นิยาย: จอมป่วนชวนจับโจร บทที่ 9 ล่อลวง

กระทู้สนทนา
https://ppantip.com/topic/42959845 (บทที่ 8 มือเชือด)

เบียร์หมดไปหนึ่งขวด กับแกล้มพร่องไปอย่างละครึ่งจาน รักชาติกำลังฉลองเล็กๆ ให้รางวัลกับตัวเองในร้านอาหารบนฝั่งแม่น้ำโขงในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ เขามองข้ามลำน้ำที่ไหลเอื่อยๆ ไปที่ความอลังการงานสร้างของคิงส์โรมันกาสิโนบนผืนดินประเทศลาว ตึกสูงหลายสิบชั้นผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด หลายสิบหลัง แต่อาจถึงร้อย แสงไฟจากอาคารเหล่านั้นสว่างไสว สาดส่องออกไปทุกทิศทาง คนล่องเรือหาปลาเองก็ได้รับอานิสงส์ของแสงสว่างจากสถานที่แห่งนั้นในยามดึกสงัดเช่นนี้ ว่ากันว่า เงินหลายหมื่นล้าน ถูกทำมาลงทุนสร้างอาณาจักรแห่งนี้ เพื่อเป็นสถานบันเทิงครบวงจรไว้รองรับนักท่องเที่ยวและนักพนันจากประเทศจีนและอีกหลายประเทศทั่วโลก

         เขาไม่ยุ่งกับการพนันทุกประเภท มันเป็นเหมือนผีที่จะเข้าสิงสู่ผู้เล่น บงการจิตใจให้ลุ่มหลงเกมเดิมพันจนถอนตัวไม่ขึ้น ลวงล่อให้ถลำลึกลงไปไม่สิ้นสุด สุดท้ายแม้แต่เสื้อผ้าห่มกายก็จะไม่เหลือ

         รักชาติยิ้มเมื่อเอามือตบกระเป๋าเป้ที่มีเงินสดโบนัสครึ่งล้านอยู่ข้างใน คุณอัคราให้ค่าจ้างเขามาแล้วครึ่งหนึ่ง แลกกับงานง่ายๆ แค่ไปรับ “แพ็คเกจ” ที่ต้นทางแล้วพาไปส่งยังจุดหมาย เงินอีกครึ่งที่เหลือก็จะเข้ากระเป๋าเขาเมื่องานเสร็จ แต่พอคุณอัคราตายได้ไม่กี่วัน ก็มีคนใหม่แทนที่ มันเป็นสัจธรรม เก่าไปใหม่มา เขาเคยได้ยินพนักงานชายที่โกดังสินค้าพูดว่า ถ้าเขาตายวันนี้ พรุ่งนี้บริษัทก็หาคนใหม่มาแทนได้ ฉะนั้นไม่ต้องทุ่มเททำงานหามรุ่งหามค่ำขนาดนั้น ทำแค่ให้เหมาะสมกับระดับเงินเดือนก็พอ พนักงานคนนั้นพูดไว้อย่างถูกต้องที่สุด

         หลังงานเสร็จ เขาจะได้รับเงินค่าจ้างรวมโบนัสเป็นจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนบาท รวยเละ เขาตั้งใจจะนอนค้างที่นี่หนึ่งคืน ตื่นขึ้นสายๆ วันรุ่งขึ้นค่อยขับรถกลับสบายๆ ส่วนพวกลูกน้องทั้งสามคน เขาก็แค่จ่ายให้ตามที่เห็นสมควร 

         เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รักชาติล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง พบว่าบอมโทร.เข้ามา เขากดรับสาย ถามว่ามีอะไรแล้วรอฟัง

         “พะ..พี่ชาติๆ อะ..ไอ้ดู่กับไอ้แจ็ค พะ..พวกมัน..” บอมพูดตะกุกตะกัก

         “พวกมันทำไม”

         “คะ..คือ พะ..พวกมัน ตะ..ตายแล้ว”

         “ว่าไงนะ!”

         “อะ..ไอ้ดู่กับไอ้แจ็ค ตะ..ตายแล้ว” เสียงบอมสั่นระรัว 

         “เฮ้ย..บ้าน่า พูดจริงหรือเล่นวะเนี่ย” รักชาติขมวดคิ้ว

         “จะ..จริงพี่ ตะ..ตายแล้วจริงๆ”

         “ยิ้มแล้ว เป็นไปได้ยังไง เกิดอะไรขึ้น”

         “มะ..มันสองคนทะเลาะกัน แล้วแทงกันตาย พี่ต้องรีบมานะ”

         “ได้ๆ จะไปเดี๋ยวนี้ บ้าจริง ข้ารู้ว่ามันสองคนเหม็นขี้หน้ากันมาตลอด แต่ไม่นึกว่าจะถึงขั้นฆ่ากันตาย” ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหาร วางเงินไว้หนึ่งพันบาท ก้าวยาวๆ มาที่ลานจอดรถ โทรศัพท์ยังคบแนบหู

         “ผะ..ผมห้ามไม่ไหว ไม่มีใครยอมใครเลย” เสียงบอมสั่นน้อยลง

         “ตายคู่เลยเหรอวะ”

         “ชะ..ใช่ ตายทั้งสองคน”

         “กูกำลังกลับ อีกสองสามชั่วโมงคงถึง เอ็งเฝ้าพวกมันไว้นะ อย่าหนีไปไหน ไม่ต้องกลัว แล้วก็ถ่ายรูปมันสองคนส่งไลน์มาให้กูดูด้วย” รักชาติสตาร์ทเครื่องยนต์ ถอยรถออกจากช่องจอด เร่งเครื่องออกจากร้านอาหาร

         “ดะ..ได้ พี่รีบมาไวๆ นะ” สายโทรศัพท์ถูกตัดไป

         ใจของรักชาติจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ลูกน้องบอกและต้องการไปให้ถึงบ้านพักกลางสวนยางพาราหลังนั้นให้เร็วที่สุด เขากดคันเร่งพารถพุ่งทะยานมาด้วยความเร็วสูง ในหัวนึกถึงดู่ที่ติดสอยห้อยตามเขามาหลายปี ดู่เป็นคนส่งข้าวส่งน้ำคอยดูแลเขาช่วงที่เขาถูกคุมขังตอนเป็นทหาร ทั้งยังซักรีดเสื้อผ้าขัดรองเท้าให้เขาหลังจากเมียกับลูกของเขาทิ้งไป และออกนั่งดื่มกินสนุกกับสาวๆ อยู่เป็นเพื่อนเขาแทบทุกคืนหลังจากดู่ปลดประจำการจากพลทหาร น้องชายคนนี้ยังตามไปช่วยงานเขาที่บริษัทรักษาความปลอดภัย และยินดีมาทำงานกับเขาภายใต้คำสั่งของคุณอัครา 

         ส่วนแจ็ค มาทีหลังดู่ เขาเจอแจ็คตอนไปทำงานให้คุณอัคราร่วมกับอีกทีมที่ประเทศจีน เด็กคนนี้มีประวัติทางทหาร เคยลงไปอยู่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้สองปีก่อนปลดประจำการ เขาประทับใจความสามารถของแจ็ค และแจ็คก็ชื่นชมในตัวเขา ผ่านไปอีกสามสี่งาน เขาก็เรียกแจ็คมาร่วมทีมตัวเอง แต่ดู่คงคิดเอาเองว่า หัวหน้าอย่างเขาให้ความสำคัญกับแจ็คมากกว่าตัวเอง ดู่จึงไม่กินเส้นกับแจ็คตั้งแต่นั้นมา เขาพยายามอธิบายให้ดู่เข้าใจว่า ดู่คือมือขวาที่เขาไว้ใจที่สุดเสมอ เป็นเสมือนน้องชายแท้ๆ คนหนึ่ง เป็นคนที่เขาจะเรียกใช้งานก่อนคนอื่น แต่ดูเหมือนเขาจะล้มเหลวกับความพยายามนั้น 

         และบอมเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ถูกส่งไปเข้าเวรที่โกดังสินค้า เมื่อเขาได้ตำแหน่งผู้จัดการคลังสินค้าของบริษัทจากคุณอัครา บอมจะคอยดูแลรับใช้เขาดีเป็นพิเศษ สั่งมื้อเที่ยงมาให้เขากิน ส่งรถไปล้างให้ คอยทักทายถามไถ่เขาอยู่ทุกครั้งที่บอมมาทำงาน นั่นทำให้เขาประทับใจ และชักชวนให้มาทำงานพิเศษกับเขา งานที่สร้างรายได้มากกว่าเงินเดือนพนักงานรักษาความปลอดภัยหลายเท่า และบอมก็เป็นฝ่ายสนับสนุนให้ทีมของเขามาตลอด

           แต่เมื่อชั่วโมงที่แล้ว บอมกลับโทร.มาบอกว่า ดู่กับแจ็คทะเลาะกัน ใช้มีดแทงกันถึงตาย นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่
เขาปล่อยให้หัวโล่ง เลิกคิดวนเวียน ตั้งสติ ทำให้จิตว่าง ตั้งใจขับรถให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด 

          รักชาติใช้เวลาขับรถสองชั่วโมงเศษๆ ก็มาเลี้ยวเข้าถนนดินแห้งๆ ที่นำไปสู่บ้านในสวนยางกลางหุบเขา เร่งเข้ามาจอดข้างรถของแจ็คที่จอดอยู่หน้าบ้าน ดับเครื่อง ลงจากรถมาดึงประตูบ้าน พบว่ามันไม่ได้ล็อค

         กวาดสายตามองภายในลานบ้าน ว่างเปล่า เงียบกริบ เหมือนไม่มีคนอยู่ เขาชักปืนพกขนาด 11 มม. ออกมากำไว้ในมือ เผื่อไว้ก่อน

         “บอมๆ นี่กู พี่ชาติ” เขาเรียกลูกน้อง

         แต่กลับไม่มีเสียงตอบ เขามาที่หน้าห้องนอนห้องเดียวภายในบ้านที่ดู่นอนพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ประตูถูกปิดสนิทไว้ เขากระชับด้ามปืนในมือขวา นิ้วชี้เกาะเกี่ยวไกปืน มือซ้ายค่อยๆ ดันแง้มบานประตูเข้าข้างใน 

         บอมนั่งอยู่ที่ปลายเตียง แต่สิ่งที่ทำให้รักชาติประหลาดใจที่สุดคือ มีชายสวมหมวกคาบมวนบุหรี่เอาปืนจ่อหัวของบอมไว้ รักชาติหยุดอยู่หน้าประตู เล็งปืนไปที่ทั้งสองคน

         “เอ็งเป็นใครวะ” รักชาติถาม

         “พี่ชาติ ผมขอโทษ พวกนี้มันเอาปืนจ่อหัวผมให้โทร.ไปหลอกพี่ ให้พี่รีบกลับมา ผมขอโทษ” บอมเป็นฝ่ายพูดขึ้น

         “แล้วไอ้ดู่กับไอ้แจ็คล่ะ อยู่ไหน”

         “ตายแล้ว ถูกพวกนี้ฆ่า”

         ขาดคำของลูกน้อง รักชาติก็รู้แล้วว่า มีอะไรไม่ชอบมาพากล เขาเหนี่ยวไกปืนพ่นกระสุนใส่ชายสวมหมวกคาบมวนบุหรี่หลายนัดโดยไม่สนใจว่าจะยิงโดนบอมหรือไม่ เสียงปืนดังก้องไปทั่วสวนยางพารา รักชาติเห็นคนทั้งสองหงายหลังล้มลงข้างเตียง บอมร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เขารีบปิดประตูห้อง ถอยออกมาหาที่กำบังข้างมุมห้อง เล็งปืนไปที่ปากประตู ใครโผล่ออกมา เขายิงไม่เลี้ยง

         ไร้เสียงคนเคลื่อนไหว ประตูยังคงปิดสนิท รักชาติรอดูสถานการณ์อึดใจใหญ่ แล้วเดินถอยหลังมาที่ประตูเข้าบ้าน หมุนตัวกลับ หันปากกระบอกปืนออกข้างนอก รีบก้าวออกมาแล้วหลบเข้ากำบังข้างผนังปูน ทั่วบริเวณเงียบเชียบ ไร้สุ้มเสียงและความเคลื่อนไหวใด เขาย่อตัวย่างเท้าออกจากที่กำบัง วาดปืนไปมาซ้ายขวา จนถึงรถ เขาต้องออกไปจากที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรก

         เปิดประตูขึ้นนั่งหลังพวงมาลัย พลันวัตถุเย็นยะเยือกก็เบียดชิดท้ายทอยของเขา รักชาติใจหายวูบ เขาพลาดที่ไม่ตรวจสอบภายในรถที่ไม่ได้ล็อคประตูก่อนกลับขึ้นมา ยกมือสองข้างขึ้นระดับใบหน้า แต่มือขวายังคงกำด้ามปืนไว้

         “ส่งปืนมา ช้าๆ อย่าเล่นตุกติก ไม่งั้นสมองนายกระจาย” เสียงผู้หญิงพูดที่เบาะหลัง

         รักชาติทำตามอย่างเสียไม่ได้ ค่อยๆ ยื่นปืนข้ามหัวไหล่ไปให้เจ้าของเสียง เขาทำใจดีสู้เสือถาม “เป็นใคร”

         “นายจำเสียงฉันไม่ได้จริงๆ เหรอ ชาติ”

         “กูไม่รู้”

         หลอดไฟบนเพดานหลังคารถสว่างขึ้น “หันมาดูให้ชัดๆ สิ”

         รักชาติค่อยๆ เอียงคอไปมอง เขาทำตาเหลือกด้วยอาการตกใจ “นังเลขา!”

         “ใช่ ฉันเอง”

         ครู่หนึ่งชายสวมหมวกคาบมวนบุหรี่ก็เดินออกมาที่รถ ปืนเล็งผ่านกระจกบังลมหน้ามาที่รักชาติ ส่วนเลขาเปิดประตูผู้โดยสารหลังออกมายืนข้างประตูคนขับ มือซ้ายเปิดประตูรถ มือขวากำด้ามปืน ปลายกระบอกจ่อที่กระจกประตู

         “ลงมา” เธอสั่งพร้อมตวัดปืน

         รักชาติก้าวลงมา ชูมือสองข้างอยู่เหนือหัว เขาถามชายสวมหมวก “รอดมาได้ยังไงวะ กูยิงไม่เคยพลาดในระยะแค่นั้น”

         “ลูกน้องแกคือโล่กันกระสุนชั้นดีเลยทีเดียว” ชายสวมหมวกบอกขณะที่ยังคาบมวนบุหรี่ไว้ในปาก

         “บาดเจ็บมั้ย โอตัส” เลขาถาม

         “โชคดีที่กระสุนไม่ทะลุร่างเจ้าหมอนั่นครับเจ๊”

         “ดี มัดมือเท้านายชาติให้แน่นหนา ยึดโทรศัพท์ แล้วเอาตัวขึ้นเบาะหลังรถคันนี้” เธอชี้ที่รถปิคอัพขับเคลื่อนสี่ล้อของรักชาติ “นายขับ ฉันเหนื่อยและหิว อยากพักสายตา”

         “หลังกระบะรถคั้นนั้นมีเสบียงพร้อมเลยเจ๊” โอตัสชี้ไปที่รถของแจ็ค “สนมั้ย”

         “ดีเหมือนกัน กำลังหิวพอดี” เธอพูดพร้อมรอยยิ้ม

         “พวกจะพากูไปไหน” รักชาติถาม

         “ไปเจอคนที่จะทำให้นายพูดสิ่งที่เราอยากรู้”

         “กูไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

         “ฉันฟังสิ่งที่นายอัคราคุยโทรศัพท์กับคนอื่นๆ มานานหลายเดือน รวมทั้งเรื่องที่คุยกับนายด้วยเกือบทุกเรื่อง แต่ฉันยังขาดจิ๊กซอว์อยู่อีกสองสามชิ้นเพื่อมาต่อให้ภาพมันเต็ม ฉันว่าจิ๊กซอว์ชิ้นนึงมันอยู่ในปากนาย” ขวัญฤทัยยิ้ม

         จากนั้น รักชาติก็ถูกมัดข้อมือไพล่หลัง มัดข้อเท้าและเอาผ้าปิดตา ปิดปาก แล้วให้นอนคุดคู้งอเข่าบนเบาะผู้โดยสารหลัง เขาพยายามยกลำตัวขึ้นนั่งครั้งหนึ่งขณะรถวิ่งอยู่บนถนนเส้นไหนสักแห่ง แต่ก็โดนขวัญฤทัยเอาด้ามปืนฟาดเข้ากลางกระบาลหลายครั้งจนเขาไม่กล้าลุกขึ้นมาอีกเลย

(จบบทที่ 9)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่