เรื่อง : Dab neeg ตำนานอาถรรพ์
โดย : ละเว้
“แม่น้ำทุกสาย ป่าทุกป่า ล้วนมีที่มาและตำนานของมัน”
ร่างนั้นส่งเสียงราบเรียบ นิ่งสนิทกระทั่งเครื่องประดับเงินซึ่งห้อยระย้าบนหมวกและเสื้อที่มีลายปักสวยงามนั้น ดุจไร้ซึ่งการสั่นไหว กระโปรงจับจีบระบายดูขาวสะอาดตา
ใต้ต้นประดู่บนหินก้อนใหญ่ตรงลานโล่ง ร่างนั้นเหลือบมองหญิงผู้ก้มหน้ารับฟัง โดยรอบคือบ้านเรือนซึ่งปลูกสร้างอยู่เป็นกลุ่ม กระท่อมหลังเล็ก ๆ หลังคามุงหญ้า ถัดออกไปคือทุ่งบัวตองสีเหลืองสะพรั่ง คลุมพื้นที่ซึ่งลดระดับลงตามสภาพไหล่เขา
“นานมาแล้วใต้ต้นประดู่นี้ หญิงอาภัพฅนหนึ่งได้จบชีวิตของเธอที่นี่” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีก หญิงสาวตรงหน้าคงมีท่าทีดุจเดิม
.
สายลมหนาวแทรกผ่านร่องฝาฟากสับเข้ามาภายในกระท่อมหลังน้อย พร้อมบรรยากาศแห้งแล้งของคืนหนาวเย็น
“สองวันแล้วนะ ยังไม่มีข่าวเลย” หญิงชราเพียงพึมพำออกมาขณะเขี่ยกองไฟในเตา ส่งเสียงกระแอมไอออกพลางสุมฟืนเข้าไปใหม่ ไออุ่นแผ่กระจายท่ามกลางกลิ่นควันอบอวล
“นังลูกชั่ว” มันไม่รู้หรอกว่าจะทำให้พ่อแม่อับอายได้แค่ไหน” ลูกชายวัยกลางฅนของนางนั่งบนพื้นยกสูง พูดพลางรินเหล้าเข้าปาก ทำหน้าเหยเกก่อนวางท่าขึงขังขึ้นอีก
“ฅนแซ่เดียวกันจะแต่งกันได้ยังไง นังนี่มันงี่เง่าชะมัด” ยังคงระบายความขัดเคืองออกมา ขณะผู้เป็นเมียซึ่งอยู่อีกมุมได้แต่ชำเลืองมอง ทอดถอนใจพลางทิ่มเข็มปักผ้าในมือ
“เรื่องนั้นมันผ่านไปแล้ว เรื่องตอนนี้คืออาเหมยไปอยู่ไหนนี่สิ” หญิงชราเอ่ยเหมือนปรามในที น้ำตาไหลซึมผ่านรอยเหี่ยวย่นสู่ข้างแก้ม แกยกฝ่ามือขึ้นปาดหน้าขณะนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา...
.
‘ทำไมฅนแซ่เดียวกันถึงรักกันไม่ได้’
คำถามของหลานสาวในวันนั้นทำเอาทุกฅนในบ้านพากันตกใจ และต่างโกรธแค้น สำหรับแกเองนั้นไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไรเมื่อจารีตที่มีมาเนิ่นนานถูกท้าทาย
‘ฅนแซ่เดียวกันใช่จะเป็นพี่น้องกันเสมอไปนี่นา ฅนต่างแซ่บางครั้งเป็นพี่น้องกันก็มี’
หญิงชรารู้ว่าบางทีคำพูดนั้นก็ดูมีเหตุผล แต่แกก็รู้ดีว่าบางสิ่งนั้นยากเกินเปลี่ยนแปลง
‘อย่างหนูกับน้องชายหากแต่งงานไป ลูกของเราสองคนก็ต้องใช้ฅนละแซ่ แล้วลูก ๆ ของพวกเราจะไม่ใช่พี่ไม่ใช่น้องกันอย่างนั้นรึ’
อดทอดถอนระบายลมหายใจออกมาอีกไม่ได้เมื่อคิดถึงตรงนี้ หากแต่กฎต้องเป็นกฎ
หญิงชรายกฝ่ามือปาดน้ำตาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงหลานสาวหัวดื้อผู้ยังคงยืนกรานแม้จะถูกเฆี่ยนตีอย่างไรก็ตาม
“อยู่ไหนก็ช่างมันปะไร ให้ไปอยู่สบายแล้วอยากหนีออกมาทำไม ดูซิว่ามันจะมีปัญญาไปได้แค่ไหน” ลูกชายของนางยังคงไม่วายแสดงความกราดเกรี้ยว “อีกอย่าง มันเป็นฅนสกุลลีไปแล้ว ก็ให้ฅนสกุลลีเขาจัดการกันเอง”
ผู้ชราคงได้แต่ทอดถอนใจขณะฟังลูกชายระบายอารมณ์ อดนึกถึงความผิดพลาดที่แกอาจมีส่วนร่วมไม่ได้
เสียงกรีดร้องขณะถูกคร่าดึงยังฝังแน่นกับความรู้สึก แววตาตระหนก สายตาอ้อนวอนขณะที่แกได้แต่ยืนมอง รู้ว่ามันคือจารีตประเพณี แต่บางครั้งการฉุดคร่าก็ทำให้สะเทือนใจได้เช่นกัน
.
‘เมื่อไม่มีทางเลือกเราก็ต้องตัดใจให้มันออกเรือน’
แกยังคงจำได้ดี วันที่ลูกชายปรึกษากับเมียในตอนนั้น
‘แกจะยอมให้สองฅนนั่นแต่งกันรึไง’
สะใภ้ของแกถามกลับด้วยความแปลกใจ
‘ไม่ใช่ ข้าจะให้ลูกเฒ่าซ่งมาฉุดมัน ไอ้ซางมันต้องการอีเหมยอยู่แล้ว’
จำได้ว่าอดตกใจไม่ได้กับคำพูดของลูกชาย
‘อันที่จริงประเพณีฉุดสาวนี่ผู้หญิงต้องเต็มใจด้วยนะ’
และจำได้ว่าค้านออกไปแบบนั้น
‘พ่อมันเต็มใจ ลูกมันจะขัดได้ยังไง’
หากลูกชายคงยืนกราน แกรวมถึงทุกฅนในบ้านคงได้แต่จำยอม
.
ยังจำภาพหลานสาวกรีดร้องต่อสู้ดิ้นรน ด้วยแววตาที่ทำแกให้รู้สึกผิดได้ทุกทีเมื่อนึกถึง มันเป็นประเพณี เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ต้องจัดการเรื่องคู่ครองให้ลูกสาว แกได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนั้น และปล่อยให้ลูกชายเฒ่าซ่งพาตัวอาเหมยไปในที่สุด
หากหลานสาวของแกไปอยู่ที่นั่นไม่นาน ไม่ทันจะได้จัดพิธีสู่ขอด้วยซ้ำ ฅนบ้านนั้นก็มาแจ้งข่าวว่าหลานของแกหนีออกมา นางไม่ได้กลับมาบ้าน อาจด้วยประเพณีที่ทำให้นางไม่อาจกลับมาได้ และไม่มีใครได้พบเห็นเธออีกเลย
.
“ที่ข้าอดห่วงไม่ได้ก็คือเรื่องป่านั่น” แหงนหน้ามองลูกชายขณะเอ่ยบอก
“ชาวบ้านมันก็เล่าลือกันไปอย่างนั้นเอง” ลูกชายยังคงวางท่าไม่รับรู้สิ่งใดขณะค่ำคืนหนาวเย็นยังคงคืบคลานไปอย่างเชื่องช้า หญิงชรารู้ดีว่าแกคงไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างแน่นอน
.
“จะว่าที่นี่ก่อกำเนิดขึ้นจากความเจ็บปวดของการถูกกดขี่ข่มแหงก็คงจะไม่ผิดนักหรอก”
ร่างนั้นยังคงส่งเสียงเรียบ ๆ ขณะหญิงสาวทอดตามองรอบกาย หน้าบ้านแต่ละหลังนั้น หญิงหลายฅนต่างทำหน้าที่ของตน บ้างปักผ้า บ้างนั่งจักสานซ่อมแซมเครื่องมือเครื่องใช้ หากต่างล้วนมีความเรียบเฉยบนใบหน้าซีดเซียวไม่ต่างกัน
.
ใบข้าวโพดส่ายไหวน้อยๆ ตามสายลม หญิงชราห่อตัวกอดอกจากความหนาวเย็น สายตาฝ้าฟางมองเลยทุ่งข้าวโพดสู่พื้นที่ซึ่งถูกปล่อยทิ้งเป็นป่า แกเดินฝ่าแถวข้าวโพดแห้ง ๆ นั้นเข้าไป
“อาเหมย... อาเหมย…” พยายามเปล่งเสียง แหบ ๆ เรียกหา มีเพียงสายลมที่ตอบรับ
‘มีฅนสงสัยว่าอาเหมยจะไปที่นั่น’
คำพูดของเพื่อนบ้านที่บอกอย่างเอาแน่ไม่ได้ทำให้แกต้องบากบั่นเข้ามาในเขตหวงห้าม ป่าลับแลแห่งนี้
.
“เจ้าจะไม่อาลัยที่ซึ่งจากมาอย่างนั้นรึ” ร่างนั้นยังคงส่งเสียงไร้ความรู้สึกดุจเดิม
“ข้าไม่อาจลืมทุกสิ่งได้ง่ายดายดอก” หญิงสาวก้มหน้าตอบ “หากอยู่ที่นั่นแล้วความเป็นหญิงจะทำให้เราไม่มีสิทธิ์เลือกทางเดิน ไม่มีสิทธิ์ขัดขืนใด”
‘นังแพศยา อย่านึกว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือข้าได้’
“ข้าคงจำได้ไม่ลืม ฝ่ามือกำยำนั่นปิดปากข้าไว้ โดยที่ร่างของมันยังคงคร่อมทับเพื่อป้องกันการขัดขืน มันตบตีทั้งก่นด่าสารพัด มือของมันบีบแน่นขยุ้มเกร็งจนเจ็บทั้งใบหน้า แม้จะพยายามดิ้นรน หากทำได้เพียงบิดตัวไปมา ข้าไม่อาจขัดขืนปรารถนาทารุณจากกายกำยำนั้นได้เลย เสื้อผ้าถูกกระชากดึงออกจากร่าง เสียงกระแอมไอดังจากมุมห้องนั้นมาจากสภาพอากาศ มากกว่าผู้ที่อยู่ตรงนั้นจะเกิดความสนใจ ข้ากรีดร้องออกไปเมื่อได้รับอิสระพอจะส่งเสียงได้ หากหลายฅนซึ่งขดตัวอยู่อีกมุม ก็แค่ดึงผ้าห่มคลุมหัว ปล่อยให้เสียงจากความเจ็บปวดของข้า กรีดก้องและจางหายไปในความมืดดำของค่ำคืนโหดร้ายเท่านั้น...”
.
“อาเหมย... อาเหมย...” หญิงชรายังคงเฝ้าเรียกหา หากมีเพียงสายลมสะบัดกิ่งไม้ไหวตอบรับดุจเดิม
หญิงสาวหันมองผู้ชราที่ยังคนเดินวนพลางส่งเสียงเรียก เธอได้แต่นิ่งมอง กระทั่งผู้เฒ่าหันหลังจากไปพร้อมแสงตะวันที่เริ่มลับขอบฟ้า
“ไม่ว่าอย่างไร ป่าลับแลแห่งนี้คือที่พักสุดท้ายของหญิงโชคร้ายทุกฅน”
ใบหน้าซีดขาวนั้นยังคงส่งเสียงด้วยสีหน้าเรียบเฉยดุจเดิม
หญิงสาวหันมองดวงตาขาวขุ่นนั้นด้วยแววตาที่ไม่ต่างกัน.
Dab neeg ตำนานอาถรรพ์
โดย : ละเว้
“แม่น้ำทุกสาย ป่าทุกป่า ล้วนมีที่มาและตำนานของมัน”
ร่างนั้นส่งเสียงราบเรียบ นิ่งสนิทกระทั่งเครื่องประดับเงินซึ่งห้อยระย้าบนหมวกและเสื้อที่มีลายปักสวยงามนั้น ดุจไร้ซึ่งการสั่นไหว กระโปรงจับจีบระบายดูขาวสะอาดตา
ใต้ต้นประดู่บนหินก้อนใหญ่ตรงลานโล่ง ร่างนั้นเหลือบมองหญิงผู้ก้มหน้ารับฟัง โดยรอบคือบ้านเรือนซึ่งปลูกสร้างอยู่เป็นกลุ่ม กระท่อมหลังเล็ก ๆ หลังคามุงหญ้า ถัดออกไปคือทุ่งบัวตองสีเหลืองสะพรั่ง คลุมพื้นที่ซึ่งลดระดับลงตามสภาพไหล่เขา
“นานมาแล้วใต้ต้นประดู่นี้ หญิงอาภัพฅนหนึ่งได้จบชีวิตของเธอที่นี่” เสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีก หญิงสาวตรงหน้าคงมีท่าทีดุจเดิม
.
สายลมหนาวแทรกผ่านร่องฝาฟากสับเข้ามาภายในกระท่อมหลังน้อย พร้อมบรรยากาศแห้งแล้งของคืนหนาวเย็น
“สองวันแล้วนะ ยังไม่มีข่าวเลย” หญิงชราเพียงพึมพำออกมาขณะเขี่ยกองไฟในเตา ส่งเสียงกระแอมไอออกพลางสุมฟืนเข้าไปใหม่ ไออุ่นแผ่กระจายท่ามกลางกลิ่นควันอบอวล
“นังลูกชั่ว” มันไม่รู้หรอกว่าจะทำให้พ่อแม่อับอายได้แค่ไหน” ลูกชายวัยกลางฅนของนางนั่งบนพื้นยกสูง พูดพลางรินเหล้าเข้าปาก ทำหน้าเหยเกก่อนวางท่าขึงขังขึ้นอีก
“ฅนแซ่เดียวกันจะแต่งกันได้ยังไง นังนี่มันงี่เง่าชะมัด” ยังคงระบายความขัดเคืองออกมา ขณะผู้เป็นเมียซึ่งอยู่อีกมุมได้แต่ชำเลืองมอง ทอดถอนใจพลางทิ่มเข็มปักผ้าในมือ
“เรื่องนั้นมันผ่านไปแล้ว เรื่องตอนนี้คืออาเหมยไปอยู่ไหนนี่สิ” หญิงชราเอ่ยเหมือนปรามในที น้ำตาไหลซึมผ่านรอยเหี่ยวย่นสู่ข้างแก้ม แกยกฝ่ามือขึ้นปาดหน้าขณะนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา...
.
‘ทำไมฅนแซ่เดียวกันถึงรักกันไม่ได้’
คำถามของหลานสาวในวันนั้นทำเอาทุกฅนในบ้านพากันตกใจ และต่างโกรธแค้น สำหรับแกเองนั้นไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไรเมื่อจารีตที่มีมาเนิ่นนานถูกท้าทาย
‘ฅนแซ่เดียวกันใช่จะเป็นพี่น้องกันเสมอไปนี่นา ฅนต่างแซ่บางครั้งเป็นพี่น้องกันก็มี’
หญิงชรารู้ว่าบางทีคำพูดนั้นก็ดูมีเหตุผล แต่แกก็รู้ดีว่าบางสิ่งนั้นยากเกินเปลี่ยนแปลง
‘อย่างหนูกับน้องชายหากแต่งงานไป ลูกของเราสองคนก็ต้องใช้ฅนละแซ่ แล้วลูก ๆ ของพวกเราจะไม่ใช่พี่ไม่ใช่น้องกันอย่างนั้นรึ’
อดทอดถอนระบายลมหายใจออกมาอีกไม่ได้เมื่อคิดถึงตรงนี้ หากแต่กฎต้องเป็นกฎ
หญิงชรายกฝ่ามือปาดน้ำตาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงหลานสาวหัวดื้อผู้ยังคงยืนกรานแม้จะถูกเฆี่ยนตีอย่างไรก็ตาม
“อยู่ไหนก็ช่างมันปะไร ให้ไปอยู่สบายแล้วอยากหนีออกมาทำไม ดูซิว่ามันจะมีปัญญาไปได้แค่ไหน” ลูกชายของนางยังคงไม่วายแสดงความกราดเกรี้ยว “อีกอย่าง มันเป็นฅนสกุลลีไปแล้ว ก็ให้ฅนสกุลลีเขาจัดการกันเอง”
ผู้ชราคงได้แต่ทอดถอนใจขณะฟังลูกชายระบายอารมณ์ อดนึกถึงความผิดพลาดที่แกอาจมีส่วนร่วมไม่ได้
เสียงกรีดร้องขณะถูกคร่าดึงยังฝังแน่นกับความรู้สึก แววตาตระหนก สายตาอ้อนวอนขณะที่แกได้แต่ยืนมอง รู้ว่ามันคือจารีตประเพณี แต่บางครั้งการฉุดคร่าก็ทำให้สะเทือนใจได้เช่นกัน
.
‘เมื่อไม่มีทางเลือกเราก็ต้องตัดใจให้มันออกเรือน’
แกยังคงจำได้ดี วันที่ลูกชายปรึกษากับเมียในตอนนั้น
‘แกจะยอมให้สองฅนนั่นแต่งกันรึไง’
สะใภ้ของแกถามกลับด้วยความแปลกใจ
‘ไม่ใช่ ข้าจะให้ลูกเฒ่าซ่งมาฉุดมัน ไอ้ซางมันต้องการอีเหมยอยู่แล้ว’
จำได้ว่าอดตกใจไม่ได้กับคำพูดของลูกชาย
‘อันที่จริงประเพณีฉุดสาวนี่ผู้หญิงต้องเต็มใจด้วยนะ’
และจำได้ว่าค้านออกไปแบบนั้น
‘พ่อมันเต็มใจ ลูกมันจะขัดได้ยังไง’
หากลูกชายคงยืนกราน แกรวมถึงทุกฅนในบ้านคงได้แต่จำยอม
.
ยังจำภาพหลานสาวกรีดร้องต่อสู้ดิ้นรน ด้วยแววตาที่ทำแกให้รู้สึกผิดได้ทุกทีเมื่อนึกถึง มันเป็นประเพณี เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ต้องจัดการเรื่องคู่ครองให้ลูกสาว แกได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนั้น และปล่อยให้ลูกชายเฒ่าซ่งพาตัวอาเหมยไปในที่สุด
หากหลานสาวของแกไปอยู่ที่นั่นไม่นาน ไม่ทันจะได้จัดพิธีสู่ขอด้วยซ้ำ ฅนบ้านนั้นก็มาแจ้งข่าวว่าหลานของแกหนีออกมา นางไม่ได้กลับมาบ้าน อาจด้วยประเพณีที่ทำให้นางไม่อาจกลับมาได้ และไม่มีใครได้พบเห็นเธออีกเลย
.
“ที่ข้าอดห่วงไม่ได้ก็คือเรื่องป่านั่น” แหงนหน้ามองลูกชายขณะเอ่ยบอก
“ชาวบ้านมันก็เล่าลือกันไปอย่างนั้นเอง” ลูกชายยังคงวางท่าไม่รับรู้สิ่งใดขณะค่ำคืนหนาวเย็นยังคงคืบคลานไปอย่างเชื่องช้า หญิงชรารู้ดีว่าแกคงไม่อาจข่มตาหลับได้อย่างแน่นอน
.
“จะว่าที่นี่ก่อกำเนิดขึ้นจากความเจ็บปวดของการถูกกดขี่ข่มแหงก็คงจะไม่ผิดนักหรอก”
ร่างนั้นยังคงส่งเสียงเรียบ ๆ ขณะหญิงสาวทอดตามองรอบกาย หน้าบ้านแต่ละหลังนั้น หญิงหลายฅนต่างทำหน้าที่ของตน บ้างปักผ้า บ้างนั่งจักสานซ่อมแซมเครื่องมือเครื่องใช้ หากต่างล้วนมีความเรียบเฉยบนใบหน้าซีดเซียวไม่ต่างกัน
.
ใบข้าวโพดส่ายไหวน้อยๆ ตามสายลม หญิงชราห่อตัวกอดอกจากความหนาวเย็น สายตาฝ้าฟางมองเลยทุ่งข้าวโพดสู่พื้นที่ซึ่งถูกปล่อยทิ้งเป็นป่า แกเดินฝ่าแถวข้าวโพดแห้ง ๆ นั้นเข้าไป
“อาเหมย... อาเหมย…” พยายามเปล่งเสียง แหบ ๆ เรียกหา มีเพียงสายลมที่ตอบรับ
‘มีฅนสงสัยว่าอาเหมยจะไปที่นั่น’
คำพูดของเพื่อนบ้านที่บอกอย่างเอาแน่ไม่ได้ทำให้แกต้องบากบั่นเข้ามาในเขตหวงห้าม ป่าลับแลแห่งนี้
.
“เจ้าจะไม่อาลัยที่ซึ่งจากมาอย่างนั้นรึ” ร่างนั้นยังคงส่งเสียงไร้ความรู้สึกดุจเดิม
“ข้าไม่อาจลืมทุกสิ่งได้ง่ายดายดอก” หญิงสาวก้มหน้าตอบ “หากอยู่ที่นั่นแล้วความเป็นหญิงจะทำให้เราไม่มีสิทธิ์เลือกทางเดิน ไม่มีสิทธิ์ขัดขืนใด”
‘นังแพศยา อย่านึกว่าจะรอดพ้นเงื้อมมือข้าได้’
“ข้าคงจำได้ไม่ลืม ฝ่ามือกำยำนั่นปิดปากข้าไว้ โดยที่ร่างของมันยังคงคร่อมทับเพื่อป้องกันการขัดขืน มันตบตีทั้งก่นด่าสารพัด มือของมันบีบแน่นขยุ้มเกร็งจนเจ็บทั้งใบหน้า แม้จะพยายามดิ้นรน หากทำได้เพียงบิดตัวไปมา ข้าไม่อาจขัดขืนปรารถนาทารุณจากกายกำยำนั้นได้เลย เสื้อผ้าถูกกระชากดึงออกจากร่าง เสียงกระแอมไอดังจากมุมห้องนั้นมาจากสภาพอากาศ มากกว่าผู้ที่อยู่ตรงนั้นจะเกิดความสนใจ ข้ากรีดร้องออกไปเมื่อได้รับอิสระพอจะส่งเสียงได้ หากหลายฅนซึ่งขดตัวอยู่อีกมุม ก็แค่ดึงผ้าห่มคลุมหัว ปล่อยให้เสียงจากความเจ็บปวดของข้า กรีดก้องและจางหายไปในความมืดดำของค่ำคืนโหดร้ายเท่านั้น...”
.
“อาเหมย... อาเหมย...” หญิงชรายังคงเฝ้าเรียกหา หากมีเพียงสายลมสะบัดกิ่งไม้ไหวตอบรับดุจเดิม
หญิงสาวหันมองผู้ชราที่ยังคนเดินวนพลางส่งเสียงเรียก เธอได้แต่นิ่งมอง กระทั่งผู้เฒ่าหันหลังจากไปพร้อมแสงตะวันที่เริ่มลับขอบฟ้า
“ไม่ว่าอย่างไร ป่าลับแลแห่งนี้คือที่พักสุดท้ายของหญิงโชคร้ายทุกฅน”
ใบหน้าซีดขาวนั้นยังคงส่งเสียงด้วยสีหน้าเรียบเฉยดุจเดิม
หญิงสาวหันมองดวงตาขาวขุ่นนั้นด้วยแววตาที่ไม่ต่างกัน.