ตอนที่ 44: ปีกหัก (1/2)
http://ppantip.com/topic/31724975
คุยกันก่อนนะคะ
คุณ ตะวันรัตติกาล: ป๋าเดินทางไปที่อื่นค่ะ ส่วนใครจะอยู่ใครจะไป อ่านต่ออีกไม่กี่บทแล้วล่ะนะ ^^
คุณ nekobon: ขอบคุณมากค่ะที่กรุณาติดตาม ส่วนเรื่องการพิมพ์หนังสือจะทำอย่างไรต่อไปนั้น
คาดว่าภาคนี้อาจจะลองถามจำนวนผู้ที่สนใจจะซื้อเป็นหนังสือก่อนการพิมพ์ (ยังไม่ใช่การจองหนังสือนะคะ) เพื่อดูว่าได้จำนวนเล่มมีคนสนใจมากน้อยแค่ไหนค่ะ หากมีความคืบหน้า จะแจ้งให้ทราบนะคะ
คุณ Phoenixorus: คนเขียนก็ชอบคำนี้เหมือนกันค่ะ มันได้อารมณ์แบบแฟนตาซีไทยร่วมสมัยดีเนาะ
คุณ Psycho man: นานๆ ทีเจอนักอ่านขู่สักคนแฮะ สำหรับอารมิต เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ผลสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร อีกไม่นานแล้วค่ะ
ขอบคุณสำหรับผู้ให้ถูกใจนะคะ: คุณ CAN LIVE, คุณ Phoenixorus , คุณ zoi , และคุณ ตะวันรัตติกาล ค่ะ
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
บุษบรรณยินยอนเสี่ยงอันตรายกลับไปที่เกาะแห่งความตายเพื่อช่วยอารมัน เมื่อมาลาเห็นความตั้งใจจริงของเธอจึงตกลงให้ความร่วมมือโดยส่งเธอไปยังตรุเทพเจ้าพร้อมกำชับว่าให้เธอหาทางออกและพาเทพเวนไตยออกมาให้ได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม มิฉะนั้นทั้งสองจะติดอยู่ในตรุเทพเจ้าตลอดกาล
44. ปีกหัก (2/2)
ทันทีที่เธอตัดสินใจ สิ่งรอบกายทั้งหมดทั้งถ้ำใต้ดิน เวียงน้ำพิษ กระทั่งกระแสธารน้ำที่เย็นเฉียบก็วูบหาย โสตประสาทดับชั่วคราว บุษบรรณรู้สึกเหมือนทั้งร่างถูกพละกำลังมหาศาลนำไปสู่ปลายทางออกอย่างรวดเร็ว เวทเบิกพสุธาของชาวนาคานั้นได้ผลรุนแรงกว่าชาวเทวะหลายเท่านัก
บุษบรรณกระเด็นกลิ้งออกมาจากปากโพรงอย่างแรง ยังดีที่เทพีแห่งอุตราทิศเป็นมือปราบเทวะจึงยังคงสติไว้ได้และไม่ได้ทำให้ตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บมากนัก
ครั้นทรงกายได้แล้วบุษบรรณจึงเงยหน้าขึ้นมองไปรอบกาย ข้างใต้นั้นไม่เหมือนที่ที่จะมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้เลย..
.
ยังพอมีแสงอยู่บ้างในแดนมัตตัยนี้ คราแรกเธอขนลุกเกรียวเพราะรู้สึกเหมือนกับกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งร้างหลังสงคราม ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยไอความตาย รอบตัวมีแต่ซากปรักหักพังที่ไร้ชีวิต เสาศิลาเหลือแต่เพียงฐาน ทั้งเมืองคล้ายถูกพลังมหาศาลทำให้พังพินาศในชั่วพริบตา ดวงตาของบุษบรรณจับความเคลื่อนไหวได้รางๆ แต่เมื่อเขม้นมองจริงๆ กลับมองไม่เห็นสิ่งใด
เทพีแห่งอุตราทิศหยัดกายลุกขึ้น ในใจรู้สึกวิตกกังวล ข้าจะตามหาอารมันได้อย่างไรในสถานที่รกร้างเช่นนี้...ทันใดนั้นบุษบรรณเพิ่งนึกออกและประหลาดใจว่าเนื้อตัวแห้งสนิท นอกจากนี้เธอยังเห็นบางสิ่งเรืองแสงในความมืดเรื่อๆ จึงหยิบมันออกมาจากที่เก็บข้างเข็มขัด
มันคือกริชเวนไตยอีกเล่มหนึ่งของอารมันที่คืนให้เธอก่อนที่เขาจะตัดสินใจไปแดนมัตตัย ไม่มีใครรู้กรรมวิธีการผสมโลหะของกริชเวนไตยจนทำให้มันมีลวดลายเฉพาะตัวที่ทำให้แต่ละเล่มไม่เหมือนกัน แต่อารมันเคยบอกกับเธอว่ากริชทั้งสองตีขึ้นจากเบ้าหลอมเดียวกันและอาจมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงราวกับคู่พี่น้อง บัดนี้บุษบรรณแน่ใจในส่วนผสมอย่างหนึ่งของกริชเวนไตยที่ทำให้มันมีมูลค่ามหาศาลแล้ว หนึ่งในนั้นต้องเป็นมุกโบกขรณีที่เธอเคยใช้มันตรวจสอบจนพบกายแปลงของจอมเทพศิลาลัย และมันยังมีคุณลักษณะเฉพาะอีกอย่างหนึ่งคือ เวลาที่มันอยู่ใกล้กันจะเรืองแสงจนสังเกตได้ ในยามปรกติพวกมันคงถูกโลหะมนตราอื่นๆ กลืนคุณสมบัติข้อนี้ไปหมด แต่ในแดนไร้แสงเช่นนี้พวกมันกลับยังคงแสดงพลังแฝงได้ อาจเป็นเพราะต้นกำเนิดของมุกชนิดนี้เองอยู่ใต้บาดาลที่ไร้แสงเหมือนกัน
ยอดเยี่ยมจริงๆ...บุษบรรณคิด
จากนั้นเทพีภูระจึงถือกริชของเธอไว้ในมือข้างที่ถนัดแล้วลองใช้มันวาดไปรอบตัวจนถึงบริเวณหนึ่งซึ่งใบมีดเรืองแสงสว่างมากกว่าที่ใด เธอออกวิ่งไปตามทิศทางนั้นทันที
ทั่วบริเวณมีแต่ซากปรักหักพัง เศษกระดูกกองเกลื่อนกลาด ตลอดเส้นทางมีร่างวิญญาณที่หลบซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืด ทว่าพวกมันทุกตนต่างรีบหลบให้พ้นทางเมื่อเห็นแสงสว่างที่เกิดจากกริชเวนไตย บุษบรรณมองไปรอบตัวอย่างวิตกกังวล
เขายังจะปลอดภัยดีหรือ กริชเวนไตยของอารมันจะสามารถคุ้มครองเขาได้เหมือนของเธอหรือ
ขอให้ท่านปลอดภัย ไม่มีใครสมควรมาสิ้นชีพ ไม่ว่าจะเป็นอารมันแห่งเวนไตย หรือรามิตแห่งจันทรคราส
เมื่อนั้นความทรงจำไหลบ่าท่วมท้น เธอจำได้แล้ว...เขาคือผู้เดียวกับที่กลับมาหาเธอหลังจากที่ฟื้นจากไข้พิษไม่นาน แต่เธอกลับพานคิดว่าเป็นรามิตมาให้กำลังใจเธอในความฝัน จากนั้นหวนนึกเหตุการณ์ครั้งเมื่ออยู่หุบเงาซึ่งบัดนี้เธอไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมถึงคิดว่าอารมันแท้จริงคือรามิต
ข้าไม่อาจนำศิษย์เอกจอมเทพกลับมา เพราะอาจจะมีใครคนหนึ่งต้องตกอยู่ในอันตรายจนถึงชีวิตแทนนะขอรับ
ถึงตอนนี้บุษบรรณจึงเพิ่งเข้าใจ
ใครคนหนึ่งที่เขาอ้างถึง คือตัวของเขาเอง....
ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยท่าน หากท่านไม่รอดไปพบหน้าพี่ชาย ข้าคงกลับไปไม่ได้ ท่านมือปราบ...จนป่านนี้แล้ว ท่านยังจำข้าไม่ได้อีกหรือ
โปรดจำข้าในฐานะอารมัน....
เจ้าบ้า! เจ้ารู้ดีว่าเจ้าอาจจะไม่รอดจากแดนมัตตัย เจ้าบ้านั่นกระทั่งเวลาเผชิญหน้าอันตราย ยังยิ้มเล่นคำวางท่าอยู่ได้ ทำได้อย่างไรกัน ขณะที่เธอร้อนใจแทบจะตายแล้ว
ขณะที่วิ่งฝ่าความมืดไปเบื้องหน้า บุษบรรณไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาเมื่อไร และแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นเมื่อไร
หากเป็นตัวท่านเองเล่า ท่านจะตัดสินใจอย่างไร เสียงของมาลาย้อนถาม
ท่านจะสังหารเทพเวนไตยเพื่อให้ได้พบสหายหรือจะยอมสูญเสียศิษย์เอกจอมเทพไปตลอดกาลเพื่อให้อารมันคงอยู่ต่อไปได้
ข้าไม่รู้ บุษบรรณตะโกนตอบในใจ ข้าไม่รู้จริงๆ
จ้าวจตุรทิศ ภาค จัณฑวาตา ตอนที่ 44: ปีกหัก (2/2)
คุยกันก่อนนะคะ
คุณ ตะวันรัตติกาล: ป๋าเดินทางไปที่อื่นค่ะ ส่วนใครจะอยู่ใครจะไป อ่านต่ออีกไม่กี่บทแล้วล่ะนะ ^^
คุณ nekobon: ขอบคุณมากค่ะที่กรุณาติดตาม ส่วนเรื่องการพิมพ์หนังสือจะทำอย่างไรต่อไปนั้น
คาดว่าภาคนี้อาจจะลองถามจำนวนผู้ที่สนใจจะซื้อเป็นหนังสือก่อนการพิมพ์ (ยังไม่ใช่การจองหนังสือนะคะ) เพื่อดูว่าได้จำนวนเล่มมีคนสนใจมากน้อยแค่ไหนค่ะ หากมีความคืบหน้า จะแจ้งให้ทราบนะคะ
คุณ Phoenixorus: คนเขียนก็ชอบคำนี้เหมือนกันค่ะ มันได้อารมณ์แบบแฟนตาซีไทยร่วมสมัยดีเนาะ
คุณ Psycho man: นานๆ ทีเจอนักอ่านขู่สักคนแฮะ สำหรับอารมิต เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ผลสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร อีกไม่นานแล้วค่ะ
ขอบคุณสำหรับผู้ให้ถูกใจนะคะ: คุณ CAN LIVE, คุณ Phoenixorus , คุณ zoi , และคุณ ตะวันรัตติกาล ค่ะ
ความเดิมจากตอนที่แล้ว
บุษบรรณยินยอนเสี่ยงอันตรายกลับไปที่เกาะแห่งความตายเพื่อช่วยอารมัน เมื่อมาลาเห็นความตั้งใจจริงของเธอจึงตกลงให้ความร่วมมือโดยส่งเธอไปยังตรุเทพเจ้าพร้อมกำชับว่าให้เธอหาทางออกและพาเทพเวนไตยออกมาให้ได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม มิฉะนั้นทั้งสองจะติดอยู่ในตรุเทพเจ้าตลอดกาล
44. ปีกหัก (2/2)
ทันทีที่เธอตัดสินใจ สิ่งรอบกายทั้งหมดทั้งถ้ำใต้ดิน เวียงน้ำพิษ กระทั่งกระแสธารน้ำที่เย็นเฉียบก็วูบหาย โสตประสาทดับชั่วคราว บุษบรรณรู้สึกเหมือนทั้งร่างถูกพละกำลังมหาศาลนำไปสู่ปลายทางออกอย่างรวดเร็ว เวทเบิกพสุธาของชาวนาคานั้นได้ผลรุนแรงกว่าชาวเทวะหลายเท่านัก
บุษบรรณกระเด็นกลิ้งออกมาจากปากโพรงอย่างแรง ยังดีที่เทพีแห่งอุตราทิศเป็นมือปราบเทวะจึงยังคงสติไว้ได้และไม่ได้ทำให้ตัวเองต้องได้รับบาดเจ็บมากนัก
ครั้นทรงกายได้แล้วบุษบรรณจึงเงยหน้าขึ้นมองไปรอบกาย ข้างใต้นั้นไม่เหมือนที่ที่จะมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ได้เลย..
.
ยังพอมีแสงอยู่บ้างในแดนมัตตัยนี้ คราแรกเธอขนลุกเกรียวเพราะรู้สึกเหมือนกับกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งร้างหลังสงคราม ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยไอความตาย รอบตัวมีแต่ซากปรักหักพังที่ไร้ชีวิต เสาศิลาเหลือแต่เพียงฐาน ทั้งเมืองคล้ายถูกพลังมหาศาลทำให้พังพินาศในชั่วพริบตา ดวงตาของบุษบรรณจับความเคลื่อนไหวได้รางๆ แต่เมื่อเขม้นมองจริงๆ กลับมองไม่เห็นสิ่งใด
เทพีแห่งอุตราทิศหยัดกายลุกขึ้น ในใจรู้สึกวิตกกังวล ข้าจะตามหาอารมันได้อย่างไรในสถานที่รกร้างเช่นนี้...ทันใดนั้นบุษบรรณเพิ่งนึกออกและประหลาดใจว่าเนื้อตัวแห้งสนิท นอกจากนี้เธอยังเห็นบางสิ่งเรืองแสงในความมืดเรื่อๆ จึงหยิบมันออกมาจากที่เก็บข้างเข็มขัด
มันคือกริชเวนไตยอีกเล่มหนึ่งของอารมันที่คืนให้เธอก่อนที่เขาจะตัดสินใจไปแดนมัตตัย ไม่มีใครรู้กรรมวิธีการผสมโลหะของกริชเวนไตยจนทำให้มันมีลวดลายเฉพาะตัวที่ทำให้แต่ละเล่มไม่เหมือนกัน แต่อารมันเคยบอกกับเธอว่ากริชทั้งสองตีขึ้นจากเบ้าหลอมเดียวกันและอาจมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงราวกับคู่พี่น้อง บัดนี้บุษบรรณแน่ใจในส่วนผสมอย่างหนึ่งของกริชเวนไตยที่ทำให้มันมีมูลค่ามหาศาลแล้ว หนึ่งในนั้นต้องเป็นมุกโบกขรณีที่เธอเคยใช้มันตรวจสอบจนพบกายแปลงของจอมเทพศิลาลัย และมันยังมีคุณลักษณะเฉพาะอีกอย่างหนึ่งคือ เวลาที่มันอยู่ใกล้กันจะเรืองแสงจนสังเกตได้ ในยามปรกติพวกมันคงถูกโลหะมนตราอื่นๆ กลืนคุณสมบัติข้อนี้ไปหมด แต่ในแดนไร้แสงเช่นนี้พวกมันกลับยังคงแสดงพลังแฝงได้ อาจเป็นเพราะต้นกำเนิดของมุกชนิดนี้เองอยู่ใต้บาดาลที่ไร้แสงเหมือนกัน
ยอดเยี่ยมจริงๆ...บุษบรรณคิด
จากนั้นเทพีภูระจึงถือกริชของเธอไว้ในมือข้างที่ถนัดแล้วลองใช้มันวาดไปรอบตัวจนถึงบริเวณหนึ่งซึ่งใบมีดเรืองแสงสว่างมากกว่าที่ใด เธอออกวิ่งไปตามทิศทางนั้นทันที
ทั่วบริเวณมีแต่ซากปรักหักพัง เศษกระดูกกองเกลื่อนกลาด ตลอดเส้นทางมีร่างวิญญาณที่หลบซุ่มซ่อนอยู่ในเงามืด ทว่าพวกมันทุกตนต่างรีบหลบให้พ้นทางเมื่อเห็นแสงสว่างที่เกิดจากกริชเวนไตย บุษบรรณมองไปรอบตัวอย่างวิตกกังวล
เขายังจะปลอดภัยดีหรือ กริชเวนไตยของอารมันจะสามารถคุ้มครองเขาได้เหมือนของเธอหรือ
ขอให้ท่านปลอดภัย ไม่มีใครสมควรมาสิ้นชีพ ไม่ว่าจะเป็นอารมันแห่งเวนไตย หรือรามิตแห่งจันทรคราส
เมื่อนั้นความทรงจำไหลบ่าท่วมท้น เธอจำได้แล้ว...เขาคือผู้เดียวกับที่กลับมาหาเธอหลังจากที่ฟื้นจากไข้พิษไม่นาน แต่เธอกลับพานคิดว่าเป็นรามิตมาให้กำลังใจเธอในความฝัน จากนั้นหวนนึกเหตุการณ์ครั้งเมื่ออยู่หุบเงาซึ่งบัดนี้เธอไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมถึงคิดว่าอารมันแท้จริงคือรามิต
ข้าไม่อาจนำศิษย์เอกจอมเทพกลับมา เพราะอาจจะมีใครคนหนึ่งต้องตกอยู่ในอันตรายจนถึงชีวิตแทนนะขอรับ
ถึงตอนนี้บุษบรรณจึงเพิ่งเข้าใจ ใครคนหนึ่งที่เขาอ้างถึง คือตัวของเขาเอง....
ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยท่าน หากท่านไม่รอดไปพบหน้าพี่ชาย ข้าคงกลับไปไม่ได้ ท่านมือปราบ...จนป่านนี้แล้ว ท่านยังจำข้าไม่ได้อีกหรือ
โปรดจำข้าในฐานะอารมัน....
เจ้าบ้า! เจ้ารู้ดีว่าเจ้าอาจจะไม่รอดจากแดนมัตตัย เจ้าบ้านั่นกระทั่งเวลาเผชิญหน้าอันตราย ยังยิ้มเล่นคำวางท่าอยู่ได้ ทำได้อย่างไรกัน ขณะที่เธอร้อนใจแทบจะตายแล้ว
ขณะที่วิ่งฝ่าความมืดไปเบื้องหน้า บุษบรรณไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำตาไหลออกมาเมื่อไร และแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่สามารถตอบได้ว่าความรู้สึกเจ็บปวดนี้เกิดขึ้นเมื่อไร หากเป็นตัวท่านเองเล่า ท่านจะตัดสินใจอย่างไร เสียงของมาลาย้อนถาม ท่านจะสังหารเทพเวนไตยเพื่อให้ได้พบสหายหรือจะยอมสูญเสียศิษย์เอกจอมเทพไปตลอดกาลเพื่อให้อารมันคงอยู่ต่อไปได้
ข้าไม่รู้ บุษบรรณตะโกนตอบในใจ ข้าไม่รู้จริงๆ