#เรียบเรียงจากความทรงจำในวัยเด็ก
ย้อนกลับไปในตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ราว ๆ อายุ 7-8 ขวบ
บ้านเรายังไม่มีไฟฟ้าใช้ ทุกคนอยู่กันแบบเรียบง่าย พอตกกลางคืนก็เงียบสงบ แต่ในชุมชนของเรามีผู้ชายคนหนึ่งชื่อ "วอน" เขาเป็นคนติดยาเสพติด และมักจะร้องเอะอะโวยวายตอนกลางคืน จนคนในหมู่บ้านต้องระแวงอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่ง ฉันจำได้ว่าเรานอนกันอยู่ที่ทุ่งนาในยามค่ำคืน จู่ ๆ พ่อก็มาปลุกให้ฉันรีบเข้าไปอยู่ในบ้านพร้อมสั่งให้เงียบไว้ ตอนแรกฉันยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นมาจากกลางทุ่งนา เสียงนั้นฟังดูเหมือนมีคนวิ่งไล่กันอย่างชุลมุน บรรยากาศตอนนั้นน่ากลัวและตึงเครียดมาก ฉันนั่งเงียบ ๆ อยู่ในบ้าน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหรือส่งเสียงออกมาเลย
เรื่องราวนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของฉันจนถึงทุกวันนี้...
ตอนนั้นเสียงวิ่งไล่ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฉันเริ่มได้ยินชัดเจนขึ้น เสียงคนตะโกนว่า “มันอยู่ทางนั้น! มันอยู่ทางนั้น! จับมัน! จับมัน!” ความวุ่นวายทำให้วัวควายในคอกแตกตื่น เสียงชนรั้วดังสนั่นจนเถียงนาสะเทือน พ่อของฉัน ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว รีบวิ่งลงไปสมทบกับกลุ่มคนที่กำลังไล่จับอะไรบางอย่าง แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ด้วยสัญชาตญาณของคนปกป้องครอบครัว พ่อจึงไม่ลังเล
ฉันในตอนนั้นได้แต่นั่งเงียบอยู่ในบ้าน ความกลัวและความงุนงงปะปนกันไป หลังจากนั้น ฉันจำอะไรไม่ได้อีกเลย เหตุการณ์เงียบลงในความทรงจำของฉัน แต่ความสงสัยยังคงค้างคาใจ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้กลับไปที่บ้าน และได้เล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง
พ่อฟังแล้วก็เล่าเรื่องราวต่อให้ฟัง เขาบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของ "วอน" ที่เมายาและวิ่งอาละวาดอย่างที่ทุกคนคิด แต่เป็นเสียงของยมทูตกำลังไล่จับวิญญาณ
คืนนั้นพ่อเล่าว่า เมื่อเขาวิ่งลงไปถึงที่เกิดเหตุ ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลย มีเพียงเสียงคนวิ่งไล่กันและเสียงตะโกนเรียกชื่อ "วอน" อย่างต่อเนื่อง เสียงนั้นดังก้องกลางทุ่งนาจนน่าขนลุก แต่กลับไม่เห็นตัวคนที่วิ่งไล่เลย
เช้าวันต่อมา ความจริงก็ปรากฏ ตำรวจเต็มทุ่งนา และทุกคนได้รู้ว่า วอนผูกคอตายอยู่ในกระท่อมกลางทุ่งนา สภาพศพของเขาบ่งบอกว่าเขาเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 วัน เรื่องนี้ทำให้คนทั้งหมู่บ้านพูดกันว่า เสียงที่ได้ยินเมื่อคืนเป็นเสียงของยมทูตที่มาไล่จับวิญญาณวอนไปในที่สุด...
เรื่องราวนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำของฉันจนถึงทุกวันนี้ และยังเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ว่าบางทีโลกของเรานี้อาจไม่ได้มีเพียงแค่สิ่งที่จับต้องได้เท่านั้น...
ไล่จับผี
ย้อนกลับไปในตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ราว ๆ อายุ 7-8 ขวบ
บ้านเรายังไม่มีไฟฟ้าใช้ ทุกคนอยู่กันแบบเรียบง่าย พอตกกลางคืนก็เงียบสงบ แต่ในชุมชนของเรามีผู้ชายคนหนึ่งชื่อ "วอน" เขาเป็นคนติดยาเสพติด และมักจะร้องเอะอะโวยวายตอนกลางคืน จนคนในหมู่บ้านต้องระแวงอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่ง ฉันจำได้ว่าเรานอนกันอยู่ที่ทุ่งนาในยามค่ำคืน จู่ ๆ พ่อก็มาปลุกให้ฉันรีบเข้าไปอยู่ในบ้านพร้อมสั่งให้เงียบไว้ ตอนแรกฉันยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงเอะอะดังขึ้นมาจากกลางทุ่งนา เสียงนั้นฟังดูเหมือนมีคนวิ่งไล่กันอย่างชุลมุน บรรยากาศตอนนั้นน่ากลัวและตึงเครียดมาก ฉันนั่งเงียบ ๆ อยู่ในบ้าน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวหรือส่งเสียงออกมาเลย
เรื่องราวนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของฉันจนถึงทุกวันนี้...
ตอนนั้นเสียงวิ่งไล่ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฉันเริ่มได้ยินชัดเจนขึ้น เสียงคนตะโกนว่า “มันอยู่ทางนั้น! มันอยู่ทางนั้น! จับมัน! จับมัน!” ความวุ่นวายทำให้วัวควายในคอกแตกตื่น เสียงชนรั้วดังสนั่นจนเถียงนาสะเทือน พ่อของฉัน ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว รีบวิ่งลงไปสมทบกับกลุ่มคนที่กำลังไล่จับอะไรบางอย่าง แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ด้วยสัญชาตญาณของคนปกป้องครอบครัว พ่อจึงไม่ลังเล
ฉันในตอนนั้นได้แต่นั่งเงียบอยู่ในบ้าน ความกลัวและความงุนงงปะปนกันไป หลังจากนั้น ฉันจำอะไรไม่ได้อีกเลย เหตุการณ์เงียบลงในความทรงจำของฉัน แต่ความสงสัยยังคงค้างคาใจ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้กลับไปที่บ้าน และได้เล่าเรื่องนี้ให้พ่อฟัง
พ่อฟังแล้วก็เล่าเรื่องราวต่อให้ฟัง เขาบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของ "วอน" ที่เมายาและวิ่งอาละวาดอย่างที่ทุกคนคิด แต่เป็นเสียงของยมทูตกำลังไล่จับวิญญาณ
คืนนั้นพ่อเล่าว่า เมื่อเขาวิ่งลงไปถึงที่เกิดเหตุ ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลย มีเพียงเสียงคนวิ่งไล่กันและเสียงตะโกนเรียกชื่อ "วอน" อย่างต่อเนื่อง เสียงนั้นดังก้องกลางทุ่งนาจนน่าขนลุก แต่กลับไม่เห็นตัวคนที่วิ่งไล่เลย
เช้าวันต่อมา ความจริงก็ปรากฏ ตำรวจเต็มทุ่งนา และทุกคนได้รู้ว่า วอนผูกคอตายอยู่ในกระท่อมกลางทุ่งนา สภาพศพของเขาบ่งบอกว่าเขาเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 วัน เรื่องนี้ทำให้คนทั้งหมู่บ้านพูดกันว่า เสียงที่ได้ยินเมื่อคืนเป็นเสียงของยมทูตที่มาไล่จับวิญญาณวอนไปในที่สุด...
เรื่องราวนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำของฉันจนถึงทุกวันนี้ และยังเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ว่าบางทีโลกของเรานี้อาจไม่ได้มีเพียงแค่สิ่งที่จับต้องได้เท่านั้น...