ตอนที่ 39: รากเขาสุเมรุ (3/3)
http://ppantip.com/topic/31416466
คุยกันก่อนนะคะ
คุณ GTW: วิปลาสนิทรา พูดง่ายๆ คือการครอบงำโดยให้ฝันร้าย แต่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ที่โดนเวทชนิดนี้ทำร้ายด้วยค่ะว่า เหตุการณ์ร้ายที่ตนเคยคิดไว้จะร้ายแรงมากแค่ไหน
คุณน้องตะวันรัตติกาล: นั่นสินะ จะเป็นอย่างไรต่อไปดี
ขอบคุณสำหรับผู้ให้ถูกใจนะคะ: คุณ เขมปัณณ์, คุณ Psycho man, คุณ ลูนาติก, คุณ ตะวันรัตติกาล, และ คุณสมาชิกหมายเลข 1049340 ค่ะ
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
บุษบรรณสามารถรอดพ้นจากมนต์วิปลาสนิทราของมุตติได้จนกลับมาสู่เวลาปกติ นอกจากนี้ยังได้รับการช่วยเหลือจากมาลา แต่ถึงแม้จะแคลือบแคลงสงสัยในวัตถุประสงค์ที่นางงูแอบช่วยเหลือตนอย่างไร้เงื่อนไข หากบุษบรรณก็มิได้ติดใจอะไร ทว่าขอบเขตของเกาะแห่งความตายมีความลึกลับซับซ้อน ในที่สุดในภาวะจวนตัวและไม่คุ้นเคยเส้นทางเธอก็ถูกพบเห็นโดยพวกทหารน้ำของพญาบาดาล
40. เกาะแห่งความตาย (1/2)
“ท่านอารมัน ทำไมรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” บุษบรรณถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะที่ทั้งสองเดินตามกันผ่านทางวงกต นักรบจากเผ่าเวนไตยที่เดินอยู่ด้านหน้าเอามือเกาหลังคอในท่าประจำ แล้วบ่นพึม ตอบไม่ตรงคำถาม
“ไม่เห็นต้องตบแรงขนาดนั้นเลย...”
“อะไรนะ”
“เออ...ไม่มีอะไรหรอกขอรับ คือ...ที่ข้าตามมาถูกเพราะได้ยินเสียงเจ้าพวกทหารมันเอ็ดตะโร เอะอะโวยวาย ข้าก็เลยมาตามเสียง ไม่คิดว่าท่านจะอยู่ที่นี่จริงๆ” เขาชี้แจง
“แล้วท่านผ่านเวียงน้ำพิษมาได้อย่างไร”
“ข้าไม่ได้มาทางนั้น ดูสิ...เสื้อข้าไม่เปียกเลย นอกจาก...” อารมันอ้าปากค้าง แล้วก็ไม่ได้พูดต่อด้วยเกรงว่าอาจจะถูกฝ่ามือตบเข้าให้อีก
“ผ่านลงมาทางป่ารากเขาสุเมรุหรือ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ที่ไหน” บุษบรรณเดา
“ถามซักได้อย่างนี้แสดงว่าท่านมือปราบคงหายตกใจแล้วใช่ไหม” อารมันถามแต่ก็รีบหยุดในทันใดเพราะได้รับคำตอบมาเป็นสายตาดุๆ แทน เขากระแอมในลำคอก่อนจะพูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงานกว่าเดิม
“ข้ามาอย่างไรไม่สำคัญเท่าหาทางออกไปจากที่นี่ เพราะข้าไม่รู้ว่าหน่วยลาดตระเวนจะย้อนกลับมาเมื่อไหร่”
“...แต่” บุษบรรณค้าน เธอหันไปทางด้านหลัง ในใจนึกห่วงนกปีกไฟตัวนั้น
“ท่านมือปราบ ท่านรออะไรอยู่หรือ” เมื่ออารมันหันไปตามทิศทางเดียวกับหญิงสาวบ้างจึงพูดขึ้นมา “หรือว่าท่านอยากจะกลับไปดูหน้าพญาบาดาลอีกครั้ง โอ...ท่านชอบพวกกล้ามใหญ่ๆ หรือขอรับ”
“จะบ้าหรือ”
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับหัวเราะเบาๆ เขาหันหลังออกเดินนำราวกับรู้ทิศทาง ด้วยอารมันสามารถเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาในทางวงกตนั้นจนบุษบรรณต้องออกปากถาม
“ท่านรู้ทางหรือ”
แต่จู่ๆ คนเดินนำกลับหยุดกึกจนคนตามหลังเกือบผวาชน ยังไม่ทันจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น อารมันก็หมุนร่างกลับมาหาแล้วใช้มือหนึ่งรั้งร่างเธอพิงไว้กับตัวและเอ่ยเวทออกมาประโยคหนึ่ง ร่างคนทั้งสองจึงหายไปในความมืด
“ไปทางนี้”
บุษบรรณได้ยินแต่เสียงของอารมันนำอยู่ไม่ห่าง รอบๆ พวกเขารายล้อมไปด้วยความมืดมิด
“นี่คือเวทเบิกมิติประเภทหนึ่ง” เทวะหนุ่มหันมากล่าว “มันมีหลักการคล้ายกับเวทเบิกอุโมงค์ภูตของเทพรัตติกาล หรือโพรงดำของพวกมาร ซึ่งต้องอาศัยเส้นทางวิญญาณในการเปิดเส้นทาง ความจริงบนโลกนี้มีมิติที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่มากมาย หากเรามีแผนที่ มีประตูที่เปิดไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง ถูกเวลา ถูกสถานที่ เราก็จะเลือกที่จะปิดหรือเปิดมันก็ได้” อารมันเว้นวรรคนิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคู่สนทนากำลังตั้งใจฟัง เขาจึงกล่าวต่อ “เวทเบิกพสุธาก็เช่นกัน หากใช้ในสถานที่ที่ถูกต้อง เราก็จะเข้ามาได้ เพียงแต่ว่าเวทนี้เก่าแก่มาก เส้นทางบางเส้นก็ขาดหาย หากไม่เลือกใช้ให้รอบคอบเราอาจจะไปโผล่ใต้ดินจริงๆ โดนหินทั้งภูเขาทับ ไม่อาจออกมาทั้งมีชีวิต...ยกเว้นแต่เราจะเป็นไส้เดือนน่ะขอรับ”
คนที่ตั้งใจฟังอย่างจริงจังเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้ามเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายคล้ายประเมินในใจว่าจะเชื่อดีหรือไม่
จ้าวจตุรทิศ ภาค จัณฑวาตา ตอนที่ 40: เกาะแห่งความตาย (1/2)
คุยกันก่อนนะคะ
คุณ GTW: วิปลาสนิทรา พูดง่ายๆ คือการครอบงำโดยให้ฝันร้าย แต่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ที่โดนเวทชนิดนี้ทำร้ายด้วยค่ะว่า เหตุการณ์ร้ายที่ตนเคยคิดไว้จะร้ายแรงมากแค่ไหน
คุณน้องตะวันรัตติกาล: นั่นสินะ จะเป็นอย่างไรต่อไปดี
ขอบคุณสำหรับผู้ให้ถูกใจนะคะ: คุณ เขมปัณณ์, คุณ Psycho man, คุณ ลูนาติก, คุณ ตะวันรัตติกาล, และ คุณสมาชิกหมายเลข 1049340 ค่ะ
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
บุษบรรณสามารถรอดพ้นจากมนต์วิปลาสนิทราของมุตติได้จนกลับมาสู่เวลาปกติ นอกจากนี้ยังได้รับการช่วยเหลือจากมาลา แต่ถึงแม้จะแคลือบแคลงสงสัยในวัตถุประสงค์ที่นางงูแอบช่วยเหลือตนอย่างไร้เงื่อนไข หากบุษบรรณก็มิได้ติดใจอะไร ทว่าขอบเขตของเกาะแห่งความตายมีความลึกลับซับซ้อน ในที่สุดในภาวะจวนตัวและไม่คุ้นเคยเส้นทางเธอก็ถูกพบเห็นโดยพวกทหารน้ำของพญาบาดาล
40. เกาะแห่งความตาย (1/2)
“ท่านอารมัน ทำไมรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” บุษบรรณถามขึ้นด้วยความสงสัยขณะที่ทั้งสองเดินตามกันผ่านทางวงกต นักรบจากเผ่าเวนไตยที่เดินอยู่ด้านหน้าเอามือเกาหลังคอในท่าประจำ แล้วบ่นพึม ตอบไม่ตรงคำถาม
“ไม่เห็นต้องตบแรงขนาดนั้นเลย...”
“อะไรนะ”
“เออ...ไม่มีอะไรหรอกขอรับ คือ...ที่ข้าตามมาถูกเพราะได้ยินเสียงเจ้าพวกทหารมันเอ็ดตะโร เอะอะโวยวาย ข้าก็เลยมาตามเสียง ไม่คิดว่าท่านจะอยู่ที่นี่จริงๆ” เขาชี้แจง
“แล้วท่านผ่านเวียงน้ำพิษมาได้อย่างไร”
“ข้าไม่ได้มาทางนั้น ดูสิ...เสื้อข้าไม่เปียกเลย นอกจาก...” อารมันอ้าปากค้าง แล้วก็ไม่ได้พูดต่อด้วยเกรงว่าอาจจะถูกฝ่ามือตบเข้าให้อีก
“ผ่านลงมาทางป่ารากเขาสุเมรุหรือ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าอยู่ที่ไหน” บุษบรรณเดา
“ถามซักได้อย่างนี้แสดงว่าท่านมือปราบคงหายตกใจแล้วใช่ไหม” อารมันถามแต่ก็รีบหยุดในทันใดเพราะได้รับคำตอบมาเป็นสายตาดุๆ แทน เขากระแอมในลำคอก่อนจะพูดขึ้นอย่างเป็นการเป็นงานกว่าเดิม
“ข้ามาอย่างไรไม่สำคัญเท่าหาทางออกไปจากที่นี่ เพราะข้าไม่รู้ว่าหน่วยลาดตระเวนจะย้อนกลับมาเมื่อไหร่”
“...แต่” บุษบรรณค้าน เธอหันไปทางด้านหลัง ในใจนึกห่วงนกปีกไฟตัวนั้น
“ท่านมือปราบ ท่านรออะไรอยู่หรือ” เมื่ออารมันหันไปตามทิศทางเดียวกับหญิงสาวบ้างจึงพูดขึ้นมา “หรือว่าท่านอยากจะกลับไปดูหน้าพญาบาดาลอีกครั้ง โอ...ท่านชอบพวกกล้ามใหญ่ๆ หรือขอรับ”
“จะบ้าหรือ”
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับหัวเราะเบาๆ เขาหันหลังออกเดินนำราวกับรู้ทิศทาง ด้วยอารมันสามารถเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาในทางวงกตนั้นจนบุษบรรณต้องออกปากถาม
“ท่านรู้ทางหรือ”
แต่จู่ๆ คนเดินนำกลับหยุดกึกจนคนตามหลังเกือบผวาชน ยังไม่ทันจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น อารมันก็หมุนร่างกลับมาหาแล้วใช้มือหนึ่งรั้งร่างเธอพิงไว้กับตัวและเอ่ยเวทออกมาประโยคหนึ่ง ร่างคนทั้งสองจึงหายไปในความมืด
“ไปทางนี้”
บุษบรรณได้ยินแต่เสียงของอารมันนำอยู่ไม่ห่าง รอบๆ พวกเขารายล้อมไปด้วยความมืดมิด
“นี่คือเวทเบิกมิติประเภทหนึ่ง” เทวะหนุ่มหันมากล่าว “มันมีหลักการคล้ายกับเวทเบิกอุโมงค์ภูตของเทพรัตติกาล หรือโพรงดำของพวกมาร ซึ่งต้องอาศัยเส้นทางวิญญาณในการเปิดเส้นทาง ความจริงบนโลกนี้มีมิติที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่มากมาย หากเรามีแผนที่ มีประตูที่เปิดไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง ถูกเวลา ถูกสถานที่ เราก็จะเลือกที่จะปิดหรือเปิดมันก็ได้” อารมันเว้นวรรคนิดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าคู่สนทนากำลังตั้งใจฟัง เขาจึงกล่าวต่อ “เวทเบิกพสุธาก็เช่นกัน หากใช้ในสถานที่ที่ถูกต้อง เราก็จะเข้ามาได้ เพียงแต่ว่าเวทนี้เก่าแก่มาก เส้นทางบางเส้นก็ขาดหาย หากไม่เลือกใช้ให้รอบคอบเราอาจจะไปโผล่ใต้ดินจริงๆ โดนหินทั้งภูเขาทับ ไม่อาจออกมาทั้งมีชีวิต...ยกเว้นแต่เราจะเป็นไส้เดือนน่ะขอรับ”
คนที่ตั้งใจฟังอย่างจริงจังเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้ามเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายคล้ายประเมินในใจว่าจะเชื่อดีหรือไม่