปืน 5 กระบอก เป็นปืนที่ไม่มีใบอนุญาต 2 กระบอก และเครื่องกระสุนหลายร้อยนัด และอีก 3 กระบอก ทางเจ้าหน้าได้ยึดไปตรวจสอบ โดยจะมีการดำเนินคดีข้อหาพกอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝากขังต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ช่วยสส.พรรคประชาชน คนดังกล่าว เคยมีประเด็นพฤติกรรมเอื้อผลประโยชน์ ประเด็นซื้อขายที่ดินให้กับโรงงานบ่อกำจัดขยะ และเป็นผู้นำผู้เสียหายคดีคุกคามทางเพศ ของนายวุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี และรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาไปพบกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลในขณะนั้น
หุ้นดิ่ง 21 จุด รับสัญญาณสหรัฐ ผ่อนลดดอกเบี้ยเหลือ 2 ครั้ง ฉุดบาทอ่อน เงินทุนต่างชาติไหลออก
https://www.matichon.co.th/economy/news_4962315
หุ้นดิ่ง 21 จุด รับสัญญาณสหรัฐ ผ่อนลดดอกเบี้ยเหลือ 2 ครั้ง ฉุดบาทอ่อน เงินลงทุนต่างชาติไหลออก
เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ (หุ้น) ในตลาดหลักทรัพย์ (ตลท.) ในวันนี้ว่า หุ้นเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยเปิดตลาดภาคเช้ามาที่ระดับ 1,398.95 จุด ก่อนปิดตลาดภาคบ่ายที่ระดับ 1,377.53 จุด ปรับลดลง 21.42 จุด หรือลบ 1.53% โดยดัชนีทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,394.26 จุด และทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,374.33 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 49,259.21 ล้านบาท
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบ ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากเมื่อวานนี้ (18 ธันวาคม) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามคาด แต่ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากเดิม 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง นอกจากนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลออก โดยมีแรงขายมากในหุ้นกลุ่มค้าปลีก ไอซีที และการเงิน
เอกชนโคราช ร้อง ‘ผบช.ภ.3’ ขอลดด่านตรวจ ชี้ เศรษฐกิจกลางคืนซบเซา
https://www.prachachat.net/local-economy/news-1719333
ตัวแทนภาคเอกชน 14 องค์กร จ.นครราชสีมา เข้าพบผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ร้องตำรวจตั้งด่านมากเกินไป จนทำให้เศรษฐกิจซบเซา วอนลดด่านลงฟื้นเศรษฐกิจภาคกลางคืนให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
ที่ห้องทำงานผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 อ.เมือง จ.นครราชสีมา ตัวแทนหน่วยงานภาคเอกชน 14 องค์กร นำโดย นายเชน หีบสระน้อย ประธานชมรมสถานบันเทิงจังหวัดนครราชสีมา, นายจีระศักดิ์ คาระวิวัฒนา ประธานชมรมร้านอาหารจังหวัดนครราชสีมา, นายชัยวัฒน์ วงศ์เบญจรัตน์ กรรมการที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, นายปราโมศวร์ ตัณฑเศณีวัฒน์ รองประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, นายรณกฤต สองเมือง ประธานมูลนิธินักข่าวนครราชสีมา และนายกรณ์เศรษฐ์ เจตน์จำลอง กรรมการหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา ได้เข้าพบ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เพื่อมอบกระเช้าแสดงความยินดี เนื่องในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 คนใหม่ พร้อมกับหารือเรื่องความเดือดร้อนของผู้ประกอบการสถานบันเทิง ร้านอาหาร และประชาชนในพื้นที่ จ.นครราชสีมา
ได้หารือเกี่ยวกับมาตรการการตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งทำให้ประชาชนไม่กล้าออกมาใช้บริการ ส่งผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่ซบเซาเป็นอย่างมาก โดยภายหลังจากการเข้าหารือ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ได้รับปากว่าจะช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน โดยการกำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ทุก สภ.ลดการตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ แต่ให้เน้นไปที่การตั้งด่านบนถนนสายหลักเพื่อป้องกันอาชญากรรม และสิ่งของผิดกฎหมายเท่านั้น เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้ประกอบการร้านอาหารสถานบันเทิงในพื้นที่
นายชัยวัฒน์ วงศ์เบญจรัตน์ กรรมการที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา กล่าวว่า ในวันนี้ตัวแทนหน่วยงานภาคเอกชนทั้ง 14 องค์กร ได้เข้าหารือกับ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ในหลายเรื่อง แต่เรื่องที่สำคัญคือการขอความช่วยเหลือในเรื่องบรรเทาความเดือดร้อนจากการตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ เพราะปัจจุบันนี้เศรษฐกิจในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ซบเซามาก ทั้งช่วงกลางวัน และช่วงกลางคืน โดยเฉพาะร้านอาหาร และสถานบันเทิงต่าง ๆ ซบเซามาก ส่วนหนึ่งเกิดจากประชาชนไม่กล้าออกมาใช้บริการ เพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่เป็นจำนวนมากหลายจุดทุกคืน
ดังนั้นภาคเอกชนจึงอยากขอความร่วมมือตำรวจลดการตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ลง โดยทางสถานประกอบการพร้อมให้ความร่วมมือในเรื่องอื่น ๆ เช่น มาตรการป้องกันยาเสพติดในสถานประกอบการ, การก่ออาชญากรรม และไม่อนุญาตให้เยาวชนเข้าใช้บริการในสถานบันเทิง โดยทางผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ สั่งการหน่วยงานในสังกัดให้ลดการตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ลงในช่วงระยะเวลาที่ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่าง ๆ เปิดทำการ
ซึ่งนับว่าเป็นแนวโน้มที่ดีที่จะทำให้สถานประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิงต่าง ๆ ในพื้นที่กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะสถานประกอบการเหล่านี้ ถือว่ามีความสำคัญต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกมิติ เนื่องจากสถานประกอบการแต่ละแห่งจะต้องเลี้ยงดูพนักงานหลายชีวิต คนเหล่านี้จะได้มีงานทำ มีเงินใช้ ไม่ต้องไปเป็นปัญหาสังคม อีกทั้งถ้ามีคนออกมาเที่ยวเพิ่มมากขึ้น รายได้ก็กระจายไปสู่พ่อค้า แม่ค้า คนขี่รถจักรยานยนต์ และร้านค้าทั่วไป