กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สิ่งมีชีวิตจากบรรพกาลเล็ดลอดผ่านกาลเวลาจนพบที่พำนักอันเหมาะสม มันแยกตัวเป็นเจ็ดร่าง แต่ละร่างมีพลังที่ทัดเทียมกัน เมื่อใดที่ร่างหนึ่งตาย พลังที่มีอยู่จะกลับไปกระจายสู่ร่างที่เหลือทั้งหมด และเมื่อเหลือเพียงหนึ่งจึงจะแยกตัวได้อีกครั้ง
และหนึ่งในชิ้นส่วนทั้งเจ็ดได้ร่วงลงสู่ภูเขาหิมะ มันก่อนกำเนิดร่างเป็นมังกรเกล็ดเงินเหมือนสายเลือดร่างดั้งเดิมที่เป็นมังกรขาว เมื่อร่างนั้นสมบูรณ์จึงได้รับชื่อเรียก อาเซเดีย!
มังกรเกล็ดเงินตัวนั้นเปี่ยมด้วยเวทมนตร์แหล่งสายลมหนาวยะเยือก ในวินาทีแห่งการก่อร่างที่มันต้องการก็เกิดสิ่งผิดปกติ ขาทั้งสี่ถูกตรึงด้วยเวทมนตร์จากผืนดิน ส่วนหางและคอก็ถูกล่ามติดพื้นไปด้วย แล้วมหกรรมดูดพลังเวทมนตร์โบราณจากอาเซเดียก็เริ่มต้น มันต้องการอิสระ แม้จะมีร่างกายแต่ถูกตรึงติดพื้นด้วยฝีมือพวกเดียวกัน และพลังที่มีอยู่ก็โดนดูดกินอย่างไร้ทางต่อต้านเสียอีก อาเซเดียร่ำร้องแทบขาดใจให้ซูเปอร์เบียปล่อยมันทว่าไร้ผล มันโดนล่ามอยู่กับพื้นดินด้วยอาคมมานับร้อยปีแต่ไม่ตายด้วยอายุขัยที่ยาวนาน!
อาเซเดียรับรู้ได้ว่ามันจะได้รับการปลดปล่อย แม้จะถูกตรวนร่างดูดพลังมันก็ยังฝัน ฝันว่าจะได้รับอิสระจากพันธนาการนี้เสียที แม้ต้องแลกด้วยความตายของตนก็ตาม
“มาได้อย่างไร” เซ็ทส์ผู้เป็นอมตะทำหน้าปั้นยาก เมื่อรวิกานต์ผู้หน้าเหมือนคนรักของเขาอยู่ที่ค่ายคนงานโบราณคดีกับพี่ชาย
“ตามมาเก็บข้อมูลด้วย” หญิงสาวยังคงร่าเริงได้กลางหุบเขาหิมะที่มีเมืองโบราณซ่อนอยู่
เขาไม่ได้กลัวอาเซเดียเลยสักนิด สิ่งที่น่ากลัวคือการสูญเสียอีกครั้ง หากหญิงหน้าเหมือนคนรักของเขาเป็นอะไรไปคงไม่อาจใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
“ถิ่นหมาป่าหิมะอยู่ทางตะวันตกไปหรือ เหมือนจะยากนะ ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ก็ถือเป็นบริวารของยายนั่น หัวแข็งเหมือนกันแน่ๆคงคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก” ท่านผู้นั้นบ่นใส่แผนที่แสดงภูมิประเทศ
เซ็ทส์บอกท่านผู้นั้นไปแล้วว่าเขาฝันว่าได้คุยกับอาเซเดีย แต่แค่ตามหาอาเซียเดียแล้วพาเหล่าหมาป่าหิมะมาก็พอ คงไม่ถึงกับพูดคุยกับมันเป็นกิจจะลักษณะ
“ตอนแรกคิดว่าจะสื่อสารแล้วพามาช่วยพวกเราแต่คงต้องเปลี่ยนแผน ระยะทางไกลเกินไป หมาป่าหิมะไม่ทิ้งถิ่นไกลนักหรอก ยิ่งไกลจากผลึกอาณาเขตพิษที่เขี้ยวก็ยิ่งน้อยลงจนกลายเป็นหมาป่าธรรมดา”
“หากพาหมาป่าหิมะมาที่นี่ไม่ได้ เราก็ย้ายอาเซเดียไปไม่ได้หรือฝ่าบาท” เซ็ทส์ออกความเห็น พวกเขาอยู่ในค่ายคนงานโบราณคดี กำลังระดมความคิดตามล่าอาเซเดียอย่างจริงจัง
ท่านผู้นั้นส่ายหน้า
“จากข้อมูลของเจ้าและอินวิเดีย อาเซเดียถูกอาคมดูดพลังยึดติดพื้นไว้อยู่ คาดว่าเป็นฝีมือของซูเปอร์เบีย ปัญหาคือเราจะทำอย่างไรให้สองสิ่งนี้มาเจอกันตรงกลางโดยไม่ให้ซูเปอร์เบียรู้ว่าเรากำลังทำอะไร หมาป่าก็มาไม่ได้ จะย้ายตัวอาเซเดียก็ไม่ได้อีก” ท่านผู้นั้นเกาคางครุ่นคิด
“เราแกล้งสู้กันดีไหมฝ่าบาท ปลดปล่อยอาเซเดียให้เป็นอิสระ แล้วก็พาไปหาหมาป่าหิมะ” เซ็ทส์เสนอทางออกที่เป็นไปได้
“ในแผ่นหินโบราณกล่าวถึงมังกรเกล็ดเงินผู้เกียจคร้านไม่สามารถแม้แต่ลุกนั่งแต่ก็มีชีวิต ชาวเผ่าเชื่อว่าเป็นร่างจุติของวิญญาณหิมะ เพ้อเจ้อจริงพวกมนุษย์ คราวตัวประหลาดนั่นก็เข้าใจว่าข้าอวตารลงมา คราวนี้กลายเป็นว่ามังกรโบราณคือร่างของเทพแห่งสวรรค์ไปเสียอีก” ท่านผู้นั้นถอนหายใจยาวเหยียด
“ร่างอวตารเป็นไงฝ่าบาท ถ้าท่านเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าหิมะได้...แต่ฝ่าบาทไม่อาจทำร้ายใครได้ คงตกไป”
เซ็ทส์เห็นท่านผู้นั้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เหมือนทุกครั้ง คงมีแผนอยู่ในใจแล้ว
“เหตุใดข้าจึงคิดไม่ถึงนะ แค่ข้าอวตารร่างลงมาเป็นหมาป่าหิมะก็สิ้นเรื่อง กฎห้ามทำร้ายของสี่เสาหลักก็ใช้ไม่ได้ด้วยเพราะเป็นร่างอวตาร หากเป็นข้าจะให้พิษที่เขี้ยวคงอยู่ก็ทำได้ ยอดมากเซ็ทส์!” ท่านผู้นั้นตบเข่าพร้อมหัวเราะลั่นอย่างยินดีที่หาทางแก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยการเอาสีข้างเข้าถู “แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องรู้เหตุผลก่อนว่าทำไมมันจึงเรียกเรามาฆ่าตัวเอง อาจเป็นกลลวงของซูเปอร์เบียก็ได้” ท่านผู้นั้นยังไม่วางใจเรื่องนี้นัก
หลังจากพูดคุยกันในเต็นท์เก็บเสียงเสร็จ เซ็ทส์และท่านผู้นั้นก็ออกเดินทางไปในซากปรักหักพังของนครที่สาบสูญเพื่อตามหาอาเซเดียให้พบ พวกเขาเร้นสายตาผู้คนไปได้ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของสถานที่ทำงานกลางแจ้งทว่ายังรู้สึกเหมือนมีคนตามอยู่
“เพราะมันอาจเป็นกับดัก ข้าจึงแสร้งทำเป็นไม่ระวังอย่างไรล่ะ” ท่านผู้นั้นเชิดจมูกอธิบายว่าเหตุใดจึงไม่ระวังตัว และไม่ล่องหนเหมือนเดิม
“ถ้าคราวนี้ไม่มีอะไรมาขวางอีกคงดีนะฝ่าบาท” เซ็ทส์พูดลอยๆ มีแค่คราวของอินวิเดียเท่านั้นที่คนมาร่วมวงหลังจากการปะทะ เขาไม่หวังว่าจะจัดการอาเซเดียได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน” ท่านผู้นั้นผิวปาก “ผลึกแก้วบนคอเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เรืองแสงตั้งแต่เรามาถึงฝ่าบาท ข้าต้องซ่อนไว้ใต้เสื้อ...เอาออกมาหรือฝ่าบาท” เซ็ทส์ควานหาสร้อยจี้ผลึกแก้วที่แขวนอยู่บนคอแล้วดึงมันออกมา ผลึกแก้วนั้นส่องแสงฟ้าแกมเงินจางๆ
“คิดว่าเหตุใดจึงได้รับสิ่งนี้มาพร้อมภารกิจกัน มันสามารถบอกที่อยู่ของเป้าหมายเราได้อย่างกว้างๆแค่ตัวที่ใกล้ที่สุด เราต้องออกคำสั่งมันก่อน” ท่านผู้นั้นอธิบายแล้วเอ่ยคำ เส้นสายสีฟ้าอ่อนเป็นเส้นตรงนำไปในป่าทางซ้ายมือ ท่านผู้นั้นออกคำสั่งอีกครั้งแสงนั้นก็ดับลงเหมือนเดิม
ท่านผู้นั้นพยักหน้ากับเซ็ทส์ให้เดินไปตามที่ที่แสงชี้บอก โดยไม่สนใจเสียงกิ่งไม้หักด้านหลัง
“จะกี่ครั้งข้าก็ไม่คุ้นกับการถูกตามฝ่าบาท ขอจัดการคนเดินตามได้ไหม ข้ารำคาญ” เซ็ทส์บ่นกับท่านผู้นั้นอย่างหงุดหงิดขณะเดินลอดประตูทรงโค้งของบ้านหลังหนึ่ง คนที่ตามพวกเขาส่งเสียงดังจนอดคิดไม่ได้ว่าจงใจให้ตัวเองถูกพบ
ท่านผู้นั้นกระทืบเท้าเบาๆแล้วหยุดเดิน เงาร่างของเซ็ทส์และท่านผู้นั้นยังคงเดินไปข้างหน้าเข้าหารอยแยกของกำแพง ส่วนตัวจริงล่องหนอยู่ด้านหลังรอต้อนรับคนแอบเดินตาม
แทนที่จะพบกับปิศาจหรือสายเลือดของท่านผู้นั้น เขากลับพบว่ารวิกานต์คือคนที่เดินตามพวกเขามานานสองนาน เธอดูตื่นเต้นและหมกมุ่นจนไม่ใส่ใจรอยเท้าบนหิมะ ยังคงเดินตามเงาร่างของพวกเขาไม่ลดละ!
“ส่งกลับได้ไหมฝ่าบาท คนนี้ข้าขอ” เซ็ทขอความกรุณาที่หาได้ยากจากท่านผู้นั้น
“ไม่ได้” ท่านผู้นั้นส่ายหน้า “ไม่รู้นางได้ยินพวกเราคุยกันมากน้อยเท่าไร แล้วเพราะอะไรจึงแอบตามโดยไม่บอกให้รู้ตัวอย่างนี้”
“มีทางเดียวคือหิ้วติดมือไปด้วยแล้วค่อยลบความจำ ข้าล่อให้นางเดินวนกลับแค้มป์คนงานได้แต่เราต้องแน่ใจว่านางไม่ได้ยินที่เราพูดกันเกี่ยวกับอาเซเดีย ไม่อย่างนั้นงานของเราอาจลำบากขึ้น คำถามบางอันเราก็ไม่สามารถตอบนางโดยตรงได้...”
เซ็ทส์ผู้หัวช้ายอมรับเงื่อนไขของท่านผู้นั้นโดยดุษณี หวังให้นางไม่ได้ยินที่พวกเขาคุยกันจะได้กลับไปอยู่ในค่ายพักอย่างสงบและปราศจากอันตราย
“สวัสดีอีกครั้งรวิกานต์” เซ็ทส์เอื้อมมือไปจับบ่าหญิงสาว ในวินาทีนั้นมนตร์ภาพและการล่องหนของพวกเขาก็หายไป “มาทำอะไรตรงนี้”
หญิงสาวดูสับสน หันไปมาระหว่างจุดที่เงาหายไปกับเซ็ทส์ที่ยืนด้านหลัง
“หาข้อมูลเขียนนิยาย” หญิงสาวหัวเราะแห้งบิดเสื้อกันหนาวอย่างเขินอายที่ถูกจับได้ “ได้ยินแว่วๆว่าพวกคุณตามหาอาเซเดียจึงเดินตามมา อยากรู้ว่ามันเป็นตัวอะไร”
แสดงว่าหญิงสาวได้ยินที่พวกเขาคุยกัน ไม่พ้นต้องให้ท่านผู้นั้นไม่ก็ไอวี่ลบความจำให้
ระหว่างนั้นท่านผู้นั้นสบถออกมาอย่างขัดใจ ชี้ให้เซ็ทส์ดูบนท้องฟ้าด้วยอาการเอือมระอา บนฟ้ามีเส้นสายสีแดงครอบคลุมอยู่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพวกปิศาจศัตรูของท่านผู้นั้น พวกนั้นมาที่นี่ได้อย่างไร แล้วรู้หรือไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่!
“คงต้องหิ้วไปด้วยแล้วฝ่าบาท ถ้าเจอพวกนั้นเข้าคงจบไม่สวยแน่” เซ็ทส์พูดกับนายเหนือหัวขอความเมตตา
“คุณเรียกคุณผู้ช่วยว่าฝ่าบาทหรือเซ็ทส์ แปลกดี” รวิกานต์ยังคงไม่ทุกข์ร้อนเพราะไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาถามราวิกานต์” เซ็ทส์ปัดคำถามของหญิงสาวทิ้ง “ตามมาเงียบๆ อันตรายมีอยู่รอบตัว”
หญิงสาวมองไปรอบตัวด้วยความที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ว่าไม่แปลกถ้าจะมีการเปิดฉากต่อสู้กันขึ้น
แล้วท่านผู้นั้นก็ให้เซ็ทส์กับรวิกานต์นำหน้าเพื่อตัวเองจะได้ระวังหลังให้
“ตามไปเงียบๆ” ท่านผู้นั้นสั่งทางสายตาให้เซ็ทส์สงบปากสงบคำ รวิกานต์ก็พลอยเงียบไปด้วย
พวกเขาสามคนเดินไปท่ามกลางหิมะ รอบด้านเงียบผิดไปจากป่าธรรมดาแม้จะเต็มไปด้วยหิมะ เซ็ทส์มัวแต่ฟังเสียงหญิงสาวแอบเดินตามมาจนไม่ใส่ใจรอบตัว ศัตรูของท่านผู้นั้นมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร แล้ววางแผนทำอะไรกันแน่
ใช้เวลาไม่นานเซ็ทส์ก็ค้นพบวิหารเก่าแก่ที่อาเซเดียถูกคุมขังไว้ อิฐสีเทาแกร่งจนผ่านวันเวลาได้ยาวนานหลายร้อยปี หิมะตรงปากทางเข้าไม่มีรอยเดินผ่าน แต่ยังย่ามใจไม่ได้เพราะศัตรูของท่านผู้นั้นใช้เวทมนตร์ได้เช่นกัน และมันอาจเป็นกับดัก
“เข้าไปเลยไหมฝ่าบาท” เซ็ทส์เตรียมพิณเทพไว้ในอุ้งมือทั้งสองข้าง แล้วเดินนำหน้าเข้าไปในโถงวิหารย่อมๆ
ด้านในวิหารเก่าแก่มีเพียงแสงสลัวจากปากทาง หน้าต่างแทบทุกด้านถูกปิดด้วยรากไม้และก้อนหิน บ้างก็ถล่มลงมาเป็นโพรงช่องซอกหลืบ เซ็ทส์เดินไปโดยระแวดระวัง พื้นหินเรียบไม่มีรอยเท้าให้ดูน่าสงสัยนำไปสู่ภายในที่กว้างกว่าปากทางเข้า
ห้องโถงใหญ่สุดของวิหารกว้างกว่าที่เห็นข้างนอกมาก เซ็ทส์หยีตามองแสงสว่างจางๆกลางโถงว่ามีแหล่งให้กำเนิดแสงใดอยู่ด้านใน
สิ่งที่เรืองแสงอยู่คือมังกรขนาดใหญ่ แม้จะนอนหมอบอยู่แต่ส่วนสันหลังของมันสูงเท่าอาคารสามชั้นของสมัยนี้ ส่วนหัวเหี่ยวย่นขยับหันมาทางพวกเขาส่งเสียงโกร่งกร่างของโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นซึ่งล่ามมันติดพื้นหินแกร่งกลางห้องโถงพอดิบพอดี เกล็ดสีเงินของมันนั่นเองที่เปล่งแสงเรืองอ่อนๆอยู่ตลอดกาล
“อาเซเดียใช่ไหม” เซ็ทส์ส่งเสียงเรียกเพื่อประเมินว่าเป็นกับดักหรือไม่
“ใช่แล้ว ชื่อของข้าคืออาเซเดีย” มังกรชราตอบ “เจ้าคงเป็นคนที่ตามล่าพวกเราอยู่สินะ”
“ทำไม...” เซ็ทส์ผู้เป็นอมตะขมวดคิ้วครุ่นคิด ในเมื่อลักซูเรียยังสาวอยู่เหตุใดตัวอื่นไม่เยาว์วัยเหมือนกันทั้งหมด “ดูเจ้าชรากว่าตัวอื่นๆ”
“ข้อนี้อวาร์ริเทียบอกเจ้าได้ ได้โปรดเร่งมือเถิด ข้าถูกซูเปอร์เบียดูดพลังชีวิตมานานนับร้อยปีแล้ว ข้าต้องการอิสระ แม้จะเป็นความตายก็ตาม!”
“เรียกข้าให้มาฆ่าเจ้า จริงๆหรือ”
“สิ่งที่ข้าใฝ่ฝันมากที่สุดคืออิสระ” อาเซเดียตอบอย่างชัดเจน “และต้องการให้ซูเปอร์เบียรับผลกรรมที่มันทำกับข้าเอาไว้ด้วย มันผูกล่ามข้าอยู่เป็นร้อยปีเพื่อดูดพลังชีวิต ข้าไม่อาจทำสิ่งใดได้แม้แต่กินหรือนอน มันรู้วิธีที่จะมีพลังมากกว่าพวกเราทั้งหกจึงพันธนาการข้าเพื่อดูดพลัง ทำให้ข้าทรมานเหลือแสน แต่ไม่สามารถตายได้!”
“สิ่งที่เจ้าต้องการคือความตายอย่างนั้นหรือ” เซ็ทส์มีท่าทีผ่อนคลายลง เรื่องนี้ไม่น่าใช่กับดัก
(มีต่อ)
จอมเวทอมตะ ตอนที่ 13
และหนึ่งในชิ้นส่วนทั้งเจ็ดได้ร่วงลงสู่ภูเขาหิมะ มันก่อนกำเนิดร่างเป็นมังกรเกล็ดเงินเหมือนสายเลือดร่างดั้งเดิมที่เป็นมังกรขาว เมื่อร่างนั้นสมบูรณ์จึงได้รับชื่อเรียก อาเซเดีย!
มังกรเกล็ดเงินตัวนั้นเปี่ยมด้วยเวทมนตร์แหล่งสายลมหนาวยะเยือก ในวินาทีแห่งการก่อร่างที่มันต้องการก็เกิดสิ่งผิดปกติ ขาทั้งสี่ถูกตรึงด้วยเวทมนตร์จากผืนดิน ส่วนหางและคอก็ถูกล่ามติดพื้นไปด้วย แล้วมหกรรมดูดพลังเวทมนตร์โบราณจากอาเซเดียก็เริ่มต้น มันต้องการอิสระ แม้จะมีร่างกายแต่ถูกตรึงติดพื้นด้วยฝีมือพวกเดียวกัน และพลังที่มีอยู่ก็โดนดูดกินอย่างไร้ทางต่อต้านเสียอีก อาเซเดียร่ำร้องแทบขาดใจให้ซูเปอร์เบียปล่อยมันทว่าไร้ผล มันโดนล่ามอยู่กับพื้นดินด้วยอาคมมานับร้อยปีแต่ไม่ตายด้วยอายุขัยที่ยาวนาน!
อาเซเดียรับรู้ได้ว่ามันจะได้รับการปลดปล่อย แม้จะถูกตรวนร่างดูดพลังมันก็ยังฝัน ฝันว่าจะได้รับอิสระจากพันธนาการนี้เสียที แม้ต้องแลกด้วยความตายของตนก็ตาม
“มาได้อย่างไร” เซ็ทส์ผู้เป็นอมตะทำหน้าปั้นยาก เมื่อรวิกานต์ผู้หน้าเหมือนคนรักของเขาอยู่ที่ค่ายคนงานโบราณคดีกับพี่ชาย
“ตามมาเก็บข้อมูลด้วย” หญิงสาวยังคงร่าเริงได้กลางหุบเขาหิมะที่มีเมืองโบราณซ่อนอยู่
เขาไม่ได้กลัวอาเซเดียเลยสักนิด สิ่งที่น่ากลัวคือการสูญเสียอีกครั้ง หากหญิงหน้าเหมือนคนรักของเขาเป็นอะไรไปคงไม่อาจใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
“ถิ่นหมาป่าหิมะอยู่ทางตะวันตกไปหรือ เหมือนจะยากนะ ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ก็ถือเป็นบริวารของยายนั่น หัวแข็งเหมือนกันแน่ๆคงคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก” ท่านผู้นั้นบ่นใส่แผนที่แสดงภูมิประเทศ
เซ็ทส์บอกท่านผู้นั้นไปแล้วว่าเขาฝันว่าได้คุยกับอาเซเดีย แต่แค่ตามหาอาเซียเดียแล้วพาเหล่าหมาป่าหิมะมาก็พอ คงไม่ถึงกับพูดคุยกับมันเป็นกิจจะลักษณะ
“ตอนแรกคิดว่าจะสื่อสารแล้วพามาช่วยพวกเราแต่คงต้องเปลี่ยนแผน ระยะทางไกลเกินไป หมาป่าหิมะไม่ทิ้งถิ่นไกลนักหรอก ยิ่งไกลจากผลึกอาณาเขตพิษที่เขี้ยวก็ยิ่งน้อยลงจนกลายเป็นหมาป่าธรรมดา”
“หากพาหมาป่าหิมะมาที่นี่ไม่ได้ เราก็ย้ายอาเซเดียไปไม่ได้หรือฝ่าบาท” เซ็ทส์ออกความเห็น พวกเขาอยู่ในค่ายคนงานโบราณคดี กำลังระดมความคิดตามล่าอาเซเดียอย่างจริงจัง
ท่านผู้นั้นส่ายหน้า
“จากข้อมูลของเจ้าและอินวิเดีย อาเซเดียถูกอาคมดูดพลังยึดติดพื้นไว้อยู่ คาดว่าเป็นฝีมือของซูเปอร์เบีย ปัญหาคือเราจะทำอย่างไรให้สองสิ่งนี้มาเจอกันตรงกลางโดยไม่ให้ซูเปอร์เบียรู้ว่าเรากำลังทำอะไร หมาป่าก็มาไม่ได้ จะย้ายตัวอาเซเดียก็ไม่ได้อีก” ท่านผู้นั้นเกาคางครุ่นคิด
“เราแกล้งสู้กันดีไหมฝ่าบาท ปลดปล่อยอาเซเดียให้เป็นอิสระ แล้วก็พาไปหาหมาป่าหิมะ” เซ็ทส์เสนอทางออกที่เป็นไปได้
“ในแผ่นหินโบราณกล่าวถึงมังกรเกล็ดเงินผู้เกียจคร้านไม่สามารถแม้แต่ลุกนั่งแต่ก็มีชีวิต ชาวเผ่าเชื่อว่าเป็นร่างจุติของวิญญาณหิมะ เพ้อเจ้อจริงพวกมนุษย์ คราวตัวประหลาดนั่นก็เข้าใจว่าข้าอวตารลงมา คราวนี้กลายเป็นว่ามังกรโบราณคือร่างของเทพแห่งสวรรค์ไปเสียอีก” ท่านผู้นั้นถอนหายใจยาวเหยียด
“ร่างอวตารเป็นไงฝ่าบาท ถ้าท่านเปลี่ยนร่างเป็นหมาป่าหิมะได้...แต่ฝ่าบาทไม่อาจทำร้ายใครได้ คงตกไป”
เซ็ทส์เห็นท่านผู้นั้นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เหมือนทุกครั้ง คงมีแผนอยู่ในใจแล้ว
“เหตุใดข้าจึงคิดไม่ถึงนะ แค่ข้าอวตารร่างลงมาเป็นหมาป่าหิมะก็สิ้นเรื่อง กฎห้ามทำร้ายของสี่เสาหลักก็ใช้ไม่ได้ด้วยเพราะเป็นร่างอวตาร หากเป็นข้าจะให้พิษที่เขี้ยวคงอยู่ก็ทำได้ ยอดมากเซ็ทส์!” ท่านผู้นั้นตบเข่าพร้อมหัวเราะลั่นอย่างยินดีที่หาทางแก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยการเอาสีข้างเข้าถู “แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องรู้เหตุผลก่อนว่าทำไมมันจึงเรียกเรามาฆ่าตัวเอง อาจเป็นกลลวงของซูเปอร์เบียก็ได้” ท่านผู้นั้นยังไม่วางใจเรื่องนี้นัก
หลังจากพูดคุยกันในเต็นท์เก็บเสียงเสร็จ เซ็ทส์และท่านผู้นั้นก็ออกเดินทางไปในซากปรักหักพังของนครที่สาบสูญเพื่อตามหาอาเซเดียให้พบ พวกเขาเร้นสายตาผู้คนไปได้ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของสถานที่ทำงานกลางแจ้งทว่ายังรู้สึกเหมือนมีคนตามอยู่
“เพราะมันอาจเป็นกับดัก ข้าจึงแสร้งทำเป็นไม่ระวังอย่างไรล่ะ” ท่านผู้นั้นเชิดจมูกอธิบายว่าเหตุใดจึงไม่ระวังตัว และไม่ล่องหนเหมือนเดิม
“ถ้าคราวนี้ไม่มีอะไรมาขวางอีกคงดีนะฝ่าบาท” เซ็ทส์พูดลอยๆ มีแค่คราวของอินวิเดียเท่านั้นที่คนมาร่วมวงหลังจากการปะทะ เขาไม่หวังว่าจะจัดการอาเซเดียได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว
“เรื่องนั้นช่างมันก่อน” ท่านผู้นั้นผิวปาก “ผลึกแก้วบนคอเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“เรืองแสงตั้งแต่เรามาถึงฝ่าบาท ข้าต้องซ่อนไว้ใต้เสื้อ...เอาออกมาหรือฝ่าบาท” เซ็ทส์ควานหาสร้อยจี้ผลึกแก้วที่แขวนอยู่บนคอแล้วดึงมันออกมา ผลึกแก้วนั้นส่องแสงฟ้าแกมเงินจางๆ
“คิดว่าเหตุใดจึงได้รับสิ่งนี้มาพร้อมภารกิจกัน มันสามารถบอกที่อยู่ของเป้าหมายเราได้อย่างกว้างๆแค่ตัวที่ใกล้ที่สุด เราต้องออกคำสั่งมันก่อน” ท่านผู้นั้นอธิบายแล้วเอ่ยคำ เส้นสายสีฟ้าอ่อนเป็นเส้นตรงนำไปในป่าทางซ้ายมือ ท่านผู้นั้นออกคำสั่งอีกครั้งแสงนั้นก็ดับลงเหมือนเดิม
ท่านผู้นั้นพยักหน้ากับเซ็ทส์ให้เดินไปตามที่ที่แสงชี้บอก โดยไม่สนใจเสียงกิ่งไม้หักด้านหลัง
“จะกี่ครั้งข้าก็ไม่คุ้นกับการถูกตามฝ่าบาท ขอจัดการคนเดินตามได้ไหม ข้ารำคาญ” เซ็ทส์บ่นกับท่านผู้นั้นอย่างหงุดหงิดขณะเดินลอดประตูทรงโค้งของบ้านหลังหนึ่ง คนที่ตามพวกเขาส่งเสียงดังจนอดคิดไม่ได้ว่าจงใจให้ตัวเองถูกพบ
ท่านผู้นั้นกระทืบเท้าเบาๆแล้วหยุดเดิน เงาร่างของเซ็ทส์และท่านผู้นั้นยังคงเดินไปข้างหน้าเข้าหารอยแยกของกำแพง ส่วนตัวจริงล่องหนอยู่ด้านหลังรอต้อนรับคนแอบเดินตาม
แทนที่จะพบกับปิศาจหรือสายเลือดของท่านผู้นั้น เขากลับพบว่ารวิกานต์คือคนที่เดินตามพวกเขามานานสองนาน เธอดูตื่นเต้นและหมกมุ่นจนไม่ใส่ใจรอยเท้าบนหิมะ ยังคงเดินตามเงาร่างของพวกเขาไม่ลดละ!
“ส่งกลับได้ไหมฝ่าบาท คนนี้ข้าขอ” เซ็ทขอความกรุณาที่หาได้ยากจากท่านผู้นั้น
“ไม่ได้” ท่านผู้นั้นส่ายหน้า “ไม่รู้นางได้ยินพวกเราคุยกันมากน้อยเท่าไร แล้วเพราะอะไรจึงแอบตามโดยไม่บอกให้รู้ตัวอย่างนี้”
“มีทางเดียวคือหิ้วติดมือไปด้วยแล้วค่อยลบความจำ ข้าล่อให้นางเดินวนกลับแค้มป์คนงานได้แต่เราต้องแน่ใจว่านางไม่ได้ยินที่เราพูดกันเกี่ยวกับอาเซเดีย ไม่อย่างนั้นงานของเราอาจลำบากขึ้น คำถามบางอันเราก็ไม่สามารถตอบนางโดยตรงได้...”
เซ็ทส์ผู้หัวช้ายอมรับเงื่อนไขของท่านผู้นั้นโดยดุษณี หวังให้นางไม่ได้ยินที่พวกเขาคุยกันจะได้กลับไปอยู่ในค่ายพักอย่างสงบและปราศจากอันตราย
“สวัสดีอีกครั้งรวิกานต์” เซ็ทส์เอื้อมมือไปจับบ่าหญิงสาว ในวินาทีนั้นมนตร์ภาพและการล่องหนของพวกเขาก็หายไป “มาทำอะไรตรงนี้”
หญิงสาวดูสับสน หันไปมาระหว่างจุดที่เงาหายไปกับเซ็ทส์ที่ยืนด้านหลัง
“หาข้อมูลเขียนนิยาย” หญิงสาวหัวเราะแห้งบิดเสื้อกันหนาวอย่างเขินอายที่ถูกจับได้ “ได้ยินแว่วๆว่าพวกคุณตามหาอาเซเดียจึงเดินตามมา อยากรู้ว่ามันเป็นตัวอะไร”
แสดงว่าหญิงสาวได้ยินที่พวกเขาคุยกัน ไม่พ้นต้องให้ท่านผู้นั้นไม่ก็ไอวี่ลบความจำให้
ระหว่างนั้นท่านผู้นั้นสบถออกมาอย่างขัดใจ ชี้ให้เซ็ทส์ดูบนท้องฟ้าด้วยอาการเอือมระอา บนฟ้ามีเส้นสายสีแดงครอบคลุมอยู่เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพวกปิศาจศัตรูของท่านผู้นั้น พวกนั้นมาที่นี่ได้อย่างไร แล้วรู้หรือไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่นี่!
“คงต้องหิ้วไปด้วยแล้วฝ่าบาท ถ้าเจอพวกนั้นเข้าคงจบไม่สวยแน่” เซ็ทส์พูดกับนายเหนือหัวขอความเมตตา
“คุณเรียกคุณผู้ช่วยว่าฝ่าบาทหรือเซ็ทส์ แปลกดี” รวิกานต์ยังคงไม่ทุกข์ร้อนเพราะไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาถามราวิกานต์” เซ็ทส์ปัดคำถามของหญิงสาวทิ้ง “ตามมาเงียบๆ อันตรายมีอยู่รอบตัว”
หญิงสาวมองไปรอบตัวด้วยความที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ว่าไม่แปลกถ้าจะมีการเปิดฉากต่อสู้กันขึ้น
แล้วท่านผู้นั้นก็ให้เซ็ทส์กับรวิกานต์นำหน้าเพื่อตัวเองจะได้ระวังหลังให้
“ตามไปเงียบๆ” ท่านผู้นั้นสั่งทางสายตาให้เซ็ทส์สงบปากสงบคำ รวิกานต์ก็พลอยเงียบไปด้วย
พวกเขาสามคนเดินไปท่ามกลางหิมะ รอบด้านเงียบผิดไปจากป่าธรรมดาแม้จะเต็มไปด้วยหิมะ เซ็ทส์มัวแต่ฟังเสียงหญิงสาวแอบเดินตามมาจนไม่ใส่ใจรอบตัว ศัตรูของท่านผู้นั้นมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร แล้ววางแผนทำอะไรกันแน่
ใช้เวลาไม่นานเซ็ทส์ก็ค้นพบวิหารเก่าแก่ที่อาเซเดียถูกคุมขังไว้ อิฐสีเทาแกร่งจนผ่านวันเวลาได้ยาวนานหลายร้อยปี หิมะตรงปากทางเข้าไม่มีรอยเดินผ่าน แต่ยังย่ามใจไม่ได้เพราะศัตรูของท่านผู้นั้นใช้เวทมนตร์ได้เช่นกัน และมันอาจเป็นกับดัก
“เข้าไปเลยไหมฝ่าบาท” เซ็ทส์เตรียมพิณเทพไว้ในอุ้งมือทั้งสองข้าง แล้วเดินนำหน้าเข้าไปในโถงวิหารย่อมๆ
ด้านในวิหารเก่าแก่มีเพียงแสงสลัวจากปากทาง หน้าต่างแทบทุกด้านถูกปิดด้วยรากไม้และก้อนหิน บ้างก็ถล่มลงมาเป็นโพรงช่องซอกหลืบ เซ็ทส์เดินไปโดยระแวดระวัง พื้นหินเรียบไม่มีรอยเท้าให้ดูน่าสงสัยนำไปสู่ภายในที่กว้างกว่าปากทางเข้า
ห้องโถงใหญ่สุดของวิหารกว้างกว่าที่เห็นข้างนอกมาก เซ็ทส์หยีตามองแสงสว่างจางๆกลางโถงว่ามีแหล่งให้กำเนิดแสงใดอยู่ด้านใน
สิ่งที่เรืองแสงอยู่คือมังกรขนาดใหญ่ แม้จะนอนหมอบอยู่แต่ส่วนสันหลังของมันสูงเท่าอาคารสามชั้นของสมัยนี้ ส่วนหัวเหี่ยวย่นขยับหันมาทางพวกเขาส่งเสียงโกร่งกร่างของโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นซึ่งล่ามมันติดพื้นหินแกร่งกลางห้องโถงพอดิบพอดี เกล็ดสีเงินของมันนั่นเองที่เปล่งแสงเรืองอ่อนๆอยู่ตลอดกาล
“อาเซเดียใช่ไหม” เซ็ทส์ส่งเสียงเรียกเพื่อประเมินว่าเป็นกับดักหรือไม่
“ใช่แล้ว ชื่อของข้าคืออาเซเดีย” มังกรชราตอบ “เจ้าคงเป็นคนที่ตามล่าพวกเราอยู่สินะ”
“ทำไม...” เซ็ทส์ผู้เป็นอมตะขมวดคิ้วครุ่นคิด ในเมื่อลักซูเรียยังสาวอยู่เหตุใดตัวอื่นไม่เยาว์วัยเหมือนกันทั้งหมด “ดูเจ้าชรากว่าตัวอื่นๆ”
“ข้อนี้อวาร์ริเทียบอกเจ้าได้ ได้โปรดเร่งมือเถิด ข้าถูกซูเปอร์เบียดูดพลังชีวิตมานานนับร้อยปีแล้ว ข้าต้องการอิสระ แม้จะเป็นความตายก็ตาม!”
“เรียกข้าให้มาฆ่าเจ้า จริงๆหรือ”
“สิ่งที่ข้าใฝ่ฝันมากที่สุดคืออิสระ” อาเซเดียตอบอย่างชัดเจน “และต้องการให้ซูเปอร์เบียรับผลกรรมที่มันทำกับข้าเอาไว้ด้วย มันผูกล่ามข้าอยู่เป็นร้อยปีเพื่อดูดพลังชีวิต ข้าไม่อาจทำสิ่งใดได้แม้แต่กินหรือนอน มันรู้วิธีที่จะมีพลังมากกว่าพวกเราทั้งหกจึงพันธนาการข้าเพื่อดูดพลัง ทำให้ข้าทรมานเหลือแสน แต่ไม่สามารถตายได้!”
“สิ่งที่เจ้าต้องการคือความตายอย่างนั้นหรือ” เซ็ทส์มีท่าทีผ่อนคลายลง เรื่องนี้ไม่น่าใช่กับดัก
(มีต่อ)