เรื่อง : ชีวิตเปื้อนสุข (ส่วนที่๒)
โดย : ละเว้
ตอนอายุสิบเอ็ดขวบคือช่วงที่ผมต้องทำความเข้าใจกับความสับสนอีกครั้ง เมื่อเราต้องมาพัวพันกับทหารเวียดนามที่เข้ามาตีพวกอ็องการ์จนแตกพ่าย พวกเขาพาเราอพยพออกจากหมู่บ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงจากการที่พวกอ็องการ์ชอบกลับเข้ามาปล้นเสบียงอาหาร ชาวบ้านไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องทิ้งหมู่บ้านตามทหารเวียดนามออกมา พวกเขาบอกว่าไม่นานหรอก เมื่อทุกอย่างคลี่คลายทุกฅนจะได้กลับมาที่หมู่บ้านแน่นอน แต่หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยได้กลับบ้านเกิดอีกเลย
ผมกับไอ้มณ เราเดินคู่กันมาในขบวนดี ๆ จู่ๆ มันก็ผงะล้มลงพร้อมกับเสียงปืนที่ดังมาจากป่า
“มันตายแล้ว” ชาวบ้านที่ถึงตัวมันก่อนร้องบอก ขณะที่ผมยังคงตะลึง ไม่ทันขยับตัวด้วยซ้ำกับเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันตรงหน้า เราไม่รู้ว่าลูกปืนที่พรากชีวิตของมันลอยมาจากไหน ดวงตาเบิกโพลงที่มองมายังผมนั้นเป็นการบอกลาซึ่งยังจำได้ไม่ลืม
“เราเป็นทหารกันไหม”
ผมนึกถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของมัน
“เราตัวเล็กเกินไป” ผมแย้ง
“ไม่เล็กหรอก ใครอยากเป็นก็เป็นได้ทั้งนั้นแหละ”
“ทำไมถึงอยากเป็นทหาร” ผมถามกลับไป
“ข้าอยากกินข้าวสวยเป็นเม็ด ๆ บ้าง” มันตอบนิ่งเหมือนเคย ผมหันมองใบหน้าผอมซูบนั้น ตลอดสี่ปีมานี้เราอดอยากกันจริง ๆ และจริงอยู่ที่พวกทหารจะได้กินข้าวสวยเป็นเม็ด แต่พวกนั้นก็ต้องจับปืนรบกับศัตรู โดยเฉพาะพวกเวียดนามที่อ็องการ์บอกว่าชั่วร้ายที่สุด พวกเขาจึงสมควรได้รับการกินอยู่ดีกว่าเรา
ผมยังไม่ทันได้ให้คำตอบกับมันพวกทหารเวียดนามก็บุกเข้ามาเสียก่อน
.
คุณครูจากไปแล้วขณะเพื่อน ๆ ต่างเตรียมตัวกลับบ้านกัน ผมยังคงยืนมองกองกระดูกพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย...
หลังจากตามทหารเวียดนามออกมาแล้วเราก็ไม่ต้องเป็นพวกใคร เรามีอิสระแล้ว แต่ยังคงต้องสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณค่ายพักของพวกเวียดนามเพื่อความปลอดภัย เราสามารถหากินกันเองท่ามกลางความแร้นแค้นได้ และของที่หาได้ก็ไม่ต้องเข้ากองกลางอีกต่อไป ชีวิตของพวกเรานั้นถ้าจะว่าไปแล้วต้องบอกว่าดีกว่าที่ผ่านมามากเลยทีเดียว ผมอดคิดถึงไอ้มณอีกไม่ได้ มันตายเร็วเกินไปจึงไม่ทันได้กินข้าวสวยเป็นเม็ด ๆ หากมันยังอยู่ผมคงให้แม่แบ่งข้าวสารให้มันบ้าง แม่ของผมพอพูดเวียดนามได้จึงรับหน้าที่คอยหาซื้อเสบียงให้พวกเขา นั่นทำให้เรามีข้าวสารมาหุงกินกัน ต่างจากเด็กอื่นบางฅนที่เมื่ออ็องการ์แตกแล้ว พวกเขาก็ไม่มีกระทั่งข้าวต้มเละๆ สักถ้วย พ่อแม่ของพวกเขาต้องพาลูกออกหาขุดกลอยตามป่ามากิน ซึ่งบางทีก็หมดแรงตายก่อนจะได้เจอ
.
บ่ายคล้อยมากแล้ว ผมหันหลังให้กองกระดูกในเรือนยาวเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ความทุกข์ยากมันผ่านไปแล้ว ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว แม้เสียงปืนเสียงสู้รบจะยังคงเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและรอบด้านก็ตามที แต่วันนี้ผมไม่อดอยากเหมือนก่อนเพราะมีข้าวกินอย่างที่บอก เรามีน้ำปลาร้าเหลือเฟือ และหากวันไหนที่ผมหาปูปลาหากบเขียดมาได้ นั่นหมายความว่าเราจะมีเนื้อเป็นชิ้นกินกัน โดยไม่ต้องแอบซ่อนกบเขียดปูปลาที่หาได้เหมือนตอนอยู่กับพวกอ็องการ์อีกต่อไป และตอนนี้ผมมีอิสระพอที่จะเดินเท้าเปล่าบนเส้นทางหลายกิโล เพื่อไปกลับโรงเรียนซึ่งอยู่ฅนละหมู่บ้านท่ามกลางควันสงครามนี้ได้
ที่สำคัญก็คือผมได้เรียนต่อหลังจากหยุดมานานหลายปี และยังได้ฟังนิทานที่แม่หยุดเล่ามาหลายปีแล้วด้วยเช่นกัน ผมว่าชีวิตของผมมีความสุขทีเดียวกับความเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้
เพียงแต่ว่าผมยังคงเป็นเด็กเท่านั้น
‘หลังจากใส่ก้อนหินลงไปทีละก้อน ทีละก้อนแล้ว น้ำในเหยือกนั้นก็สูงขึ้นมา อีกามันก็ดื่มน้ำแก้กระหายได้ในที่สุด’
ผมยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนิทานของแม่จบลง.
ชีวิตเปื้อนสุข (ส่วนที่๒)
เรื่อง : ชีวิตเปื้อนสุข (ส่วนที่๒)
โดย : ละเว้
ตอนอายุสิบเอ็ดขวบคือช่วงที่ผมต้องทำความเข้าใจกับความสับสนอีกครั้ง เมื่อเราต้องมาพัวพันกับทหารเวียดนามที่เข้ามาตีพวกอ็องการ์จนแตกพ่าย พวกเขาพาเราอพยพออกจากหมู่บ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงจากการที่พวกอ็องการ์ชอบกลับเข้ามาปล้นเสบียงอาหาร ชาวบ้านไม่มีทางเลือกมากนักจึงต้องทิ้งหมู่บ้านตามทหารเวียดนามออกมา พวกเขาบอกว่าไม่นานหรอก เมื่อทุกอย่างคลี่คลายทุกฅนจะได้กลับมาที่หมู่บ้านแน่นอน แต่หลังจากวันนั้นผมก็ไม่เคยได้กลับบ้านเกิดอีกเลย
ผมกับไอ้มณ เราเดินคู่กันมาในขบวนดี ๆ จู่ๆ มันก็ผงะล้มลงพร้อมกับเสียงปืนที่ดังมาจากป่า
“มันตายแล้ว” ชาวบ้านที่ถึงตัวมันก่อนร้องบอก ขณะที่ผมยังคงตะลึง ไม่ทันขยับตัวด้วยซ้ำกับเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันตรงหน้า เราไม่รู้ว่าลูกปืนที่พรากชีวิตของมันลอยมาจากไหน ดวงตาเบิกโพลงที่มองมายังผมนั้นเป็นการบอกลาซึ่งยังจำได้ไม่ลืม
“เราเป็นทหารกันไหม”
ผมนึกถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของมัน
“เราตัวเล็กเกินไป” ผมแย้ง
“ไม่เล็กหรอก ใครอยากเป็นก็เป็นได้ทั้งนั้นแหละ”
“ทำไมถึงอยากเป็นทหาร” ผมถามกลับไป
“ข้าอยากกินข้าวสวยเป็นเม็ด ๆ บ้าง” มันตอบนิ่งเหมือนเคย ผมหันมองใบหน้าผอมซูบนั้น ตลอดสี่ปีมานี้เราอดอยากกันจริง ๆ และจริงอยู่ที่พวกทหารจะได้กินข้าวสวยเป็นเม็ด แต่พวกนั้นก็ต้องจับปืนรบกับศัตรู โดยเฉพาะพวกเวียดนามที่อ็องการ์บอกว่าชั่วร้ายที่สุด พวกเขาจึงสมควรได้รับการกินอยู่ดีกว่าเรา
ผมยังไม่ทันได้ให้คำตอบกับมันพวกทหารเวียดนามก็บุกเข้ามาเสียก่อน
.
คุณครูจากไปแล้วขณะเพื่อน ๆ ต่างเตรียมตัวกลับบ้านกัน ผมยังคงยืนมองกองกระดูกพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย...
หลังจากตามทหารเวียดนามออกมาแล้วเราก็ไม่ต้องเป็นพวกใคร เรามีอิสระแล้ว แต่ยังคงต้องสร้างที่อยู่อาศัยบริเวณค่ายพักของพวกเวียดนามเพื่อความปลอดภัย เราสามารถหากินกันเองท่ามกลางความแร้นแค้นได้ และของที่หาได้ก็ไม่ต้องเข้ากองกลางอีกต่อไป ชีวิตของพวกเรานั้นถ้าจะว่าไปแล้วต้องบอกว่าดีกว่าที่ผ่านมามากเลยทีเดียว ผมอดคิดถึงไอ้มณอีกไม่ได้ มันตายเร็วเกินไปจึงไม่ทันได้กินข้าวสวยเป็นเม็ด ๆ หากมันยังอยู่ผมคงให้แม่แบ่งข้าวสารให้มันบ้าง แม่ของผมพอพูดเวียดนามได้จึงรับหน้าที่คอยหาซื้อเสบียงให้พวกเขา นั่นทำให้เรามีข้าวสารมาหุงกินกัน ต่างจากเด็กอื่นบางฅนที่เมื่ออ็องการ์แตกแล้ว พวกเขาก็ไม่มีกระทั่งข้าวต้มเละๆ สักถ้วย พ่อแม่ของพวกเขาต้องพาลูกออกหาขุดกลอยตามป่ามากิน ซึ่งบางทีก็หมดแรงตายก่อนจะได้เจอ
.
บ่ายคล้อยมากแล้ว ผมหันหลังให้กองกระดูกในเรือนยาวเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ความทุกข์ยากมันผ่านไปแล้ว ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว แม้เสียงปืนเสียงสู้รบจะยังคงเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาและรอบด้านก็ตามที แต่วันนี้ผมไม่อดอยากเหมือนก่อนเพราะมีข้าวกินอย่างที่บอก เรามีน้ำปลาร้าเหลือเฟือ และหากวันไหนที่ผมหาปูปลาหากบเขียดมาได้ นั่นหมายความว่าเราจะมีเนื้อเป็นชิ้นกินกัน โดยไม่ต้องแอบซ่อนกบเขียดปูปลาที่หาได้เหมือนตอนอยู่กับพวกอ็องการ์อีกต่อไป และตอนนี้ผมมีอิสระพอที่จะเดินเท้าเปล่าบนเส้นทางหลายกิโล เพื่อไปกลับโรงเรียนซึ่งอยู่ฅนละหมู่บ้านท่ามกลางควันสงครามนี้ได้
ที่สำคัญก็คือผมได้เรียนต่อหลังจากหยุดมานานหลายปี และยังได้ฟังนิทานที่แม่หยุดเล่ามาหลายปีแล้วด้วยเช่นกัน ผมว่าชีวิตของผมมีความสุขทีเดียวกับความเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้
เพียงแต่ว่าผมยังคงเป็นเด็กเท่านั้น
‘หลังจากใส่ก้อนหินลงไปทีละก้อน ทีละก้อนแล้ว น้ำในเหยือกนั้นก็สูงขึ้นมา อีกามันก็ดื่มน้ำแก้กระหายได้ในที่สุด’
ผมยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อนิทานของแม่จบลง.