นิยาย: จอมป่วนชวนจับโจร บทที่ 5 ภาพกล้องวงจรปิด

กระทู้สนทนา
https://ppantip.com/topic/42950049 (บทที่ 4 หน่วงเหนี่ยว)

หลังเที่ยงเล็กน้อย พันตำรวจโทอัศวิน ขวัญมา สารวัตรสืบสวน สภ แม่รัก พร้อมนักสืบคู่ใจ นายดาบตำรวจทรงสิทธิ์ ดวงวิไล ขับรถปิคอัพมาพบตัวนายอดิศร สมหมาย ที่บ้านพักในหมู่บ้าน บ้านแก้ว ตำบลสันผีเสื้อ หลังจากที่นายอดิศรได้ไปแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ แม่ปิง ว่าถูกผู้หญิงตัวเปียกใส่ชุดคนจีนทำร้ายร่างกายบริเวณข้างรั้วกำแพงวัดบ้านแก้วเมื่อสองคืนก่อน

         ทั้งสองคนเริ่มรู้สึกสนุกกับการตามสืบสวนคดีนี้มาก เพราะเพิ่งได้เคยทำเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อนลักษณะนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งในเขตสอบสวน สภ แม่รัก นั้น จะพบแต่คดีลักเล็กขโมยน้อย ผู้เสพและขายยาเสพติดรายย่อย หรือ คนเมาจมน้ำตายในแม่น้ำปิง หลายปีที่ต้องอยู่กับความหงอยเหงาเบื่อหน่าย โดยไร้ซึ่งความตื่นเต้นมากระตุ้นให้เลือดลมสูบฉีด เสริมสร้างพลังใจให้กับชีวิตและอาชีพการงาน 

         ร้อยเวรพนักงานสอบสวน สภ แม่ปิง เป็นผู้แจ้งให้ พันตำรวจตรีทวีวัฒน์ จันทร์สมบัติ พนักงานสอบสวน สภ แม่รัก ทราบ และผู้กำกับการก็ประสานขออนุมัติให้ สารวัตรอัศวินกับทีมงาน ลงพื้นที่สืบสวนและสอบปากคำนายอดิศรที่ถูกทำร้ายร่างกาย แท้จริงแล้วคดีนี้เป็นคดีเล็กน้อย จ่ายค่าปรับ ยอมความกันได้ แต่ในคำให้การของนายอดิศรระบุว่า คนที่ทำร้ายเขาในคืนนั้นเป็นผู้หญิงตัวเปียกใส่ชุดจีน ทำให้สารวัตรอัศวินสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นคนเดียวกับผู้ต้องสงสัยในคดีอุบัติเหตุรถยนต์ตกลงในแม่น้ำปิงในคืนเดียวกัน

         อดิศร นั่งตัวสั่นงันงกอยู่บนเก้าอี้หินขัดหน้าบ้านเมื่อต้องให้ปากคำกับตำรวจ เขาเป็นชายรูปร่างเตี้ยตัน เจ้าเนื้อ มีพุงยื่น อยู่ในช่วงวัยปลายยี่สิบ

         “อั๊วอ่านรายงานบันทึกประจำวันที่เอ็งไปลงไว้ที่ สภ แม่ปิงแล้ว” สารวัตรอัศวินบอก “เอ็งทะเลาะตบตีกับผู้หญิงแล้วแพ้หมดรูป โดนหล่อนฟาดจนสลบ แถมหล่อนยังทิ้งเงินไว้ให้เอ็งอีกตั้งห้าพัน แต่เอ็งก็ยังกล้าไปแจ้งตำรวจว่าถูกทำร้ายร่างกาย แมนมากๆ เลยเอ็งนี่ อั๊วยอมใจเอ็งจริงๆ” 

         “แต่ๆ ผมกลัวผู้หญิงคนนั้นจะกลับมาเล่นงานผมอีกนี่คับ จริงๆ แล้ว เค้าขอไม่ให้แจ้งตำรวจหรือบอกใครก่อนจะอัดผม” อดิศรเสียงสั่นเครือ

         “เอ็งไม่ตอบโต้เลยเหรอ มือตีนก็มี ดูๆ แล้ว แรงเอ็งน่าจะเยอะกว่าด้วยซ้ำ ไหนลองเล่ามาสิ อั้วอยากฟังจากปากเอ็งว่าโดนอะไรเข้าไปบ้าง”

         “ผม..ผมชกท้องไปหนึ่งหมัด ผู้หญิงคนนั้นเซถอยหลัง ผมตามจะเตะซ้ำ แต่ผู้หญิงยกขากันไว้ จากนั้นผมก็โดนเตะเข้าที่ก้านคอจนร่วง” อดิศรเอามือลูบบริเวณลำคอใต้ใบหูข้างซ้าย “แถมยังจับหัวผมกระแทกกับขอบปูนรางระบายน้ำอีก ดีนะที่หัวไม่แตก”

         สารวัตรอัศวินกับนายดาบทรงสิทธิ์หัวเราะร่วน “เออๆ ยอมรับเถอะว่าเขาเก่งกว่าเอ็ง แต่เอ็งทำถูกต้องแล้วที่ไปลงบันทึกไว้กับตำรวจ ถือว่าเอ็งได้ให้เบาะแสที่อาจมีความสำคัญกับอั๊วโดยไม่รู้ตัว”

         “ครับๆ ผมยินดีให้ความร่วมมือกับตำรวจทุกอย่าง” อดิศรบอก

         “จำรูปพรรณสัณฐานผู้หญิงที่ทำร้ายเอ็งได้มั้ย”

         “ตรงนั้นมันค่อนข้างมืด แสงน้อย เห็นหน้าไม่ชัด หน้าเค้าเหมือนมีสีๆ เลอะๆ เต็มหน้า เหมือนผีพรายเพิ่งขึ้นจากน้ำ เส้นผมยุ่งๆ สั้นประมาณต้นคอ แต่จำได้ว่า ตัวสูงๆ สูงกว่าผมอีก จำได้แค่นี้” อดิศรอธิบายไปทำมือประกอบไปด้วย

         “คล้ายคนนี้มั้ย” สารวัตรอัศวินเปิดโทรศัพท์เอารูปหน้าตรงตามทะเบียนราษฎร์ของขวัญฤทัยให้อดิศรดู

         “ผมบอกแล้วว่ามันมืด เห็นหน้าไม่ชัด จำไม่ค่อยได้ ผมไม่แน่ใจว่าเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า” อดิศรบอกหลังจากดูรูปถ่ายในโทรศัพท์ครู่หนึ่ง  

         “ถ้างั้นขึ้นรถไปกับอั๊ว พาพวกอั๊วไปชี้จุดเกิดเหตุ”

         นายดาบตำรวจทรงสิทธิ์ ขับรถออกจากบ้านพักของนายอดิศรเข้ามาจอดภายในบริเวณวัดบ้านแก้ว หมาวัดสองตัวลุกขึ้นเห่าผู้มาเยือน อีกสามตัววิ่งมารวมกันเห่าเป็นหมาหมู่ พระสงฆ์รูปหนึ่งถือไม้มาไล่ฝูงหมาให้ไปไกลๆ จากนั้นทั้งสามคนรวมพระสงฆ์ก็เดินออกมาที่ถนน ตรงมาที่มุมกำแพงด้านทิศใต้ ชาวบ้านหลายคนเข้ามายืนสังเกตการณ์ห่างๆ

         “เงินใบละพันสามใบวางอยู่ตรงนี้ เงินเปียกน้ำ ผมจอดรถพ่วงตรงนั้นแล้วลงเดินกลับมาดูเงิน” อดิศรชี้มือชี้ไม้ไปยังจุดต่างๆ “ผมถูกล็อคคอตอนกำลังก้มหยิบเงิน”

         “ผู้หญิงพูดว่ายังไงบ้าง”

         “บอกว่า เงินเป็นของเค้า แต่ผมไม่เชื่อ เค้าก็เข้ามาล็อคคอผม แล้วลากเข้ามาตรงนี้” อดิศรนำทุกคนเดินมาที่ร่องระบายน้ำด้านนอกกำแพงวัด “มันค่อนข้างมืดเพราะไม่มีหลอดไฟ ผมพยายามดิ้นและจะร้องเรียกให้รถที่ผ่านไปมาช่วย แต่ผู้หญิงใช้มืออุดปากผมไว้”

         สารวัตรอัศวินเงยหน้ามองมองหากล้องวงจรปิดรอบบริเวณหน้าวัดและบนนถนน แต่ไม่พบแม้แต่ตัวเดียว  เขาใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปรอยฝ่าเท้าผู้หญิงและรอยพื้นรองเท้าผู้ชายบนผิวดินเอาไว้ ก่อนจะถามอดิศร “ในบันทึกประจำวัน เอ็งบอกว่า ผู้หญิงใช้โทรศัพท์ของเอ็งโทร.ออก แล้วให้ลบทิ้ง เอ็งจำเบอร์โทรศัพท์นั้นได้มั้ย”

         “ผมจำไม่ได้ครับ” อดิศรส่ายหน้า

         นายดาบตำรวจทรงสิทธิ์พูดขึ้น “ผมคิดว่า มันกู้เบอร์คืนได้ครับสารวัตร แต่ผมทำไม่เป็น เราเอาโทรศัพท์ของอดิศรไปให้ฝ่ายไอทีของเรากู้คืนให้ที่สถานีก็ได้ครับ”

         “เอ็งไปที่โรงพักกับพวกอั๊วได้มั้ย” สารวัตรถามอดิศร

         “ได้ครับ ผมยินดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง”

         พันตำรวจโทอัศวินก้มสำรวจจุดเกิดเหตุทะเลาะวิวาทอย่างละเอียด หลังจากเดินวนเวียนไปมาอยู่สี่รอบ เขาก็พบห่วงโลหะกลมๆ สีเงินยวงถูกฝังอยู่ในดินที่มีรอยรองเท้าและฝ่าเท้าเหยียบย่ำ ห่วงโลหะชิ้นนี้โผล่พ้นหน้าดินขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าไม่สังเกตดีๆ คงมองข้ามเลยไป เขานั่งลงใช้ปากกาเขี่ยผิวดินและสอดปลายคล้องห่วงโลหะขึ้นมาวางบนฝ่ามือ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งนิ้วฟุต แล้วเก็บลงกระเป๋าเสื้อ เขาใช้ปลายปากกาเขี่ยพื้นดินในรอบๆ อีกหลายจุด แต่ก็ไม่พบอะไรน่าสนใจอีก 

         เขากลับออกมาที่ถนนพบชาวบ้านยืนรวมกันอยู่หน้าประตูวัด เขาเดินเข้าไปสอบถาม “มีใครได้ยิน หรือเห็นอะไรบ้างมั้ยเมื่อสองคืนก่อน”

         “ได้ยินแต่เสียงคนตะโกนด่าอีกคน” หญิงสูงอายุพูดขึ้นท่ามกลางชาวบ้านคนอื่น

         สารวัตรอัศวินเดินเข้ามาหาเจ้าของเสียง “คุณป้าอยู่ตรงไหนตอนที่ได้ยินเสียง แล้วใครด่าใครครับ ”

         “ฉันอยู่บ้านนี้” หญิงคนเดิมชี้มือไปที่บ้านที่ตั้งอยู่ตรงข้ามรั้วกำแพงวัดที่มีร่องระบายน้ำคั่นกลาง บ้านของเธอเองก็มีรั้วรอบขอบชิด “ฉันตื่นแล้วตอนได้ยินเสียงตะโกน ฉันตื่นตีหนึ่งตีสองทุกวัน คนแก่นอนหัวค่ำแล้วตื่นขึ้นมากลางดึกทุกคืน”

         “ใครด่าใครครับ” สารวัตรถามซ้ำ

         “เป็นเสียงผู้ชายด่าคำหยาบคายเสียงดัง แล้วก็เสียงร้องเหมือนกำลังบาดเจ็บ แล้วเสียงก็เงียบไป แต่ฉันไม่กล้าเปิดม่านหน้าต่างดูว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกนะ ฉันอยู่กับหลานสาวแค่สองคน ฉันกลัว”

         “มีเสียงผู้หญิงร้องหรือเสียงอย่างอื่นที่ผิดวิสัยมั้ยครับ”

         “ฉันไม่ได้ยินเสียงผู้หญิงนะ ได้ยินแต่เสียงผู้ชายตะโกนด่า อ้อๆ..มีเสียงหมาในวัดเห่า กับเสียงมอเตอร์ไซค์และรถใหญ่วิ่งผ่านไปมาเป็นระยะด้วย”

         พระสงฆ์ก้าวออกมายืนข้างสารวัตรอัศวิน “อยู่ๆ หมาก็พากันเห่าขึ้นพร้อมๆ กันกลางดึกเหมือนมีอะไรเกิดขึ้นในวัด แต่อาตมาไม่ได้ลุกขึ้นมาดูหรอก ประตูรั้วกำแพงด้านหน้าและหลังวัดใส่กุญแจล็อคไว้ทุกคืน ใครจะเข้ามาในบริเวณวัด ต้องปีนข้ามรั้วเข้ามาเท่านั้น เมื่อวานอาตมาเดินตรวจตราดูรอบๆ แล้ว ไม่พบร่องรอยคนปีนข้างรั้วกำแพง เจอแต่รอยฝ่าเท้ากับรอยรองเท้าเหยียบย่ำไปมาบนดินข้างกำแพงด้านนอกวัดบนขอบร่องน้ำตรงจุดที่โยมตำรวจไปตรวจนั่นแหละ”

         “แล้วมีอะไรสูญหายหรือร่องรอยงัดแงะมั้ยครับ”

         “ไม่มี ทุกอย่างภายในวัดปกติดี”

         “ขอบคุณครับหลวงพี่”

         “เหมือนจะมีเสียงมอเตอร์ไซค์ท่อใหญ่ๆ ดังๆ แบบบิ๊กไบค์มาจอดแป๊บนึงแล้วก็วิ่งออกไปนะ” ชายวัยใกล้ห้าสิบพูดขึ้น “ผมได้ยินชัดเพราะเสียงมันไม่เหมือนมอเตอร์ไซค์ทั่วไปหรือเสียงรถยนต์”

(..โปรดอ่านต่อด้านล่าง..)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่