จ้าวจตุรทิศ ภาค จัณฑวาตา ตอนที่ 39: รากเขาสุเมรุ (3/3)

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 39: รากเขาสุเมรุ (2/3) http://ppantip.com/topic/31385683

คุยกันก่อนนะคะ
ก่อนอื่นต้องฮูเรดังๆ ในนักกีฬาเราในซีเกมส์ก่อน (แม้บอลชายสนามใหญ่จะเล่นกันสุดหนืดดดด....แบบอิตาลีเรียกพี่ก็เอาน่ะ แต่ต้องชมว่านักบอลชุดนี้ควบคุมอารมณ์ในเกมส์ได้ดีจริงๆ)

คุณ Psycho man:  นั่นแสดงว่าเธอเริ่มเป็นตัวเอกแล้วค่ะ (^^”)

คุณ ตะวันรัตติกาล: คุณน้องมาทางถูกทางแล้วนะคะ เพราะ key อยู่ที่ตอนที่รามิตกล่าวไว้จริงๆ ค่ะ (เก่งจังวุ้ย)

คุณ 709113: หวังว่ามือคงไม่เจ็บมาเท่าไรนะคะ ขอบคุณมากค่ะที่ยังติดตาม

ขอบคุณสำหรับผู้ให้ถูกใจนะคะ:  คุณ ตะวันรัตติกาล, คุณ Psycho man, คุณ ลูนาติก และ คุณ zoi ค่ะ


ความเดิมจากตอนที่แล้ว

ในที่สุดบุษบรรณก็สามารถตามหารามิตจนพบในสถานที่คุมขังบนเกาะแห่งความตาย แม้ตอนแรกเธอจะสงสัยว่าเหตุใดรามิตถึงไม่เปลี่ยนไปจากห้าปีก่อนเลย แต่เมื่อเห็นว่าสหายโดนทรมานอย่างไรในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเธอก็สิ้นความสงสัยและตั้งใจจะช่วยรามิตออกไปให้เร็วที่สุด แต่รามิตกลับบอกว่าให้เธอสังหารเขาเสียดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ในสภาพเช่นนี้






39. รากเขาสุเมรุ (3/3)


บุษบรรณสะดุ้งตื่นอีกครั้ง สติทั้งมวลกลับมาสู่ภาวะปรกติ

เธอลุกนั่งในทันใด และเห็นสะเก็ดไฟสีขาวอมทองเต้นระยับอยู่ตรงหน้า หญิงสาวเอื้อมมือไปสัมผัสกับกลุ่มแสงสีทองอย่างเบามือ ราวกับรู้ว่ามันจะไม่ทำร้ายเธอแน่

เจ้าช่วยข้าอยู่ใช่ไหม รามิต

ธุลีเวทสีทองลอยอ้อยอิ่งอยู่เพียงครู่ ก่อนที่มันจะสลายไปในอากาศ

แต่แล้วเมื่อเธอกำลังจะลุกเดิน กลับรู้สึกว่าพื้นที่ยืนอยู่หมุนติ้วจนไม่อาจทรงตัวอยู่ได้นาน

อาคมพิษ...เธอบอกตัวเอง

จากนั้นสิ่งแรกที่บุษบรรณทำคือรวบรวมสติแล้วลองร่ายเวทแม้จะรู้ว่าไม่ได้ผลก็ตาม เธอลืมตาขึ้นแล้วถอนหายใจยาว เทพีภูระมองรอบห้อง รวบรวมกำลังอีกครั้ง ก้าวลงจากเตียง เท้าเปลือยสัมผัสกับพื้นหินที่เย็นยะเยือกจนแทบสะดุ้ง บุษบรรณเดินสำรวจเพื่อหาหนทางหนีออกไปจากห้องทึบอย่างเงียบกริบ ทว่าภายในห้องนั้นแทบไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์เลย มันแทบว่างเปล่า เธอพบเพียงเชิงเทียนหักๆ ที่กลิ้งอยู่บนพื้น เศษกระเบื้องที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ห้องนั้นไม่มีหน้าต่างหรือช่องทางเปิดใด ทางเดียวที่สามารถออกไปได้คือประตูที่ปิดสนิท และแม้ว่าบุษบรรณจะไม่ได้ทดลองขยับมันแต่เธอก็แน่ใจว่ามันคงลงสลักดาลจากภายนอกอย่างแน่นหนาทีเดียว

ทันใดนั้นแสงไฟที่ลอดใต้ช่องประตูก็บังเกิดเงาร่างหนึ่งมายืนทับอยู่หน้าห้อง บุษบรรณหันไปเห็นเข้าพอดี เธอตัดสินใจเอาหมอนและผ้าห่มม้วนกองเข้าด้วยกัน เพื่อทำทีเป็นว่าเธอยังคงนอนไม่ได้สติจากมนตร์วิปลาสนิทรา จากนั้นหยิบเศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่ตกแตกอยู่บนพื้นมาถือไว้ในมือ แล้วแนบร่างของตนเข้ากับผนังข้างประตู

เสียงสลักดาลถูกปลดดังกริ๊ก คนที่อยู่เบื้องนอกก้าวเข้ามาในห้องโดยถือเชิงเทียนเข้ามาก่อน

แสงสว่างนั้นทำให้บุษบรรณที่ลอบมองอยู่รู้ว่าผู้ที่เข้ามาเป็นผู้หญิง...ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาแล้วปิดประตูตามหลัง เธอวางถ้วยยาและห่อของในมือบนโต๊ะใกล้ตัวก่อนจะหันไปทางเตียงนอน บุษบรรณคอยทีอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเข้ามาเพียงลำพัง เธอจึงเข้าจู่โจมแบบประชิด หญิงสาวผลักร่างของฝ่ายตรงข้ามจากทางด้านหลังจนเธอล้มลงขวางเตียงด้วยไม่ทันได้ระวังตัว แล้วรวบจับข้อมือของผู้หญิงคนนั้นบิดไว้ด้านหลัง บุษบรรณเพิ่งสังเกตว่าแขนของหญิงผู้นั้นเหมือนได้รับบาดเจ็บเพราะมีผ้าพันแผลพันเอาไว้ เชิงเทียนที่ถือมาตกพื้น ดับสนิท บุษบรรณจ่อปลายคมของเศษกระเบื้องเข้าที่ซอกคอฝ่ายตรงข้าม

“ห้ามส่งเสียงเชียวนะ” หญิงสาวกระซิบ

ผู้หญิงคนนั้นไม่ขัดขืนหรือตื่นตกใจกลัวแต่อย่างใด เธอตอบเสียงเรียบ “อย่าตกใจกลัวไปเลย ท่านบุษบามินตรา ข้าไม่ได้มีเจตนาทำร้ายท่าน ความจริงแล้วข้ามาเพราะช่วยท่านต่างหาก”

“อย่ามาโกหก”

“ข้าไม่ได้โกหก โอสถนั่นความจริงแล้วข้าปรุงมาเพื่อให้ท่านพ้นจากมนตร์นิทราของนายท่าน แต่ดูเหมือนคงไม่จำเป็นแล้วกระมัง” บุษบรรณเหลือบไปมองถ้วยยาที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่เธอยังไม่วางใจ

“เหตุใดถึงอยากช่วยข้า”

ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะน้อยๆ “ท่านบุษบามินตรา...แม้ท่านจะสามารถรอดพ้นจากนิทราวิปลาสได้ แต่เวทมนตราของท่านก็ยังไม่คืนมาเพราะอาคมพิษของเกาะแห่งความตาย ข้าจะบอกความจริงว่าแท้จริงแล้วข้าเป็นชลนาคานามว่ามาลา ข้ารับใช้ของท่านไมยราญ และร่างนี้ก็เป็นเพียงร่างแปลงเท่านั้น หากข้าคืนร่างเมื่อใด ท่านในสภาพนี้สู้ข้าไม่ได้หรอก”

เมื่อใช้สติคิดใคร่ครวญในที่สุดบุษบรรณจึงยอมปล่อยมือจากมาลา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่