จ้าวจตุรทิศ ภาค จัณฑวาตา ตอนที่ 39: รากเขาสุเมรุ (1/4)

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 38: บุกป้อมนักล่า (3/3) http://ppantip.com/topic/31317455

คุยกันก่อนนะคะ

คุณ Psycho man: คุณเป็นแฟนซีรีย์ The Walking Dead หรือเปล่าคะ? เห็นรูปปลากรอบคราวที่แล้วนี่ ใช้ได้เลย

คุณ Pollux^.^: คิดถึงจังไม่ได้คุยกันตั้งนานเนอะ

คุณ 709113: ขอบคุณมากค่ะยังกรุณาแวะมาคุยค่ะ

และขอบคุณผู้กดถูกใจค่ะ:  คุณ ลูนาติก, คุณ Psycho man, คุณ Phoenixorus, คุณ ตะวันรัตติกาล , คุณ สมาชิกหมายเลข 1137965, และคุณ สมาชิกหมายเลข 1049340 ค่ะ

ปล. เมื่อวานนี้พยายามโพสอยู่หลายครั้งแต่เพราะสัญญาณไม่เสถียรมากๆ เดี๋ยวขาดเดี๋ยวเต็ม (ไม่ได้หมายถึงสติสตังผู้เขียนนะคะ) แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำได้ วันนี้เข้ามาในเมืองได้แล้วเลยไม่มีปัญหา (มั้ง)


ความเดิมจากตอนที่แล้ว

อารมันได้พบกับมัสลินที่หอเวชศาสตร์ เขากำลังจะถามถึงบุษบรรณที่หายไปก็พอดีกับหัสรังสีตามมาถึงพอดี ทั้งสองกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยแต่บังสูรย์ใช้ความอาวุโสปรามเอาไว้ทันเพราะเขาเองก็ต้องการรู้ว่าเหตุใดน้องสาวจึงหายตัวไปในช่วงเวลาสำคัญ ในตอนนั้นเองมัสลินเพิ่งจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ และบอกว่าที่บุษบรรณหายไปนั้นเพราะต้องการสลับตัวกับเธอก็เป็นได้






39. รากเขาสุเมรุ (1/3)


บุษบรรณรู้สึกตัวเมื่อโสตประสาทได้ยินเสียงพายกระทบน้ำดังเป็นจังหวะช้าๆ และรู้สึกว่าพื้นที่นอนอยู่โคลงเคลงเหมือนอยู่บนเรือ เทพีแห่งอุตราทิศลืมตาขึ้นและพยายามขยับตัว เมื่อนั้นเธอจึงรู้ว่าข้อมือทั้งสองถูกพันธนาการไว้ด้วยเชือกทว่าไม่แน่นหนาอะไรเลย บุษบรรณคาดว่าผู้ที่จับตัวมาคงเห็นว่ามัสลินเป็นเพียงเทพเวชรักษ์ที่ไม่มีพละเวทเพื่อไว้ใช้ต่อสู้มากมายนัก จึงไม่อยากทำอะไรรุนแรง

เมื่อเห็นว่าผู้โดยสารจำเป็นของตนรู้สึกตัวแล้ว ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังจึงเอ่ยเบาๆ

“เจ้าฟื้นได้เร็วกว่าเทพีสามัญทั่วไป มัสลินแห่งหอบันไดร้อยขั้น...เอ..หรือว่าข้าควรเรียกเจ้าว่า มัสลินแห่งวังตะวันออกดีเล่า”

บุษบรรณขยับลุกได้ด้วยตนเอง เธอหันขวับไปมองด้านหลังว่าเป็นผู้ใดที่กำลังสนทนากับเธอ

ตลอดมาเธอคิดว่าบังสูรย์เป็นผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่และแข็งแกร่งที่สุดในบุราทิศ แต่ในวันนี้บุษบรรณตระหนักแล้วว่าเธอคิดผิด ชายที่นั่งกอดอกอยู่ด้านหลังมีผิวกายเข้ม ร่างกายใหญ่หนากว่าชาวเทวะทั่วไปเกือบสองเท่า เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาวง่ายๆ คล้ายชุดชาวบ้านสามัญ มีเพียงสายสังวาลสีเงินเส้นโตหลายเส้นคล้องคออยู่บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงมีตำแหน่งสำคัญ ดวงตาสีแดงสะท้อนแสงในความมืดคล้ายสัตว์น้ำโบราณ ดวงตานั้นเองทำให้ผู้มองรู้สึกถึงความเป็นเดรัจฉาน ทว่าบุษบรรณยังสามารถโต้ตอบไปด้วยน้ำเสียงปรกติ

“ข้า...ไม่ได้เป็นของใครหรือผู้ใดทั้งนั้น ข้ามีชีวิตของข้าเอง”

คำตอบนั้นทำเอาชายผิวดำหัวเราะลั่นคุ้งน้ำ

“สุงสุมารฟังสิ!” ว่าแล้วหันไปคุยกับผู้คัดท้ายเรือร่างโย่ง “นี่เราเจอกับสตรีใจเด็ดเข้าให้แล้ว ข้าชอบจริงๆ” จากนั้นดูเหมือนเขาเริ่มที่จะมอง ‘เห็น’ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจัง จึงกล่าวช้าๆ

“เจ้าเจ็บข้อมือหรือไม่ ข้าบอกให้พวกมันมัดหลวมๆ แล้ว แต่...ข้าคิดว่ามาถึงที่นี่แล้ว คงไม่เป็นไร” ไม่พูดเปล่า ชายผิวดำรวบข้อมือทั้งสองข้างของบุษบรรณด้วยมือเดียวอย่างง่ายดาย ในขณะที่อีกมือหนึ่งแก้ปมเชือกให้

“ไม่กลัวว่าข้าจะหนีหรือ”

ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบ เพียงแต่เหลือบมองหญิงสาวครู่หนึ่งแล้วโยนเชือกที่เคยพันธนาการข้อมือบุษบรรณไว้ออกไปนอกลำเรือ ทันทีที่มันสัมผัสถูกผิวน้ำ กระแสน้ำบริเวณนั้นพลันบังเกิดความปั่นป่วนด้วยฝูงสัตว์น้ำที่มีกระโดงตะปุ่มตะป่ำและบางตัวก็มีเกล็ดเหลื่อมซ้อนเป็นสีเขียวสลับดำ

“ท้องน้ำบริเวณนี้หากมีสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เรือของสุงสุมารสัมผัสผืนน้ำล่ะก็คงถูกขย้ำไม่เหลือซาก” เขาอธิบาย มือข้างหนึ่งของเขายังคงจับข้อมือทั้งสองของบุษบรรณไว้แน่นคล้ายจงใจ

“หากเข้ามาใกล้ข้ามากกว่านี้ ข้าจะขย้ำจมูกของท่านไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงของท่านทึ้งอาหารแน่”

แม้จะรู้ว่าเป็นคำขู่  ชายร่างใหญ่ก็ยอมปล่อยข้อมือของหญิงสาวให้เป็นอิสระ และถอยออกมาพลางฮัมเพลงในคออย่างพออกพอใจ

“ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามานาน แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องหน้าตาสวยสดงดงามกับฝีมือในการปรุงโอสถของเจ้า แต่ไม่ยักรู้เลยว่าเจ้าจะมีใจที่หาญกล้าด้วย สาวน้อย บอกตามตรง ข้าประทับใจเป็นอย่างมาก น่าเสียดาย...ที่เจ้าเป็นแขกของเจ้าเกาะแห่งความตาย ไม่อย่างนั้น...”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่