https://ppantip.com/topic/42961541 (บทที่ 9 ล่อลวง)
หน้าต่างทั้งชั้นบนและล่างติดเหล็กดัดทุกบาน ประตูหลังบ้านเป็นแผ่นโลหะหนาและหนัก ส่วนหน้าบ้านเป็นประตูกระจกแบบบานเลื่อน แต่ก็ยังอุตส่าห์สร้างลูกกรงที่เปิดปิดได้ครอบป้องกันเอาไว้ข้างนอกอีกหนึ่งชั้น ทางเข้าออกตัวบ้านทั้งสองด้านคล้องแม่กุญแจและล็อคอยู่ตลอดเวลา มันคืออุปสรรคสำคัญที่จะขัดขวางการหลบหนี
บ้านหลังนี้มีไว้สำหรับกักขังหน่วงเนี่ยวนักโทษอย่างขวัญชีวีชัดๆ
กุญแจอยู่กับตัวของสาวทอมอย่างไม่ต้องสงสัย และหล่อนก็อยู่ลำพังเพียงคนเดียว
ขวัญชีวีไม่หลับไม่นอนจนถึงตีสี่ เข้าห้องน้ำครั้งเดียวหลังปิดทีวีก่อนเที่ยงคืน ไฟในห้องดับสนิท อาศัยแสงสลัวลางจากหลอดไฟนอกบ้านที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้พอมองเห็น สวมกางเกงยีนส์ เสื้อยืด ทับด้วยเสื้อคลุมกันหนาว รวบผมผูกเป็นหางม้า เก็บของสำคัญลงกระเป๋าเป้ กำหูหิ้วไว้ในมือซ้าย มือขวาค่อยๆ เปิดประตูห้องนอน เบี่ยงตัวออกแล้วปิดตามหลังช้าๆ เคลื่อนกายถึงขั้นบันได ย่องปลายเท้าเปล่าลงมาชั้นล่าง รวดเร็วและแผ่วเบา พยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุด พาตัวเองมาข้างหลังโซฟาตัวยาว ลงนอนตะแคงข้าง พื้นเย็นเฉียบ งอตัว ใช้พนักพิงโซฟากำบังกาย ซ่อนตัวและรอคอยด้วยใจเต้นระทึก
นิ่ง เงียบ หายใจแผ่วเบา ตั้งสติ เฝ้าคอย
ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ขวัญชีวีได้ยินความเคลื่อนไหวที่ชั้นบน เสียงกดชัดโครกและอาบน้ำ ยี่สิบนาทีต่อมา ไฟที่บันไดก็สว่างขึ้น ฝ่าเท้าหนักๆ ย่ำลงมา ไฟชั้นล่างสว่างขึ้น เธอขดตัวให้เล็กที่สุดเมื่อสาวทอมก้าวผ่านชุดโซฟารับแขกไป
เธอแอบมองจากข้างหลังโซฟา เห็นเป้าหมายกำลังไขกุญแจประตูกระจกบานเลื่อนแล้วผลักเปิดแยกกันออกทั้งสองบาน จากนั้นก็เป็นตัวคล้องล็อคประดูลูกกรงเหล็กด้านนอก
ขวัญชีวีลุกพรวดขึ้นและเคลื่อนที่ออกมาจากจุดกำบังกาย เร็วและเงียบที่สุดเท่าที่เคยทำในชีวิต แล้วทะยานกระโดดถีบเข้าข้างลำตัวของสาวทอมซึ่งหันกลับมามองพอดี หล่อนทำได้แค่ยกมือขึ้นป้องกันและร้องห้าม “อย่า!” แต่ไม่ทันแล้ว ร่างของหล่อนล้มลงไปตามแรงถีบจากพลังขาของขวัญชีวีที่โถมเข้าใส่ทั้งตัว หัวสาวทอมฟาดเข้ากับประตูลูกกรงเหล็ก ขวัญชีวีตามซ้ำโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งหลัก จับหัวหล่อนกระแทกกับลูกกรงเหล็กสามสี่ครั้งจนหมดสติไป
“ขอโทษนะ ฉันจำเป็นต้องโหด”
รีบค้นหาโทรศัพท์ของตัวเองและกุญแจรถในกระเป๋าของสาวทอม เมื่อได้ทั้งสองอย่างก็ย้อนกลับไปเอากระเป๋าเป้ ก่อนจะมาไขตัวล็อคประตูกรงเหล็กที่กุญแจเสียบค้างอยู่ เธอก้าวข้ามลำตัวของร่างที่นอนอยู่ออกมานอกตัวบ้าน วิ่งเท้าเปล่ามาที่ประตูรั้ว เลือกกุญแจจากพวงเดียวกับกุญแจประตูบ้าน ลองเสียบทีละดอก จนไขเปิดได้ เลื่อนประตูรั้วเปิดกว้างจนสุด วิ่งกลับมาที่รถปิคอัพ กดปลดล็อคประตู วางกระเป๋าเป้บนเบาะผู้โดยสารหน้า ขึ้นที่นั่งคนขับ เสียบกุญแจ เหยียบเบรค บิดสตาร์ทเครื่องยนต์ ไฟบนหน้าปัทม์ขึ้นครบ แต่สตาร์ทไม่ติด บิดกุญแจอีกสามรอบ รถก็ยังนิ่งเฉย
“ติดซิโว๊ย!” ขวัญชีวีใช้ฝ่ามือทุบพวงมาลัยด้วยความโมโห
เธอมองดูที่คันเกียร์ว่าอยู่ในตำแหน่งตัว P หรือไม่ แต่..แย่แล้ว รถปิคอัพคันนี้ไม่มีอักษร P R N D และอักษรอื่นเหมือนรถฮอนด้า ซีวิค ของแม่ที่เธอเคยขับ มันเป็นแบบเกียร์กระปุกธรรมดาและมันมีคลัช ยุ่งยากชะมัด
“เวรชิบ..” ขวัญชีวีสบถก่อนเปิดไฟเหนือหัวภายในรถ มองที่คันเปลี่ยนเกียร์ เห็นตัวเลข 1 3 5 เรียงอยู่แถวบน และ 2 4 R อยู่แถวล่างโดยมีเส้นแนวตั้งกับแนวนอน I---I---I คั่นอยู่ระหว่างกลางกำกับไว้ เรียนรู้อย่างรวดเร็ว ตำแหน่งกึ่งกลางบนเส้นแนวนอนน่าจะเป็นเกียร์ว่าง
ใช้สองเท้าเหยียบทั้งเบรคทั้งคลัชแล้วบิดกุญแจ ครั้งนี้เครื่องยนต์ติดขึ้น ปล่อยเท้าออกจากเบรคและคลัช เครื่องยนต์ยังเดินอยู่ หมุนก้านเปิดไฟหน้ารถ เหยียบคลัชอีกครั้ง ขยับคันเกียร์ขึ้นลงไปตามหมายเลขจนถึงตัว R เท้าขวากดคันเร่ง ปลดเบรคมือ เท้าซ้ายปล่อยคลัช เครื่องยนต์สะอึก ตัวรถโยกไปมาเล็กน้อยแล้วดับลง
“โธ่โว๊ย!” เธอเขกกระโหลกตัวเองหนึ่งครั้ง “แกต้องทำได้ซิวะ ยัยชีวี ใช้หัวสิ ใช้หัว อย่าโง่นัก”
ผลักคันเกียร์มาให้อยู่ในตำแหน่งเส้นแนวนอน เหยียบคลัช สตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง ดึงคันเกียร์มาที่ตัว R อย่างรวดเร็ว กดคันเร่ง ยกเท้าซ้ายปล่อยคลัชเล็กน้อย รถเริ่มเคลื่อนที่ หมุนพวงมาลัยให้รถถอยทางขวา แตะเบรคให้รถหยุด แต่ลืมเหยียบคลัชจนสุด เครื่องยนต์ดับอีกครั้ง
“คราวนี้ฉันรู้แล้ว ฉันควบคุมแกได้แล้ว ไอ้เจ้ารถเกียร์กระปุกบ้า!” เธอตะโกนอย่างผู้ชนะ
เหยียบคลัช สตาร์ทเครื่องอีกรอบ โยกคันเกียร์ผลักขึ้นเกียร์หนึ่ง เหยียบคันเร่ง ค่อยๆ ปล่อยคลัชให้จังหวะสอดคล้องกันเพื่อเลี้ยงเครื่องยนต์ไม่ให้ดับ หมุนพวงมาลัยให้หน้ารถแล่นออกทางซ้าย ลากเกียร์หนึ่งจนพ้นประตูออกมา เหยียบคลัชจนสุด ดึงคันเกียร์ลงข้างล่างมาที่เลขสอง เร่งเครื่องไกลออกมา แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์สาม รถอยู่ในความควบคุมแล้ว ปรับกระจกมองข้างหลังให้อยู่ในระดับสายตา ชำเลืองมองเห็นบ้านหลังที่เคยกักขังหน่วงเนี่ยวเธอถูกทิ้งห่างออกมาเรื่อยๆ
ขับตามถนนลูกรังตรงมาราวหกกิโลเมตร ก็พบถนนสายหลัก เธอหยุดรถ เหยียบคลัช เปลี่ยนมาเข้าเกียร์หนึ่ง ลังเลว่าจะเลี้ยวขวาหรือซ้าย นึกถึงคำพูดแม่ เวลาขับรถหลงทาง ถ้าไม่แน่ใจ ให้เลี้ยวซ้ายไว้ก่อน ขวัญชีวีตัดสินใจเลี้ยวซ้ายขึ้นถนนลาดยาง เปลี่ยนเกียร์จากต่ำไปสูงตามลำดับ เร่งความเร็วมาพร้อมมองหาป้ายต่างๆ ข้างทาง
หลักกิโลเมตรบอกอีก 10 กม. ถึงพร้าว เธอกดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นแซงมอเตอร์ไซค์และรถยนต์หลายคัน ส่วนในเลนตรงข้ามมีรถสวนมาไม่กี่คัน เกือบสิบนาทีต่อมาเธอก็เข้าเขตชุมชน ชลอความเร็ว เห็นป้ายบอกทาง เชียงใหม่ 102 กม.ที่มีลูกศรชี้ให้เลี้ยวไปทางขวา ผ่านป้ายนั้นมาราว 500 เมตร เธอก็หมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าถนนอีกสาย และพบป้ายพร้อมลูกศรบอกทางว่า เชียงใหม่ ตรงไป
ตั้งใจมองทางและเลิกคิดถึงเรื่องอื่นก่อนชั่วคราว เพ่งสมาธิอยู่กับการขับรถ ยิ่งใช้ความเร็วสูงก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้นเท่าตัว ใจและสายตาจะต้องไม่วอกแวกออกไปจากถนน อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาเธอก็มองเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวเข้าน้ำตกบัวตอง ถัดมาอีกอึดใจเดียวก็เป็นทางเลี้ยวเข้าเขื่อนแม่งัด จากจุดนี้ไปเส้นทางก็ง่ายดายแล้ว ทุกอย่างอยู่ในหัว เธอกดคันเร่งยาวๆ มาถึงมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เหยียบผ่านมาเลี้ยวซ้ายที่แยกลิขิตชีวันเข้าถนนวงแหวนรอบนอก ลดความเร็วลงเมื่อถึงสี่แยกต้นเปาพัฒนา เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง เข้าถนนสันกำแพงสายเก่า สักพักเดียวก็เลี้ยวเข้าซอย แล้ววิ่งตรงมาถึงทางเข้าหมู่บ้านสุขภิรมย์ บอกบ้านเลขที่กับยามรักษาความปลอดภัย ก่อนจะขับมาจอดหน้าบ้านตัวเอง
*********
นัยนารู้สึกตัว ลุกขึ้นนั่ง เอามือคลำหัวที่ปวดหนึบและกระดูกซี่โครงที่เจ็บร้าว มองรอบตัวและข้างนอกบ้าน รถปิคอัพไม่อยู่ ประตูรั้วเปิดกว้าง เธอเกาะประตูเหล็กพยุงตัวยืนขึ้น คลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ยังดีที่มันยังอยู่ แต่อีกเครื่องหายไปแล้ว
“ไอ้เด็กเวร เลือดแม่มันแรงจริงๆ” นัยนาสบถออกมาเบาๆ
เธอลังเลว่าจะโทร.บอกใคร ระหว่าง พศิน หรือ ขวัญฤทัย แต่ไม่ว่าจะโทร.หาใคร เธอก็คงโดนตำหนิอยู่ดี เอาเป็นว่าบอกทั้งสองคนนั่นแหละ เธอกดโทร. ถึงแม่ของเด็กก่อน
“ฌไรค์” นัยนาเรียกชื่อรหัสของคนรับสาย
“ว่ามา อีเลนัส”
“น้องชีวีหนีไปแล้ว”
“อะไรนะ!” ปลายสายตกใจ
“ฟังไม่ผิดหรอก นางกระโดดถีบฉัน แล้วจับหัวฉันโขกกับเหล็กประตู เอารถกับโทรศัพท์ไป”
“เธอเสียท่าเด็กเนี่ยนะ หนีไปไหนรู้มั้ย”
“ฉันเพิ่งตื่นจะไปตลาด วิญญาณยังไม่เข้าร่าง ก็เลยไม่ทันระวังตัว แต่ไม่รู้ว่านางไปไหน”
“น่าจะกลับไปที่บ้าน ไม่มีที่อื่นให้ไปหรอก”
“ฉันกลัวว่านางจะขับรถไปเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง”
“เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด..ถ้างั้น เธอตามไปที่บ้านฉันได้มั้ย” ขวัญฤทัยบอก
“ฉันไม่มีรถ”
“เวรจริง..เรียกแกร็ปคาร์ตามไปได้มั้ย”
“ไม่ได้ เจ๊ก็รู้เราไม่เคยให้รถรับจ้างมาที่นี่”
“เรียกรถให้ไปรับที่วัดแถวนั้น แล้วเธอเดินออกไป หรือจะวิ่งไปก็ตามใจ”
“สี่กิโลกว่าเชียวนะ คงไม่ล่ะ ขอบใจ ลูกสาวเจ๊ จัดการเองก็แล้วกัน” นัยนาบอก
“ฉันอยู่ไกลจากเชียงใหม่สี่ร้อยกิโลกว่าๆ เชียวนะ” ขวัญฤทัยบอก
“ถ้างั้น ฉันจะโทร.หามิลวัส”
“ไม่ต้อง มิลวัสอยู่กับฉันๆ จะบอกเอง ฉันไม่อยากให้เธอโดนบ่น”
“ใครอยู่ใกล้เชียงใหม่ที่สุดตอนนี้” นัยนาถาม
“เท่าที่รู้ เธอคนเดียว”
“กรรม” นัยนาว่า
“ไม่เป็นไร ลูกฉัน เดี๋ยวฉันไปเอง จะเอาซิสซาไปด้วย”
“ตามนั้นเจ๊” นัยนาวางสาย เดินมาเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำดื่ม แล้วมาที่ตู้ยา หยิบบาล์มแก้ฟกช้ำมาทาบนหัว บ่นอย่างเจ็บใจ “ได้ตัวเมื่อไหร่ แม่จะตีให้ก้นลายเลย คอยดูนะ ไอ้เด็กเวร”
*********
รถฮอนด้าซีวิคของแม่จอดอยู่ในโรงรถ ฟ้าสว่างแล้วเมื่อเธอเข้าบ้าน ภายในเงียบสนิท มีเพียงไฟในห้องน้ำชั้นล่างเปิดอยู่ แม่ขวัญจะเปิดมันทิ้งไว้ทุกคืนเป็นปกติ เธอสำรวจชั้นล่าง ปิดไฟห้องน้ำ ข้าวของทุกอย่างยังดูเรียบร้อยดี ไร้ร่องรอยรื้อค้น
“แม่ แม่จ๋า หนูอยู่นี่ หนูมาแล้ว ชีวีลูกแม่มาแล้ว” เธอเผลอร้องเรียกออกมาด้วยความเคยชินเหมือนที่เคยทำทุกครั้งเมื่อกลับถึงบ้าน
เมื่อก่อน ถ้าแม่อยู่บ้าน แล้วได้ยินเสียงเธอเข้ามา บางครั้งแม่จะโผล่ออกมาจากห้องครัว บางทีแม่ก็นั่งดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น บ้างก็อยู่ในห้องนอนชั้นบนแล้วตะโกนตอบรับเสียงเรียกหาของเธอ ก่อนจะรีบก้าวฉับๆ ลงบันไดมาหาลูก แต่เวลาที่แม่อยู่ในห้องน้ำก็จะตะโกนตอบแบบขำๆ ว่า “โอ๊ย..คนฉี่อยู่ เรียกอยู่นั่นละ” ให้เธอรู้ว่า แม่อยู่ส่วนไหนของบ้าน
ก้าวขึ้นบันไดมาชั้นสอง สำรวจห้องนอนแม่ ว่างเปล่า ห้องนอนเล็กก็ไม่พบใคร จึงกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง วางเป้สะพายหลังลงบนเตียง หยิบโทรศัพท์ออกมาชาร์จไฟ ทิ้งตัวลงนอนบนผ้าห่มหนานุ่ม ตอนนี้แม่อยู่ไหน กำลังทำอะไรนะ..เธอคิด สิ่งที่แม่ทำ มันสำคัญมากกว่าการกลับมาหาลูกสาวคนนี้เชียวหรือ
โทรศัพท์สั่นติดต่อกันหลายครั้ง เป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก คงเป็นพวกมิจฉาชีพต้มตุ๋นจากคอลเซ็นเตอร์หรือพวกเซลส์ขายของโทร.มา ขวัญชีวีปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น คนพวกนั้นรู้ชื่อนามสกุลเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ แถมยังบอกหมายเลขบัตรประชาชนและวันเดือนปีเกิดได้ถูกต้องแม่นยำอีกต่างหาก น่ากลัวมาก
เสียงกริ่งสัญญาณประตูดังขึ้น ขวัญชีวีตกใจ เด้งตัวขึ้นจากเตียง แง้มม่านหน้าต่างมองลงไปหน้าบ้าน เห็นรถปิคอัพสีบรอนซ์คาดน้ำตาลติดตราโล่ตำรวจที่ประตูจอดอยู่ข้างหน้ารถปิคอัพที่เธอขับมา ตำรวจในเครื่องแบบสองคนยืนอยู่ชิดประตูรั้ว ใจของเธอหายวาบ ยืนตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก
(..โปรดอ่านต่อด้านล่าง..)
นิยาย: จอมป่วนชวนจับโจร บทที่ 10 เผ่นหนี
หน้าต่างทั้งชั้นบนและล่างติดเหล็กดัดทุกบาน ประตูหลังบ้านเป็นแผ่นโลหะหนาและหนัก ส่วนหน้าบ้านเป็นประตูกระจกแบบบานเลื่อน แต่ก็ยังอุตส่าห์สร้างลูกกรงที่เปิดปิดได้ครอบป้องกันเอาไว้ข้างนอกอีกหนึ่งชั้น ทางเข้าออกตัวบ้านทั้งสองด้านคล้องแม่กุญแจและล็อคอยู่ตลอดเวลา มันคืออุปสรรคสำคัญที่จะขัดขวางการหลบหนี
บ้านหลังนี้มีไว้สำหรับกักขังหน่วงเนี่ยวนักโทษอย่างขวัญชีวีชัดๆ
กุญแจอยู่กับตัวของสาวทอมอย่างไม่ต้องสงสัย และหล่อนก็อยู่ลำพังเพียงคนเดียว
ขวัญชีวีไม่หลับไม่นอนจนถึงตีสี่ เข้าห้องน้ำครั้งเดียวหลังปิดทีวีก่อนเที่ยงคืน ไฟในห้องดับสนิท อาศัยแสงสลัวลางจากหลอดไฟนอกบ้านที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาให้พอมองเห็น สวมกางเกงยีนส์ เสื้อยืด ทับด้วยเสื้อคลุมกันหนาว รวบผมผูกเป็นหางม้า เก็บของสำคัญลงกระเป๋าเป้ กำหูหิ้วไว้ในมือซ้าย มือขวาค่อยๆ เปิดประตูห้องนอน เบี่ยงตัวออกแล้วปิดตามหลังช้าๆ เคลื่อนกายถึงขั้นบันได ย่องปลายเท้าเปล่าลงมาชั้นล่าง รวดเร็วและแผ่วเบา พยายามให้เกิดเสียงน้อยที่สุด พาตัวเองมาข้างหลังโซฟาตัวยาว ลงนอนตะแคงข้าง พื้นเย็นเฉียบ งอตัว ใช้พนักพิงโซฟากำบังกาย ซ่อนตัวและรอคอยด้วยใจเต้นระทึก
นิ่ง เงียบ หายใจแผ่วเบา ตั้งสติ เฝ้าคอย
ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ขวัญชีวีได้ยินความเคลื่อนไหวที่ชั้นบน เสียงกดชัดโครกและอาบน้ำ ยี่สิบนาทีต่อมา ไฟที่บันไดก็สว่างขึ้น ฝ่าเท้าหนักๆ ย่ำลงมา ไฟชั้นล่างสว่างขึ้น เธอขดตัวให้เล็กที่สุดเมื่อสาวทอมก้าวผ่านชุดโซฟารับแขกไป
เธอแอบมองจากข้างหลังโซฟา เห็นเป้าหมายกำลังไขกุญแจประตูกระจกบานเลื่อนแล้วผลักเปิดแยกกันออกทั้งสองบาน จากนั้นก็เป็นตัวคล้องล็อคประดูลูกกรงเหล็กด้านนอก
ขวัญชีวีลุกพรวดขึ้นและเคลื่อนที่ออกมาจากจุดกำบังกาย เร็วและเงียบที่สุดเท่าที่เคยทำในชีวิต แล้วทะยานกระโดดถีบเข้าข้างลำตัวของสาวทอมซึ่งหันกลับมามองพอดี หล่อนทำได้แค่ยกมือขึ้นป้องกันและร้องห้าม “อย่า!” แต่ไม่ทันแล้ว ร่างของหล่อนล้มลงไปตามแรงถีบจากพลังขาของขวัญชีวีที่โถมเข้าใส่ทั้งตัว หัวสาวทอมฟาดเข้ากับประตูลูกกรงเหล็ก ขวัญชีวีตามซ้ำโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งหลัก จับหัวหล่อนกระแทกกับลูกกรงเหล็กสามสี่ครั้งจนหมดสติไป
“ขอโทษนะ ฉันจำเป็นต้องโหด”
รีบค้นหาโทรศัพท์ของตัวเองและกุญแจรถในกระเป๋าของสาวทอม เมื่อได้ทั้งสองอย่างก็ย้อนกลับไปเอากระเป๋าเป้ ก่อนจะมาไขตัวล็อคประตูกรงเหล็กที่กุญแจเสียบค้างอยู่ เธอก้าวข้ามลำตัวของร่างที่นอนอยู่ออกมานอกตัวบ้าน วิ่งเท้าเปล่ามาที่ประตูรั้ว เลือกกุญแจจากพวงเดียวกับกุญแจประตูบ้าน ลองเสียบทีละดอก จนไขเปิดได้ เลื่อนประตูรั้วเปิดกว้างจนสุด วิ่งกลับมาที่รถปิคอัพ กดปลดล็อคประตู วางกระเป๋าเป้บนเบาะผู้โดยสารหน้า ขึ้นที่นั่งคนขับ เสียบกุญแจ เหยียบเบรค บิดสตาร์ทเครื่องยนต์ ไฟบนหน้าปัทม์ขึ้นครบ แต่สตาร์ทไม่ติด บิดกุญแจอีกสามรอบ รถก็ยังนิ่งเฉย
“ติดซิโว๊ย!” ขวัญชีวีใช้ฝ่ามือทุบพวงมาลัยด้วยความโมโห
เธอมองดูที่คันเกียร์ว่าอยู่ในตำแหน่งตัว P หรือไม่ แต่..แย่แล้ว รถปิคอัพคันนี้ไม่มีอักษร P R N D และอักษรอื่นเหมือนรถฮอนด้า ซีวิค ของแม่ที่เธอเคยขับ มันเป็นแบบเกียร์กระปุกธรรมดาและมันมีคลัช ยุ่งยากชะมัด
“เวรชิบ..” ขวัญชีวีสบถก่อนเปิดไฟเหนือหัวภายในรถ มองที่คันเปลี่ยนเกียร์ เห็นตัวเลข 1 3 5 เรียงอยู่แถวบน และ 2 4 R อยู่แถวล่างโดยมีเส้นแนวตั้งกับแนวนอน I---I---I คั่นอยู่ระหว่างกลางกำกับไว้ เรียนรู้อย่างรวดเร็ว ตำแหน่งกึ่งกลางบนเส้นแนวนอนน่าจะเป็นเกียร์ว่าง
ใช้สองเท้าเหยียบทั้งเบรคทั้งคลัชแล้วบิดกุญแจ ครั้งนี้เครื่องยนต์ติดขึ้น ปล่อยเท้าออกจากเบรคและคลัช เครื่องยนต์ยังเดินอยู่ หมุนก้านเปิดไฟหน้ารถ เหยียบคลัชอีกครั้ง ขยับคันเกียร์ขึ้นลงไปตามหมายเลขจนถึงตัว R เท้าขวากดคันเร่ง ปลดเบรคมือ เท้าซ้ายปล่อยคลัช เครื่องยนต์สะอึก ตัวรถโยกไปมาเล็กน้อยแล้วดับลง
“โธ่โว๊ย!” เธอเขกกระโหลกตัวเองหนึ่งครั้ง “แกต้องทำได้ซิวะ ยัยชีวี ใช้หัวสิ ใช้หัว อย่าโง่นัก”
ผลักคันเกียร์มาให้อยู่ในตำแหน่งเส้นแนวนอน เหยียบคลัช สตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง ดึงคันเกียร์มาที่ตัว R อย่างรวดเร็ว กดคันเร่ง ยกเท้าซ้ายปล่อยคลัชเล็กน้อย รถเริ่มเคลื่อนที่ หมุนพวงมาลัยให้รถถอยทางขวา แตะเบรคให้รถหยุด แต่ลืมเหยียบคลัชจนสุด เครื่องยนต์ดับอีกครั้ง
“คราวนี้ฉันรู้แล้ว ฉันควบคุมแกได้แล้ว ไอ้เจ้ารถเกียร์กระปุกบ้า!” เธอตะโกนอย่างผู้ชนะ
เหยียบคลัช สตาร์ทเครื่องอีกรอบ โยกคันเกียร์ผลักขึ้นเกียร์หนึ่ง เหยียบคันเร่ง ค่อยๆ ปล่อยคลัชให้จังหวะสอดคล้องกันเพื่อเลี้ยงเครื่องยนต์ไม่ให้ดับ หมุนพวงมาลัยให้หน้ารถแล่นออกทางซ้าย ลากเกียร์หนึ่งจนพ้นประตูออกมา เหยียบคลัชจนสุด ดึงคันเกียร์ลงข้างล่างมาที่เลขสอง เร่งเครื่องไกลออกมา แล้วเปลี่ยนเป็นเกียร์สาม รถอยู่ในความควบคุมแล้ว ปรับกระจกมองข้างหลังให้อยู่ในระดับสายตา ชำเลืองมองเห็นบ้านหลังที่เคยกักขังหน่วงเนี่ยวเธอถูกทิ้งห่างออกมาเรื่อยๆ
ขับตามถนนลูกรังตรงมาราวหกกิโลเมตร ก็พบถนนสายหลัก เธอหยุดรถ เหยียบคลัช เปลี่ยนมาเข้าเกียร์หนึ่ง ลังเลว่าจะเลี้ยวขวาหรือซ้าย นึกถึงคำพูดแม่ เวลาขับรถหลงทาง ถ้าไม่แน่ใจ ให้เลี้ยวซ้ายไว้ก่อน ขวัญชีวีตัดสินใจเลี้ยวซ้ายขึ้นถนนลาดยาง เปลี่ยนเกียร์จากต่ำไปสูงตามลำดับ เร่งความเร็วมาพร้อมมองหาป้ายต่างๆ ข้างทาง
หลักกิโลเมตรบอกอีก 10 กม. ถึงพร้าว เธอกดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นแซงมอเตอร์ไซค์และรถยนต์หลายคัน ส่วนในเลนตรงข้ามมีรถสวนมาไม่กี่คัน เกือบสิบนาทีต่อมาเธอก็เข้าเขตชุมชน ชลอความเร็ว เห็นป้ายบอกทาง เชียงใหม่ 102 กม.ที่มีลูกศรชี้ให้เลี้ยวไปทางขวา ผ่านป้ายนั้นมาราว 500 เมตร เธอก็หมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าถนนอีกสาย และพบป้ายพร้อมลูกศรบอกทางว่า เชียงใหม่ ตรงไป
ตั้งใจมองทางและเลิกคิดถึงเรื่องอื่นก่อนชั่วคราว เพ่งสมาธิอยู่กับการขับรถ ยิ่งใช้ความเร็วสูงก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้นเท่าตัว ใจและสายตาจะต้องไม่วอกแวกออกไปจากถนน อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาเธอก็มองเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวเข้าน้ำตกบัวตอง ถัดมาอีกอึดใจเดียวก็เป็นทางเลี้ยวเข้าเขื่อนแม่งัด จากจุดนี้ไปเส้นทางก็ง่ายดายแล้ว ทุกอย่างอยู่ในหัว เธอกดคันเร่งยาวๆ มาถึงมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เหยียบผ่านมาเลี้ยวซ้ายที่แยกลิขิตชีวันเข้าถนนวงแหวนรอบนอก ลดความเร็วลงเมื่อถึงสี่แยกต้นเปาพัฒนา เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง เข้าถนนสันกำแพงสายเก่า สักพักเดียวก็เลี้ยวเข้าซอย แล้ววิ่งตรงมาถึงทางเข้าหมู่บ้านสุขภิรมย์ บอกบ้านเลขที่กับยามรักษาความปลอดภัย ก่อนจะขับมาจอดหน้าบ้านตัวเอง
*********
นัยนารู้สึกตัว ลุกขึ้นนั่ง เอามือคลำหัวที่ปวดหนึบและกระดูกซี่โครงที่เจ็บร้าว มองรอบตัวและข้างนอกบ้าน รถปิคอัพไม่อยู่ ประตูรั้วเปิดกว้าง เธอเกาะประตูเหล็กพยุงตัวยืนขึ้น คลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง ยังดีที่มันยังอยู่ แต่อีกเครื่องหายไปแล้ว
“ไอ้เด็กเวร เลือดแม่มันแรงจริงๆ” นัยนาสบถออกมาเบาๆ
เธอลังเลว่าจะโทร.บอกใคร ระหว่าง พศิน หรือ ขวัญฤทัย แต่ไม่ว่าจะโทร.หาใคร เธอก็คงโดนตำหนิอยู่ดี เอาเป็นว่าบอกทั้งสองคนนั่นแหละ เธอกดโทร. ถึงแม่ของเด็กก่อน
“ฌไรค์” นัยนาเรียกชื่อรหัสของคนรับสาย
“ว่ามา อีเลนัส”
“น้องชีวีหนีไปแล้ว”
“อะไรนะ!” ปลายสายตกใจ
“ฟังไม่ผิดหรอก นางกระโดดถีบฉัน แล้วจับหัวฉันโขกกับเหล็กประตู เอารถกับโทรศัพท์ไป”
“เธอเสียท่าเด็กเนี่ยนะ หนีไปไหนรู้มั้ย”
“ฉันเพิ่งตื่นจะไปตลาด วิญญาณยังไม่เข้าร่าง ก็เลยไม่ทันระวังตัว แต่ไม่รู้ว่านางไปไหน”
“น่าจะกลับไปที่บ้าน ไม่มีที่อื่นให้ไปหรอก”
“ฉันกลัวว่านางจะขับรถไปเกิดอุบัติเหตุระหว่างทาง”
“เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด..ถ้างั้น เธอตามไปที่บ้านฉันได้มั้ย” ขวัญฤทัยบอก
“ฉันไม่มีรถ”
“เวรจริง..เรียกแกร็ปคาร์ตามไปได้มั้ย”
“ไม่ได้ เจ๊ก็รู้เราไม่เคยให้รถรับจ้างมาที่นี่”
“เรียกรถให้ไปรับที่วัดแถวนั้น แล้วเธอเดินออกไป หรือจะวิ่งไปก็ตามใจ”
“สี่กิโลกว่าเชียวนะ คงไม่ล่ะ ขอบใจ ลูกสาวเจ๊ จัดการเองก็แล้วกัน” นัยนาบอก
“ฉันอยู่ไกลจากเชียงใหม่สี่ร้อยกิโลกว่าๆ เชียวนะ” ขวัญฤทัยบอก
“ถ้างั้น ฉันจะโทร.หามิลวัส”
“ไม่ต้อง มิลวัสอยู่กับฉันๆ จะบอกเอง ฉันไม่อยากให้เธอโดนบ่น”
“ใครอยู่ใกล้เชียงใหม่ที่สุดตอนนี้” นัยนาถาม
“เท่าที่รู้ เธอคนเดียว”
“กรรม” นัยนาว่า
“ไม่เป็นไร ลูกฉัน เดี๋ยวฉันไปเอง จะเอาซิสซาไปด้วย”
“ตามนั้นเจ๊” นัยนาวางสาย เดินมาเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำดื่ม แล้วมาที่ตู้ยา หยิบบาล์มแก้ฟกช้ำมาทาบนหัว บ่นอย่างเจ็บใจ “ได้ตัวเมื่อไหร่ แม่จะตีให้ก้นลายเลย คอยดูนะ ไอ้เด็กเวร”
*********
รถฮอนด้าซีวิคของแม่จอดอยู่ในโรงรถ ฟ้าสว่างแล้วเมื่อเธอเข้าบ้าน ภายในเงียบสนิท มีเพียงไฟในห้องน้ำชั้นล่างเปิดอยู่ แม่ขวัญจะเปิดมันทิ้งไว้ทุกคืนเป็นปกติ เธอสำรวจชั้นล่าง ปิดไฟห้องน้ำ ข้าวของทุกอย่างยังดูเรียบร้อยดี ไร้ร่องรอยรื้อค้น
“แม่ แม่จ๋า หนูอยู่นี่ หนูมาแล้ว ชีวีลูกแม่มาแล้ว” เธอเผลอร้องเรียกออกมาด้วยความเคยชินเหมือนที่เคยทำทุกครั้งเมื่อกลับถึงบ้าน
เมื่อก่อน ถ้าแม่อยู่บ้าน แล้วได้ยินเสียงเธอเข้ามา บางครั้งแม่จะโผล่ออกมาจากห้องครัว บางทีแม่ก็นั่งดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น บ้างก็อยู่ในห้องนอนชั้นบนแล้วตะโกนตอบรับเสียงเรียกหาของเธอ ก่อนจะรีบก้าวฉับๆ ลงบันไดมาหาลูก แต่เวลาที่แม่อยู่ในห้องน้ำก็จะตะโกนตอบแบบขำๆ ว่า “โอ๊ย..คนฉี่อยู่ เรียกอยู่นั่นละ” ให้เธอรู้ว่า แม่อยู่ส่วนไหนของบ้าน
ก้าวขึ้นบันไดมาชั้นสอง สำรวจห้องนอนแม่ ว่างเปล่า ห้องนอนเล็กก็ไม่พบใคร จึงกลับมาที่ห้องนอนของตัวเอง วางเป้สะพายหลังลงบนเตียง หยิบโทรศัพท์ออกมาชาร์จไฟ ทิ้งตัวลงนอนบนผ้าห่มหนานุ่ม ตอนนี้แม่อยู่ไหน กำลังทำอะไรนะ..เธอคิด สิ่งที่แม่ทำ มันสำคัญมากกว่าการกลับมาหาลูกสาวคนนี้เชียวหรือ
โทรศัพท์สั่นติดต่อกันหลายครั้ง เป็นหมายเลขที่ไม่รู้จัก คงเป็นพวกมิจฉาชีพต้มตุ๋นจากคอลเซ็นเตอร์หรือพวกเซลส์ขายของโทร.มา ขวัญชีวีปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น คนพวกนั้นรู้ชื่อนามสกุลเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ แถมยังบอกหมายเลขบัตรประชาชนและวันเดือนปีเกิดได้ถูกต้องแม่นยำอีกต่างหาก น่ากลัวมาก
เสียงกริ่งสัญญาณประตูดังขึ้น ขวัญชีวีตกใจ เด้งตัวขึ้นจากเตียง แง้มม่านหน้าต่างมองลงไปหน้าบ้าน เห็นรถปิคอัพสีบรอนซ์คาดน้ำตาลติดตราโล่ตำรวจที่ประตูจอดอยู่ข้างหน้ารถปิคอัพที่เธอขับมา ตำรวจในเครื่องแบบสองคนยืนอยู่ชิดประตูรั้ว ใจของเธอหายวาบ ยืนตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก
(..โปรดอ่านต่อด้านล่าง..)