ตอนที่ 43: การเจรจาในห้องอักษร (2/2) http://
http://ppantip.com/topic/31693179
คุยกันก่อนนะคะ
คุณ Psycho man: ยังเป็นนักอ่านที่ความจำดีเหมือนเคย ^^ สำหรับตอนนี้เป็นอีกตอนหนึ่งที่สำคัญ และเป็นตอนที่บุษบรรณมีบทบาทอย่างมาก คงถูกใจคุณที่สุดละ
คุณ ตะวันรัตติกาล: ตั้งแต่นี้ไปคิวป๋าจะไม่ให้หยุดยาวละ แกจะมาเข้าออกฉากโน้นฉากนี้ไปเรื่อยจนจบอย่างที่คุณน้องต้องการค่ะ ^^”
คุณ Phoenixorus: ฐานเสียง เอ้ย...แฟนป๋าฯ นี่เหนี่ยวแน่นจริงๆ
ขอบคุณสำหรับผู้ให้ถูกใจนะคะ: คุณ Psycho man, คุณ อรุสา, คุณ Phoenixorus , คุณ zoi , และคุณ ตะวันรัตติกาล ค่ะ
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
แท้จริงวิษณุวัติเดินทางไปถึงหอคัมภีร์เพื่อยับยั้งไม่ให้อติเทพลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะเทพนักบวช จนแม้แต่เวณิชเองก็คาดไม่ถึงและไม่สามารถคาดเดาวัตถุประสงค์ออก จนเมื่อภายหลังเกิดเหตุการณ์ขึ้นเวณิชจึงต้องขอร้องให้ไทราร่วมเดินทางไปกับตนเพื่อขัดขวางการกระทำของจอมเทพ
44. ปีกหัก (1/2)
“อารมัน!”
บุษบรรณร้องอย่างตื่นตระหนก เอื้อมมือไปหาแต่คว้าได้เพียงอากาศธาตุ ร่างของฝ่ายตรงข้ามเลือนหายไปในเวทเบิกพสุธาที่เธอตามไปไม่ได้ เธอตระหนักดีว่าถูกส่งกลับมาที่เดิม
“เจ้าบ้า!” บุษบรรณตะโกนแล้วทุบไปที่กำแพงหินอย่างขัดใจ
มาช่วยคนอื่นแล้วทิ้งไปแบบนี้หรือ
สองครั้ง...ท่านทำแบบนี้กับข้าสองครั้งแล้ว
ในขณะนั้นแม้จะยังแสนห่วงผู้ที่อยู่ปลายทางอีกด้านหนึ่ง แต่บุษบรรณตระหนักดีว่าร่ำร้องไปเท่าใดก็ไม่มีประโยชน์
ไม่ว่าจะอย่างไรข้าต้องหาทางช่วยอารมันให้ได้
ทันใดนั้นปรากฏเงาสีขาวคล้ายหมอกทาบทับบนผนังก่อนจะรวมตัวเป็นร่าง บุษบรรณผงะถอยหลังด้วยตระหนักดีว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร ครั้นพอร่างนั้นปรากฏชัดเจนบุษบรรณจึงรีบก้าวเข้าไปหาโดยไม่รอช้า
“ข้าจะกลับไปหาอารมัน”
มาลาชำเลืองมองฝ่ายตรงข้ามอย่างตำหนิ ส่ายศีรษะช้าๆ “คงไม่ได้หรอกท่านบุษบรรณ เทพเวนไตยได้ตกลงที่จะเผชิญหน้ากับตรุเทพเจ้าแล้ว ความจริงท่านควรจะยินดีที่สุดในเรื่องนี้”
บุษบรรณส่ายหน้า ในใจปฏิเสธอย่างหนักแน่น
นี่มันเรื่องบ้าอะไร! ข้าจะดีใจได้อย่างไรกันในเมื่อตอนนี้ข้าร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว
“โปรดตามข้ามา เวลาเหลือไม่มากนัก แม้ข้าจะเป็นเพียงทาสรับใช้ แต่ข้าจะทำตามคำพูดแน่ ข้าจะส่งท่านกลับไปยังป้อมนักล่าอย่างปลอดภัย”
“ไม่! ข้าจะกลับไปพร้อมอารมัน”
มาลาตัดสินใจพูดตรงๆ “ท่านบุษบามินตรา เมื่ออารมันเข้าสู่ภพวิปลาสแล้วเขาจะไม่มีวันกลับมา นี่...เป็นความตั้งใจของเทพเวนไตยเอง ท่านไม่เข้าใจหรือ”
อะไรนะ เหตุใดเขาต้องทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนั้น
ครั้นเห็นปฏิกิริยาของเทพีแห่งอุตราทิศ มาลาจึงพอเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งสองรางๆ
“เขาคงไม่ได้บอกท่าน”
บุษบรรณส่ายศีรษะด้วยความร้อนใจยิ่งนัก
“อารมันรู้วิธีที่จะทำให้รามิตแห่งปราสาทจันทรคราสกลับคืนมา”
บุษบรรณถึงกับนิ่งอึ้ง คาดไม่ถึงว่าอดีตสหายมาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ได้อย่างไร มาลาไม่ปล่อยให้คู่สนทนาต้องฉงนสงสัยนาน เธอกล่าวต่อในทันใด “แต่...รู้ไหมว่าเหตุใดเขาถึงไม่ทำ และยังไม่บอกท่าน ไม่ใช่เพราะเขาขลาดกลัว...เพราะเขาทำไม่ได้” มาลาสูดลมหายใจเข้าลึกและไม่คิดเลยว่าเธอจะกล่าวประโยคนี้ออกไป
“ในเวลานี้ความจริงมีทางเดียวที่จะทำให้ศิษย์เอกจอมเทพคืนมา นั่นคือ...อารมันต้องสิ้นชีพก่อน” สิ้นประโยคของนางงู บุษบรรณรู้สึกเหมือนใจถูกกระชากหายไปวูบหนึ่ง
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร” มาลาพูดขึ้นมาก่อนที่บุษบรรณจะเอ่ยถาม “เพราะไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อนตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนกระทั่งถึงบัดนี้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว...ในการลอบสังหารศิษย์เอกจอมเทพในวันอรุณมืดนั้น เขาได้ใช้พละมนตราสุดท้ายถึงระดับอภิเวทที่ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เพื่อรักษาชีวิตตนเอง แต่มันกลับส่งผลมหาศาลที่แม้แต่ผู้ลอบสังหารหรือกระทั่งตัวรามิตเองอาจไม่ได้คาดการณ์ไว้”
จ้าวจตุรทิศ ภาค จัณฑวาตา ตอนที่ 44: ปีกหัก (1/2)
คุยกันก่อนนะคะ
คุณ Psycho man: ยังเป็นนักอ่านที่ความจำดีเหมือนเคย ^^ สำหรับตอนนี้เป็นอีกตอนหนึ่งที่สำคัญ และเป็นตอนที่บุษบรรณมีบทบาทอย่างมาก คงถูกใจคุณที่สุดละ
คุณ ตะวันรัตติกาล: ตั้งแต่นี้ไปคิวป๋าจะไม่ให้หยุดยาวละ แกจะมาเข้าออกฉากโน้นฉากนี้ไปเรื่อยจนจบอย่างที่คุณน้องต้องการค่ะ ^^”
คุณ Phoenixorus: ฐานเสียง เอ้ย...แฟนป๋าฯ นี่เหนี่ยวแน่นจริงๆ
ขอบคุณสำหรับผู้ให้ถูกใจนะคะ: คุณ Psycho man, คุณ อรุสา, คุณ Phoenixorus , คุณ zoi , และคุณ ตะวันรัตติกาล ค่ะ
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
แท้จริงวิษณุวัติเดินทางไปถึงหอคัมภีร์เพื่อยับยั้งไม่ให้อติเทพลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะเทพนักบวช จนแม้แต่เวณิชเองก็คาดไม่ถึงและไม่สามารถคาดเดาวัตถุประสงค์ออก จนเมื่อภายหลังเกิดเหตุการณ์ขึ้นเวณิชจึงต้องขอร้องให้ไทราร่วมเดินทางไปกับตนเพื่อขัดขวางการกระทำของจอมเทพ
44. ปีกหัก (1/2)
“อารมัน!”
บุษบรรณร้องอย่างตื่นตระหนก เอื้อมมือไปหาแต่คว้าได้เพียงอากาศธาตุ ร่างของฝ่ายตรงข้ามเลือนหายไปในเวทเบิกพสุธาที่เธอตามไปไม่ได้ เธอตระหนักดีว่าถูกส่งกลับมาที่เดิม
“เจ้าบ้า!” บุษบรรณตะโกนแล้วทุบไปที่กำแพงหินอย่างขัดใจ
มาช่วยคนอื่นแล้วทิ้งไปแบบนี้หรือ สองครั้ง...ท่านทำแบบนี้กับข้าสองครั้งแล้ว
ในขณะนั้นแม้จะยังแสนห่วงผู้ที่อยู่ปลายทางอีกด้านหนึ่ง แต่บุษบรรณตระหนักดีว่าร่ำร้องไปเท่าใดก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะอย่างไรข้าต้องหาทางช่วยอารมันให้ได้
ทันใดนั้นปรากฏเงาสีขาวคล้ายหมอกทาบทับบนผนังก่อนจะรวมตัวเป็นร่าง บุษบรรณผงะถอยหลังด้วยตระหนักดีว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร ครั้นพอร่างนั้นปรากฏชัดเจนบุษบรรณจึงรีบก้าวเข้าไปหาโดยไม่รอช้า
“ข้าจะกลับไปหาอารมัน”
มาลาชำเลืองมองฝ่ายตรงข้ามอย่างตำหนิ ส่ายศีรษะช้าๆ “คงไม่ได้หรอกท่านบุษบรรณ เทพเวนไตยได้ตกลงที่จะเผชิญหน้ากับตรุเทพเจ้าแล้ว ความจริงท่านควรจะยินดีที่สุดในเรื่องนี้”
บุษบรรณส่ายหน้า ในใจปฏิเสธอย่างหนักแน่น นี่มันเรื่องบ้าอะไร! ข้าจะดีใจได้อย่างไรกันในเมื่อตอนนี้ข้าร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว
“โปรดตามข้ามา เวลาเหลือไม่มากนัก แม้ข้าจะเป็นเพียงทาสรับใช้ แต่ข้าจะทำตามคำพูดแน่ ข้าจะส่งท่านกลับไปยังป้อมนักล่าอย่างปลอดภัย”
“ไม่! ข้าจะกลับไปพร้อมอารมัน”
มาลาตัดสินใจพูดตรงๆ “ท่านบุษบามินตรา เมื่ออารมันเข้าสู่ภพวิปลาสแล้วเขาจะไม่มีวันกลับมา นี่...เป็นความตั้งใจของเทพเวนไตยเอง ท่านไม่เข้าใจหรือ”
อะไรนะ เหตุใดเขาต้องทำเรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนั้น
ครั้นเห็นปฏิกิริยาของเทพีแห่งอุตราทิศ มาลาจึงพอเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งสองรางๆ
“เขาคงไม่ได้บอกท่าน”
บุษบรรณส่ายศีรษะด้วยความร้อนใจยิ่งนัก
“อารมันรู้วิธีที่จะทำให้รามิตแห่งปราสาทจันทรคราสกลับคืนมา”
บุษบรรณถึงกับนิ่งอึ้ง คาดไม่ถึงว่าอดีตสหายมาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ได้อย่างไร มาลาไม่ปล่อยให้คู่สนทนาต้องฉงนสงสัยนาน เธอกล่าวต่อในทันใด “แต่...รู้ไหมว่าเหตุใดเขาถึงไม่ทำ และยังไม่บอกท่าน ไม่ใช่เพราะเขาขลาดกลัว...เพราะเขาทำไม่ได้” มาลาสูดลมหายใจเข้าลึกและไม่คิดเลยว่าเธอจะกล่าวประโยคนี้ออกไป
“ในเวลานี้ความจริงมีทางเดียวที่จะทำให้ศิษย์เอกจอมเทพคืนมา นั่นคือ...อารมันต้องสิ้นชีพก่อน” สิ้นประโยคของนางงู บุษบรรณรู้สึกเหมือนใจถูกกระชากหายไปวูบหนึ่ง
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร” มาลาพูดขึ้นมาก่อนที่บุษบรรณจะเอ่ยถาม “เพราะไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อนตั้งแต่ยุคบรรพกาลจนกระทั่งถึงบัดนี้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว...ในการลอบสังหารศิษย์เอกจอมเทพในวันอรุณมืดนั้น เขาได้ใช้พละมนตราสุดท้ายถึงระดับอภิเวทที่ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เพื่อรักษาชีวิตตนเอง แต่มันกลับส่งผลมหาศาลที่แม้แต่ผู้ลอบสังหารหรือกระทั่งตัวรามิตเองอาจไม่ได้คาดการณ์ไว้”