หมายเหตุ : เรื่องนี้ผมขออนุญาตนำมาลงเพียงตอนเดียวเท่านั้นนะครับ
เรื่อง : ป่าเกงกอง (ព្រៃកេងកង)
โดย : ละเว้
แสงจางสลัวกลางป่าเปลี่ยวบ่งบอกว่าดวงตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้ว ท่ามกลางอากาศหนาวและบรรยากาศเงียบสงัดนั้น สตรีนางหนึ่งมัดคลุมศีรษะด้วยผ้าขาวม้า เท้าเปล่าเปลือยกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ดวงตาเบิกกว้างส่อแววหวาดระแวงออกมา มือขวากำมีดเหน็บแน่น หายใจหอบหนัก หัวใจเต้นแรงเร่งสูบฉีด
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งนอนคู้อยู่โคนไม้ใหญ่ เสื้อคอกลมเย็บด้วยมือจากผ้าด้ายดิบของเขานั้น เปรอะแดงไปด้วยเลือดที่ซึมออกจากรอยแผลเหนืออกขวา แผลเล็ก ๆ แต่ลึกทะลุหลัง
ลมหนาวยังคงโชยสัมผัส เด็กหนุ่มส่งเสียงลอดไรฟันขณะพลิกกายนอนหงายเหยียดยาว หลับตาปล่อยลมหายใจรวยรินออกมา เขาได้ยินเสียงวิ่งนั้น
เท้าที่เร่งก้าวสะดุดด้วยความร้อนรน เสียงร้องจากอาการผวาเมื่อเสียหลักล้มลง ส่งผลให้ร่างทอดกายไร้แรงพลอยสะดุ้งตกใจไปด้วยเช่นกัน
‘เธอเป็นใคร วิ่งหนีอะไรกลางป่า’
ผู้ทอดกายอยู่โคนไม้ถามตัวเองในใจ
‘ใครกันทำไมมานอนกลางป่า’
เธอคิดในใจ เมื่อผงกหัวขึ้นแล้วพบว่ามีร่างหนึ่งนอนอยู่ตรงหน้าห่างออกไปเช่นกัน
ต่างระทึกทั้งแปลกใจ เกินคาดคิดกับการได้มาเจอกันและกันในช่วงเวลาและสถานที่แบบนี้
เขาข่มความเจ็บผงกหัวยันกายขึ้นมา หากยังคงได้แต่นิ่งมองอยู่
หลังจากลุกขึ้นดูท่าทีสักพักเธอจึงเอ่ยถามออกมา
“เจ้าเป็นใคร”
เขาถามคำนั้นออกมาพร้อมกัน
“บาดเจ็บเหรอ” เธอเอ่ยขึ้นอีก
“อือ ถูกยิง” เขาตอบพลางผ่อนลมหายใจก่อนทอดกายเหยียดยาวอีกครั้ง
“ใครยิง” เธอถามเมื่อเข้าใกล้ดูอาการ
“โจร ถูกโจรปล้น มาขายของแล้วถูกปล้น” เขาพยายามตอบออกมา
“เป็นพ่อค้าเร่อย่างนั้นเหรอ” เธอถาม เขาพยักหน้ารับ หญิงสาวลุกลี้ลุกลนหันมองรอบตัว ประกายวาบจากแววตาเมื่อเจอสิ่งต้องการ รีบตรงไปเด็ดใบไม้นั้นมา
เธอต้องใช้ความพยายามในการถอดเสื้อให้เขา เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องเมื่อแขนถูกฝืนดึงให้หลุดจากเสื้อ ในที่สุดก็สำเร็จ เธอเอาใบไม้ที่เด็ดมาใส่ปากเคี้ยวจนแหลก คายออกโปะแผล ทำแบบนั้นซ้ำอีก แล้วเดินสอดส่องออกไปพร้อมมีดเหน็บในมือ ก่อนกลับมากับเถาไม้บางอย่าง ใช้ยางไม้จากเถาวัลย์นั้นหยดใส่ใบไม้ที่เคี้ยวโปะปิดแผลเมื่อสักครู่ เป่าพลมแผลให้เขา
หนุ่มน้อยนอนหายใจแผ่วปล่อยเธอตามแต่ใจ หญิงซึ่งยังคงแปลกหน้าสำหรับเขาปลดผ้าขาวม้าโพกหัวออก เส้นผมดำขลับยาวสลวยถูกปล่อยลงมา เธอใช้ผ้าขาวม้ารัดพันแผลให้เด็กหนุ่มผู้ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ทุกการกระทำล้วนคล่องแคล่วนุ่มนวล ร่างเหยียดยาวยังคงนิ่ง ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม อดคิดไม่ได้ว่า หญิงผู้ใส่เสื้อพื้นเหลืองซีดรัดรูปแขนกระบอกผมยาวผู้นี้ เป็นใครจากไหน มาทำอะไรด้วยกิริยาร้อนรนกลางป่าในเวลานี้ เธอน่าจะมีอายุมากกว่า แต่เขาไม่แน่ใจว่ากี่ปี เด็กหนุ่มวัยสิบแปดนิ่งคิดในใจ
เมื่อเสร็จแล้วหญิงนั้นจึงทรุดกายลงนั่งผ่อนลมหายใจออกมา
.
ตะวันคล้อยดวงต่ำลงไปแล้ว แม้เป็นคืนเดือนหงายแต่ป่าก็ดูมืดมิด
“เป็นอย่างไรบ้าง” เธอถามขณะทอดสายตามองเขา ผ่านเปลวไฟที่สุมไล่อากาศหนาวและความมืดมัว ทั้งสองอยู่ฅนละฝั่งของกองไฟ เขานั่งอิงโคนไม้อยู่
“ไม่เป็นไรแล้ว ยังไกลหัวใจ” เขาตอบออกมา
“ทีแรกทำเหมือนจะตาย” เธอพูดขึ้นลอย ๆ
“เหนื่อยเพราะหนีโจรพวกนั้นมาด้วยนี่นา” เขาทำเสียงตัดพ้อ
“วิ่งสุดชีวิตอย่างนั้นสิ” เธอยิ้มถาม เหลือบมองเขาก่อนกล่าวต่อ
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว พรุ่งนี้จะได้เดินออกจากป่าเองได้”
“แล้วเจ้าล่ะ ท่าทางร้อนรนเหมือนหนีอะไรมา” เขาเป็นฝ่ายถามบ้าง
“ก็หนีนั่นแหละ พวกมันจะฆ่าข้า”
“ใคร”
“ฅนชั่วพวกนั้น” ตอบเหมือนไม่อยากบอกอะไรมากไปกว่านี้แล้วรีบถามต่อ
“ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าดูเด็กเกินกว่าจะเป็นพ่อค้า”
“เป็นลูกน้องเขา” เด็กหนุ่มตอบพลางคิดในใจว่าเธอจะแก่กว่าเขาสักกี่ปีกัน
“ข้าเป็นลูกน้องเถ้าแก่ไทยเท่านั้น เถ้าแก่มั่น เขาจ้างข้าหาบของข้ามแดนมาเร่ขายฝั่งนี้ ไม่นึกว่าจะโดนปล้น”
เธอพยักหน้ารับฟัง แม้รู้ว่าเขายังคงเป็นฅนแปลกหน้าเกินกว่าจะเชื่อได้ทุกคำพูดก็ตาม
“ว่าแต่จะหนีไปไหน” เขาถามออกมาอีก
“บ้านป่าเกงกอง มีฅนรู้จักอยู่ที่นั่น”
“อีกไกลไหม”
“ก็น่าจะเป็นวันหรือกว่านั้น” เธอตอบพลางหันมอง เขานิ่งไม่พูดอะไรออกมาอีก เมื่อต่างฅนต่างเงียบเธอจึงขยับเอนตัวนอน ไม่กล้าปล่อยกายให้หลับใหลได้สนิทนัก เพราะคงไว้ใจเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกลางป่านี้ไม่ได้เช่นกัน
.
ไก่ป่าส่งเสียงเจื้อยแจ้วขันมาเมื่อรุ่งสาง เธอนั่งชันเข่าหน้ากองไฟ เขาเห็นได้เมื่อตื่นลืมตาขึ้นมา
“ไม่ได้หลับได้นอนเลยหรืออย่างไรกัน” ถามพลางพลิกตัวขยับลุกนั่ง
“นิดหน่อย” เธอตอบสั้น ๆ
“ว่าแต่ชื่ออะไร” ถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อของกันและกันเลย “ข้าชื่อ สมาน” แนะนำตัวเองออกไปก่อน
“โสะเร็น” เธอตอบ “ข้าว่าข้าต้องรีบเดินทางแล้ว” บอกพลางลุกขึ้นเตรียมตัว
“ถ้าจะไปด้วย” เขากล่าวพลางจ้องหน้า เธอเลิกคิ้วจ้องกลับ
“ไม่กลับบ้านเหรอ”
“บ้านอยู่ฝั่งไทย พ่อกับแม่อพยพไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็ก ยังไม่อยากกลับไปตอนนี้” เขาตอบทั้งยังคงมองเธอผู้ทำท่านิ่งนึก
“ถ้าไม่คิดว่าข้าจะเป็นภาระอะไรละก็…” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นมาอีก
“อือ คงไม่เป็นไร” ในที่สุดเธอก็รับคำ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” เขาว่าพลางยันกายลุกขึ้น คลายผ้าขาวม้าออก ขมวดปมกางเกงขาก๊วยให้กระชับขึ้น จับเสื้อที่ถอดไว้ห่อผ้าขาวม้าก่อนเอามาคาดทับกางเกงอีกที หยิบสิ่งที่เธอเพิ่งเห็นเหน็บผ้าคาดพุงนั้น
“เป็นลูกน้องพ่อค้าต้องพกปืนด้วยเหรอ” เธอถามด้วยสายตายังคงจับจ้องอยู่กับสิ่งที่ถูกผ้าขาวม้ารัดไว้
“ขนาดมีปืนยังโดนปล้นเลย” เขาตอบพลางยิ้ม
“อือ” เธอส่งเสียงในลำคอตอบรับพลางสังเกตหนุ่มน้อยตรงหน้า ถึงจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“เอารองเท้าข้าไปก็ได้” เมื่อสังเกตเห็นว่าเธอมีเพียงเท้าเปล่า สมานจึงถอดรองเท้าแตะพลางใช้เท้าเขี่ยส่งให้
.
สองฅนออกเดินทางโดยไม่มีใครพูดเรื่องอาหารเช้าแต่อย่างใด ต่างรู้ว่าไม่มีใครมีอาหารติดตัวมากันเลย
เช้าสายถึงเที่ยง สองฅนต่างเหน็ดเหนื่อยและเริ่มหิว ฤดูหนาวแบบนี้จะหวังได้เจอผลไม้ป่ารองท้องนั้นคงยาก กระทั่งครึ่งค่อนวันฅนแปลกหน้าทั้งสองจึงออกสู่ที่โล่งป่าละเมาะ
กอกล้วยป่าข้างทางเป็นสิ่งที่สมานปรี่เข้าหาเมื่อเห็นเครือสุกเหลืองนั้น แม้มันจะเต็มไปด้วยเมล็ดสีดำแข็งก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรยังพอดูดซับรสชาติได้บ้าง
“มีแต่เม็ดกินไปได้อย่างไร” เธอถามเมื่อเดินมาถึง
“หิวจะตายอยู่แล้ว” เขาตอบเสียงห้วนโดยไม่หันมอง
“เอ้า เอาไป” ว่าพลางโยนกล้วยเครือหนึ่งใส่เขา สมานเพิ่งเห็นว่าโสะเร็นมีกล้วยนวลเครือไม่ใหญ่นักติดมือมาด้วย ถึงจะไม่ใหญ่นักแต่ก็ใหญ่กว่ากล้วยป่าที่เขากำลังเก็บกินนี้อยู่ดี
“มันก็มีเม็ดเหมือนกันนั่นแหละน่า” เขาอ้อมแอ้มเถียงไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเถียงทำไม
“มีเหมือนกันก็จริง แต่กล้วยนวลยังกินได้น้ำได้เนื้อกว่า ลูกใหญ่กว่า หวานอร่อยกว่ากล้วยตานีนั่นด้วย หรือจะไม่เอา” ลงท้ายด้วยการย้อนถาม
“เอาสิ แกล้งว่าไปอย่างนั้นเอง” เขาตอบหน้าตาย เธอขำอาการไม่ต่างจากเด็กน้อยนั้น จะว่าไปเขายังดูเด็กในสายตาของเธอจริง ๆ
“บ้านข้าเขาเรียกกล้วยพระ” สมานว่าทั้งไม่ได้ใส่ใจอาการขำนั้นนัก รีบแหวกกาบดอกที่ปิดบังลูกกล้วยไว้แล้วบิดผลข้างใต้ออกมา เมล็ดดำแข็งของมันทำให้ต้องใช้วิธีแทะเล็มจึงจะได้เนื้อ
และถึงอย่างไรกล้วยนวลหรือกล้วยพระนั้นยังพอบรรเทาหิวได้ในสถานการณ์แบบนี้ ลำต้นหรือที่จริงควรเรียกว่ากาบของมันยังแก้กระหายน้ำได้อีกด้วย
.
ไม่นานสองฅนจึงออกสู่เส้นทางเดินรก ๆ ที่ยังคงพาให้พวกเขาย่ำเท้าอยู่แต่ในป่า บ่ายคล้อยจึงออกสู่ทางเกวียนกันเสียที
“หมู่บ้านคงไม่ห่างจากนี่สักเท่าไรแล้ว”
สมานบอกกับโสะเร็นตามที่คิดดังนั้น แต่แม้จะพากันย่ำเท้าจนเนิ่นนานมากแล้ว สองฅนยังไม่เจอวี่แววของหมู่บ้านแต่อย่างใดเลย
พลบค่ำจึงได้เห็นอาคารกลุ่มหนึ่งเข้ามาอยู่ในระยะรับรู้ทางสายตา เมื่อใกล้เข้าไปจึงพอมองออกว่า กลุ่มอาคารซึ่งเห็นแต่ไกลนั้นน่าจะเป็นวัดมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นพญานาคเก่าพังตรงทางเข้า หรืออาคารที่อยู่ไม่ห่างต้นโพธิ์ที่กำลังส่ายใบพลิ้วไหวนั้น ยังมองออกว่าเป็นโบสถ์เช่นกัน
“วัดร้างหรือเปล่า” สมานว่าพลางกวาดสายตามองความรกเรื้อโดยรอบ
“จะร้างหรืออะไรก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยคืนนี้ก็มีที่นอน” โสะเร็นบอกกับเขา สองฅนเลือกเดินไปยังโบสถ์ซึ่งอยู่ใกล้ตันโพธิ์ใหญ่นั้น ทุกสิ่งอย่างล้วนนิ่งสนิทดุจไร้วันเวลา ลมหนาวเย็นเยือกผสมบรรยากาศวังเวงยามโพล้เพล้แบบนี้ ก็ชวนให้รู้สึกผวาได้เหมือนกัน
บานประตูทำจากไม้แผ่นเดียวส่งเสียงลั่นดังเมื่อโสะเร็นผลักเปิดเข้าไป สัมผัสได้ทันทีถึงกลิ่นสาบสางปะทะฆานประสาทเข้ามา สองฅนต่างสะดุ้งพร้อมกัน ร่างเห็นเป็นเงาตะคุ่มนั้นหันมายังพวกเขาช้า ๆ มิได้รับรู้อาการตกใจของผู้ล่วงล้ำแต่อย่างใด
“หลวงตา เล่นเอาใจหายหมด”
สมานหลุดคำพูดออกมา เมื่อมองออกว่าร่างที่เห็นเป็นเงาดำนั่นแท้จริงแล้วคือภิกษุชรารูปหนึ่งเท่านั้น สองฅนจึงต่างผ่อนลมหายใจโล่งอกตามกัน แสดงว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ไม่ใช่วัดร้าง นั่นทำให้ค่อยใจชื้นขึ้นบ้าง
“มาจากไหนจะไปไหนกันเล่าโยม” ภิกษุชราเอ่ยเสียงแหบพร่าทักทายเมื่อสองฅนเข้าไปหมอบกราบตรงหน้า
“เรามาจากบานอน” โสะเร็นเงยหน้าตอบ
“ดิฉันกับสามีกำลังเดินทางไปป่าเกงกองกันจ้ะหลวงตา”
‘สามี’
สมานอุทานคำนั้นในใจ เบิกตากว้างชำเลืองมองผู้ยังคงมีอาการเรียบเฉยในสีหน้า
“หลวงตาจำวัดอยู่รูปเดียวหรือจ๊ะ” โสะเร็นถามด้วยยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าที่นี่ช่างดูเงียบเชียบจนผิดสังเกต
“รูปเดียวนี่แหละ แถวนี้กันดารพระกันดารญาติโยมหนัก ขนาดวันนี้เป็นวันเพ็ญเดือนสิบสองแท้ ๆ ยังไม่มีชาวบ้านมาทำบุญใส่บาตรกันเลยสักฅน”
คำพูดของท่านฟังเหมือนตัดพ้อในที สมานรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นช่างดูแปลกประหลาด ทั้งอดคิดไม่ได้ว่า สายลมหนาวที่วูบผ่านเข้ามานั้นมันทำให้เขารู้สึกเย็นเยือกถึงกระดูกจับไขสันหลังได้เหมือนกัน
“เราคงต้องขออาศัยพักนอนที่นี่กันสักคืนก่อนเดินทางต่อจ้ะ” โสะเร็นกล่าวขึ้นอีก
“อาตมาเกรงว่ามันจะไม่สะดวกสักเท่าไรนักนะโยม วัดนี้ทั้งเก่าแก่และสกปรกรกร้างนัก”
โสะเร็นหันมองโดยรอบตามคำกล่าวของภิกษุชรา เห็นจริงด้วยดังนั้น ในโบสถ์นี้เต็มไปด้วยฝุ่นผงและหยากไย่ มองนอกหน้าต่างออกไปมีแต่ความอึมครึม รกร้างด้วยวัชพืชขึ้นคลุมแทบทุกบริเวณ
“ไม่เป็นไรดอกจ้ะหลวงตา เมื่อคืนเรายังนอนกลางป่ากันได้เลย” โสะเร็นกล่าว ภิกษุชราทำท่าครุ่นคิดก่อนเอ่ยออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ไปพักนอนบนวัดกันก็ได้ ส่วนอาตมานั้นจำวัดอยู่ในโบสถ์นี่นั่นแหละ”
สองฅนไม่ทันรับคำภิกษุชรารูปนั้นก็กล่าวขึ้นอีก
“อ้อ จำไว้ว่าควรอยู่กันแต่บนวัดเท่านั้นนะ กลางค่ำกลางคืนดึกดื่น หากได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรแปลก ๆ แล้วล่ะก็ อย่าสนใจหรือโผล่หน้าออกมาทักกันเป็นอันขาด”
“จ้ะหลวงตา ขอบพระคุณมากเลยจ้ะ” โสะเร็นยังคงเป็นฝ่ายตอบรับ สมานอดรู้สึกเสียววูบกับคำเตือนนั้นไม่ได้ จากนั้นสองฅนจึงพากันกราบลาออกมา
.
เมื่อโสะเร็นก้าวเท้าขึ้นไป พื้นบันไดก็อ่อนยวบลั่นดังตามแรงเหยียบ สมานย่างตามด้วยอาการระมัดระวัง ไม่อยากให้มีเสียงรบกวนความเงียบ ทั้งกลัวมันจะหักพังลงด้วย
ที่นี่ช่างดูวังเวงนัก บนวัดทั้งสกปรกรกร้าง เต็มไปด้วยฝุ่นผงและกลิ่นสาบสางไม่ต่างจากในโบสถ์เช่นกัน ใต้หลังคาและผนังเต็มไปด้วยหยากไย่ดำเต็มไปหมด ผ้าพระหรือสบงจีวรเก่า ๆ กองอยู่มุมหนึ่งนั้น พอให้สองฅนมีเครื่องคลายหนาวกันได้บ้าง แม้ต้องสะบัดฝุ่นกันหนักหน่อยก็ตาม
“ไปนอนมุมนั้นเลย” โสะเร็นบอกสมานทั้งชี้มือไปยังมุมหนึ่งของวัด
“ทำไมล่ะ ผัวเมียเขาต้องนอนด้วยกันไม่ใช่เหรอ” หนุ่มน้อยกล่าวเจ้าเล่ห์ออกมา
“ใครเป็นเมียเจ้า”
“บอกกับหลวงตาเมื่อกี๊เองนี่นา” มันพูดลอย ๆ ออกมา
“ขี้เกียจต้องอธิบายอะไรให้มันยืดยาวเท่านั้นแหละ ไปนอนตรงนั้นเลย” โสะเร็นออกคำสั่งอีกครั้ง
“ว้า หลอกให้ดีใจเสียอย่างนั้น” สมานบ่นพึมพำ โสะเร็นชำเลืองมองตาขวางใส่ ไม่นึกว่ามันจะปากเปราะถึงเพียงนี้
ป่าเกงกอง (ព្រៃកេងកង)
เรื่อง : ป่าเกงกอง (ព្រៃកេងកង)
โดย : ละเว้
แสงจางสลัวกลางป่าเปลี่ยวบ่งบอกว่าดวงตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้ว ท่ามกลางอากาศหนาวและบรรยากาศเงียบสงัดนั้น สตรีนางหนึ่งมัดคลุมศีรษะด้วยผ้าขาวม้า เท้าเปล่าเปลือยกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ดวงตาเบิกกว้างส่อแววหวาดระแวงออกมา มือขวากำมีดเหน็บแน่น หายใจหอบหนัก หัวใจเต้นแรงเร่งสูบฉีด
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งนอนคู้อยู่โคนไม้ใหญ่ เสื้อคอกลมเย็บด้วยมือจากผ้าด้ายดิบของเขานั้น เปรอะแดงไปด้วยเลือดที่ซึมออกจากรอยแผลเหนืออกขวา แผลเล็ก ๆ แต่ลึกทะลุหลัง
ลมหนาวยังคงโชยสัมผัส เด็กหนุ่มส่งเสียงลอดไรฟันขณะพลิกกายนอนหงายเหยียดยาว หลับตาปล่อยลมหายใจรวยรินออกมา เขาได้ยินเสียงวิ่งนั้น
เท้าที่เร่งก้าวสะดุดด้วยความร้อนรน เสียงร้องจากอาการผวาเมื่อเสียหลักล้มลง ส่งผลให้ร่างทอดกายไร้แรงพลอยสะดุ้งตกใจไปด้วยเช่นกัน
‘เธอเป็นใคร วิ่งหนีอะไรกลางป่า’
ผู้ทอดกายอยู่โคนไม้ถามตัวเองในใจ
‘ใครกันทำไมมานอนกลางป่า’
เธอคิดในใจ เมื่อผงกหัวขึ้นแล้วพบว่ามีร่างหนึ่งนอนอยู่ตรงหน้าห่างออกไปเช่นกัน
ต่างระทึกทั้งแปลกใจ เกินคาดคิดกับการได้มาเจอกันและกันในช่วงเวลาและสถานที่แบบนี้
เขาข่มความเจ็บผงกหัวยันกายขึ้นมา หากยังคงได้แต่นิ่งมองอยู่
หลังจากลุกขึ้นดูท่าทีสักพักเธอจึงเอ่ยถามออกมา
“เจ้าเป็นใคร”
เขาถามคำนั้นออกมาพร้อมกัน
“บาดเจ็บเหรอ” เธอเอ่ยขึ้นอีก
“อือ ถูกยิง” เขาตอบพลางผ่อนลมหายใจก่อนทอดกายเหยียดยาวอีกครั้ง
“ใครยิง” เธอถามเมื่อเข้าใกล้ดูอาการ
“โจร ถูกโจรปล้น มาขายของแล้วถูกปล้น” เขาพยายามตอบออกมา
“เป็นพ่อค้าเร่อย่างนั้นเหรอ” เธอถาม เขาพยักหน้ารับ หญิงสาวลุกลี้ลุกลนหันมองรอบตัว ประกายวาบจากแววตาเมื่อเจอสิ่งต้องการ รีบตรงไปเด็ดใบไม้นั้นมา
เธอต้องใช้ความพยายามในการถอดเสื้อให้เขา เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องเมื่อแขนถูกฝืนดึงให้หลุดจากเสื้อ ในที่สุดก็สำเร็จ เธอเอาใบไม้ที่เด็ดมาใส่ปากเคี้ยวจนแหลก คายออกโปะแผล ทำแบบนั้นซ้ำอีก แล้วเดินสอดส่องออกไปพร้อมมีดเหน็บในมือ ก่อนกลับมากับเถาไม้บางอย่าง ใช้ยางไม้จากเถาวัลย์นั้นหยดใส่ใบไม้ที่เคี้ยวโปะปิดแผลเมื่อสักครู่ เป่าพลมแผลให้เขา
หนุ่มน้อยนอนหายใจแผ่วปล่อยเธอตามแต่ใจ หญิงซึ่งยังคงแปลกหน้าสำหรับเขาปลดผ้าขาวม้าโพกหัวออก เส้นผมดำขลับยาวสลวยถูกปล่อยลงมา เธอใช้ผ้าขาวม้ารัดพันแผลให้เด็กหนุ่มผู้ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ทุกการกระทำล้วนคล่องแคล่วนุ่มนวล ร่างเหยียดยาวยังคงนิ่ง ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม อดคิดไม่ได้ว่า หญิงผู้ใส่เสื้อพื้นเหลืองซีดรัดรูปแขนกระบอกผมยาวผู้นี้ เป็นใครจากไหน มาทำอะไรด้วยกิริยาร้อนรนกลางป่าในเวลานี้ เธอน่าจะมีอายุมากกว่า แต่เขาไม่แน่ใจว่ากี่ปี เด็กหนุ่มวัยสิบแปดนิ่งคิดในใจ
เมื่อเสร็จแล้วหญิงนั้นจึงทรุดกายลงนั่งผ่อนลมหายใจออกมา
.
ตะวันคล้อยดวงต่ำลงไปแล้ว แม้เป็นคืนเดือนหงายแต่ป่าก็ดูมืดมิด
“เป็นอย่างไรบ้าง” เธอถามขณะทอดสายตามองเขา ผ่านเปลวไฟที่สุมไล่อากาศหนาวและความมืดมัว ทั้งสองอยู่ฅนละฝั่งของกองไฟ เขานั่งอิงโคนไม้อยู่
“ไม่เป็นไรแล้ว ยังไกลหัวใจ” เขาตอบออกมา
“ทีแรกทำเหมือนจะตาย” เธอพูดขึ้นลอย ๆ
“เหนื่อยเพราะหนีโจรพวกนั้นมาด้วยนี่นา” เขาทำเสียงตัดพ้อ
“วิ่งสุดชีวิตอย่างนั้นสิ” เธอยิ้มถาม เหลือบมองเขาก่อนกล่าวต่อ
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว พรุ่งนี้จะได้เดินออกจากป่าเองได้”
“แล้วเจ้าล่ะ ท่าทางร้อนรนเหมือนหนีอะไรมา” เขาเป็นฝ่ายถามบ้าง
“ก็หนีนั่นแหละ พวกมันจะฆ่าข้า”
“ใคร”
“ฅนชั่วพวกนั้น” ตอบเหมือนไม่อยากบอกอะไรมากไปกว่านี้แล้วรีบถามต่อ
“ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าดูเด็กเกินกว่าจะเป็นพ่อค้า”
“เป็นลูกน้องเขา” เด็กหนุ่มตอบพลางคิดในใจว่าเธอจะแก่กว่าเขาสักกี่ปีกัน
“ข้าเป็นลูกน้องเถ้าแก่ไทยเท่านั้น เถ้าแก่มั่น เขาจ้างข้าหาบของข้ามแดนมาเร่ขายฝั่งนี้ ไม่นึกว่าจะโดนปล้น”
เธอพยักหน้ารับฟัง แม้รู้ว่าเขายังคงเป็นฅนแปลกหน้าเกินกว่าจะเชื่อได้ทุกคำพูดก็ตาม
“ว่าแต่จะหนีไปไหน” เขาถามออกมาอีก
“บ้านป่าเกงกอง มีฅนรู้จักอยู่ที่นั่น”
“อีกไกลไหม”
“ก็น่าจะเป็นวันหรือกว่านั้น” เธอตอบพลางหันมอง เขานิ่งไม่พูดอะไรออกมาอีก เมื่อต่างฅนต่างเงียบเธอจึงขยับเอนตัวนอน ไม่กล้าปล่อยกายให้หลับใหลได้สนิทนัก เพราะคงไว้ใจเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกลางป่านี้ไม่ได้เช่นกัน
.
ไก่ป่าส่งเสียงเจื้อยแจ้วขันมาเมื่อรุ่งสาง เธอนั่งชันเข่าหน้ากองไฟ เขาเห็นได้เมื่อตื่นลืมตาขึ้นมา
“ไม่ได้หลับได้นอนเลยหรืออย่างไรกัน” ถามพลางพลิกตัวขยับลุกนั่ง
“นิดหน่อย” เธอตอบสั้น ๆ
“ว่าแต่ชื่ออะไร” ถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่รู้จักชื่อของกันและกันเลย “ข้าชื่อ สมาน” แนะนำตัวเองออกไปก่อน
“โสะเร็น” เธอตอบ “ข้าว่าข้าต้องรีบเดินทางแล้ว” บอกพลางลุกขึ้นเตรียมตัว
“ถ้าจะไปด้วย” เขากล่าวพลางจ้องหน้า เธอเลิกคิ้วจ้องกลับ
“ไม่กลับบ้านเหรอ”
“บ้านอยู่ฝั่งไทย พ่อกับแม่อพยพไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่ข้ายังเป็นเด็ก ยังไม่อยากกลับไปตอนนี้” เขาตอบทั้งยังคงมองเธอผู้ทำท่านิ่งนึก
“ถ้าไม่คิดว่าข้าจะเป็นภาระอะไรละก็…” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้นมาอีก
“อือ คงไม่เป็นไร” ในที่สุดเธอก็รับคำ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” เขาว่าพลางยันกายลุกขึ้น คลายผ้าขาวม้าออก ขมวดปมกางเกงขาก๊วยให้กระชับขึ้น จับเสื้อที่ถอดไว้ห่อผ้าขาวม้าก่อนเอามาคาดทับกางเกงอีกที หยิบสิ่งที่เธอเพิ่งเห็นเหน็บผ้าคาดพุงนั้น
“เป็นลูกน้องพ่อค้าต้องพกปืนด้วยเหรอ” เธอถามด้วยสายตายังคงจับจ้องอยู่กับสิ่งที่ถูกผ้าขาวม้ารัดไว้
“ขนาดมีปืนยังโดนปล้นเลย” เขาตอบพลางยิ้ม
“อือ” เธอส่งเสียงในลำคอตอบรับพลางสังเกตหนุ่มน้อยตรงหน้า ถึงจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
“เอารองเท้าข้าไปก็ได้” เมื่อสังเกตเห็นว่าเธอมีเพียงเท้าเปล่า สมานจึงถอดรองเท้าแตะพลางใช้เท้าเขี่ยส่งให้
.
สองฅนออกเดินทางโดยไม่มีใครพูดเรื่องอาหารเช้าแต่อย่างใด ต่างรู้ว่าไม่มีใครมีอาหารติดตัวมากันเลย
เช้าสายถึงเที่ยง สองฅนต่างเหน็ดเหนื่อยและเริ่มหิว ฤดูหนาวแบบนี้จะหวังได้เจอผลไม้ป่ารองท้องนั้นคงยาก กระทั่งครึ่งค่อนวันฅนแปลกหน้าทั้งสองจึงออกสู่ที่โล่งป่าละเมาะ
กอกล้วยป่าข้างทางเป็นสิ่งที่สมานปรี่เข้าหาเมื่อเห็นเครือสุกเหลืองนั้น แม้มันจะเต็มไปด้วยเมล็ดสีดำแข็งก็ตาม ไม่ว่าอย่างไรยังพอดูดซับรสชาติได้บ้าง
“มีแต่เม็ดกินไปได้อย่างไร” เธอถามเมื่อเดินมาถึง
“หิวจะตายอยู่แล้ว” เขาตอบเสียงห้วนโดยไม่หันมอง
“เอ้า เอาไป” ว่าพลางโยนกล้วยเครือหนึ่งใส่เขา สมานเพิ่งเห็นว่าโสะเร็นมีกล้วยนวลเครือไม่ใหญ่นักติดมือมาด้วย ถึงจะไม่ใหญ่นักแต่ก็ใหญ่กว่ากล้วยป่าที่เขากำลังเก็บกินนี้อยู่ดี
“มันก็มีเม็ดเหมือนกันนั่นแหละน่า” เขาอ้อมแอ้มเถียงไปทั้งที่ไม่รู้ว่าจะเถียงทำไม
“มีเหมือนกันก็จริง แต่กล้วยนวลยังกินได้น้ำได้เนื้อกว่า ลูกใหญ่กว่า หวานอร่อยกว่ากล้วยตานีนั่นด้วย หรือจะไม่เอา” ลงท้ายด้วยการย้อนถาม
“เอาสิ แกล้งว่าไปอย่างนั้นเอง” เขาตอบหน้าตาย เธอขำอาการไม่ต่างจากเด็กน้อยนั้น จะว่าไปเขายังดูเด็กในสายตาของเธอจริง ๆ
“บ้านข้าเขาเรียกกล้วยพระ” สมานว่าทั้งไม่ได้ใส่ใจอาการขำนั้นนัก รีบแหวกกาบดอกที่ปิดบังลูกกล้วยไว้แล้วบิดผลข้างใต้ออกมา เมล็ดดำแข็งของมันทำให้ต้องใช้วิธีแทะเล็มจึงจะได้เนื้อ
และถึงอย่างไรกล้วยนวลหรือกล้วยพระนั้นยังพอบรรเทาหิวได้ในสถานการณ์แบบนี้ ลำต้นหรือที่จริงควรเรียกว่ากาบของมันยังแก้กระหายน้ำได้อีกด้วย
.
ไม่นานสองฅนจึงออกสู่เส้นทางเดินรก ๆ ที่ยังคงพาให้พวกเขาย่ำเท้าอยู่แต่ในป่า บ่ายคล้อยจึงออกสู่ทางเกวียนกันเสียที
“หมู่บ้านคงไม่ห่างจากนี่สักเท่าไรแล้ว”
สมานบอกกับโสะเร็นตามที่คิดดังนั้น แต่แม้จะพากันย่ำเท้าจนเนิ่นนานมากแล้ว สองฅนยังไม่เจอวี่แววของหมู่บ้านแต่อย่างใดเลย
พลบค่ำจึงได้เห็นอาคารกลุ่มหนึ่งเข้ามาอยู่ในระยะรับรู้ทางสายตา เมื่อใกล้เข้าไปจึงพอมองออกว่า กลุ่มอาคารซึ่งเห็นแต่ไกลนั้นน่าจะเป็นวัดมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นพญานาคเก่าพังตรงทางเข้า หรืออาคารที่อยู่ไม่ห่างต้นโพธิ์ที่กำลังส่ายใบพลิ้วไหวนั้น ยังมองออกว่าเป็นโบสถ์เช่นกัน
“วัดร้างหรือเปล่า” สมานว่าพลางกวาดสายตามองความรกเรื้อโดยรอบ
“จะร้างหรืออะไรก็ช่างมันเถอะ อย่างน้อยคืนนี้ก็มีที่นอน” โสะเร็นบอกกับเขา สองฅนเลือกเดินไปยังโบสถ์ซึ่งอยู่ใกล้ตันโพธิ์ใหญ่นั้น ทุกสิ่งอย่างล้วนนิ่งสนิทดุจไร้วันเวลา ลมหนาวเย็นเยือกผสมบรรยากาศวังเวงยามโพล้เพล้แบบนี้ ก็ชวนให้รู้สึกผวาได้เหมือนกัน
บานประตูทำจากไม้แผ่นเดียวส่งเสียงลั่นดังเมื่อโสะเร็นผลักเปิดเข้าไป สัมผัสได้ทันทีถึงกลิ่นสาบสางปะทะฆานประสาทเข้ามา สองฅนต่างสะดุ้งพร้อมกัน ร่างเห็นเป็นเงาตะคุ่มนั้นหันมายังพวกเขาช้า ๆ มิได้รับรู้อาการตกใจของผู้ล่วงล้ำแต่อย่างใด
“หลวงตา เล่นเอาใจหายหมด”
สมานหลุดคำพูดออกมา เมื่อมองออกว่าร่างที่เห็นเป็นเงาดำนั่นแท้จริงแล้วคือภิกษุชรารูปหนึ่งเท่านั้น สองฅนจึงต่างผ่อนลมหายใจโล่งอกตามกัน แสดงว่าอย่างน้อยที่นี่ก็ไม่ใช่วัดร้าง นั่นทำให้ค่อยใจชื้นขึ้นบ้าง
“มาจากไหนจะไปไหนกันเล่าโยม” ภิกษุชราเอ่ยเสียงแหบพร่าทักทายเมื่อสองฅนเข้าไปหมอบกราบตรงหน้า
“เรามาจากบานอน” โสะเร็นเงยหน้าตอบ
“ดิฉันกับสามีกำลังเดินทางไปป่าเกงกองกันจ้ะหลวงตา”
‘สามี’
สมานอุทานคำนั้นในใจ เบิกตากว้างชำเลืองมองผู้ยังคงมีอาการเรียบเฉยในสีหน้า
“หลวงตาจำวัดอยู่รูปเดียวหรือจ๊ะ” โสะเร็นถามด้วยยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าที่นี่ช่างดูเงียบเชียบจนผิดสังเกต
“รูปเดียวนี่แหละ แถวนี้กันดารพระกันดารญาติโยมหนัก ขนาดวันนี้เป็นวันเพ็ญเดือนสิบสองแท้ ๆ ยังไม่มีชาวบ้านมาทำบุญใส่บาตรกันเลยสักฅน”
คำพูดของท่านฟังเหมือนตัดพ้อในที สมานรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นช่างดูแปลกประหลาด ทั้งอดคิดไม่ได้ว่า สายลมหนาวที่วูบผ่านเข้ามานั้นมันทำให้เขารู้สึกเย็นเยือกถึงกระดูกจับไขสันหลังได้เหมือนกัน
“เราคงต้องขออาศัยพักนอนที่นี่กันสักคืนก่อนเดินทางต่อจ้ะ” โสะเร็นกล่าวขึ้นอีก
“อาตมาเกรงว่ามันจะไม่สะดวกสักเท่าไรนักนะโยม วัดนี้ทั้งเก่าแก่และสกปรกรกร้างนัก”
โสะเร็นหันมองโดยรอบตามคำกล่าวของภิกษุชรา เห็นจริงด้วยดังนั้น ในโบสถ์นี้เต็มไปด้วยฝุ่นผงและหยากไย่ มองนอกหน้าต่างออกไปมีแต่ความอึมครึม รกร้างด้วยวัชพืชขึ้นคลุมแทบทุกบริเวณ
“ไม่เป็นไรดอกจ้ะหลวงตา เมื่อคืนเรายังนอนกลางป่ากันได้เลย” โสะเร็นกล่าว ภิกษุชราทำท่าครุ่นคิดก่อนเอ่ยออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ ไปพักนอนบนวัดกันก็ได้ ส่วนอาตมานั้นจำวัดอยู่ในโบสถ์นี่นั่นแหละ”
สองฅนไม่ทันรับคำภิกษุชรารูปนั้นก็กล่าวขึ้นอีก
“อ้อ จำไว้ว่าควรอยู่กันแต่บนวัดเท่านั้นนะ กลางค่ำกลางคืนดึกดื่น หากได้ยินเสียงหรือเห็นอะไรแปลก ๆ แล้วล่ะก็ อย่าสนใจหรือโผล่หน้าออกมาทักกันเป็นอันขาด”
“จ้ะหลวงตา ขอบพระคุณมากเลยจ้ะ” โสะเร็นยังคงเป็นฝ่ายตอบรับ สมานอดรู้สึกเสียววูบกับคำเตือนนั้นไม่ได้ จากนั้นสองฅนจึงพากันกราบลาออกมา
.
เมื่อโสะเร็นก้าวเท้าขึ้นไป พื้นบันไดก็อ่อนยวบลั่นดังตามแรงเหยียบ สมานย่างตามด้วยอาการระมัดระวัง ไม่อยากให้มีเสียงรบกวนความเงียบ ทั้งกลัวมันจะหักพังลงด้วย
ที่นี่ช่างดูวังเวงนัก บนวัดทั้งสกปรกรกร้าง เต็มไปด้วยฝุ่นผงและกลิ่นสาบสางไม่ต่างจากในโบสถ์เช่นกัน ใต้หลังคาและผนังเต็มไปด้วยหยากไย่ดำเต็มไปหมด ผ้าพระหรือสบงจีวรเก่า ๆ กองอยู่มุมหนึ่งนั้น พอให้สองฅนมีเครื่องคลายหนาวกันได้บ้าง แม้ต้องสะบัดฝุ่นกันหนักหน่อยก็ตาม
“ไปนอนมุมนั้นเลย” โสะเร็นบอกสมานทั้งชี้มือไปยังมุมหนึ่งของวัด
“ทำไมล่ะ ผัวเมียเขาต้องนอนด้วยกันไม่ใช่เหรอ” หนุ่มน้อยกล่าวเจ้าเล่ห์ออกมา
“ใครเป็นเมียเจ้า”
“บอกกับหลวงตาเมื่อกี๊เองนี่นา” มันพูดลอย ๆ ออกมา
“ขี้เกียจต้องอธิบายอะไรให้มันยืดยาวเท่านั้นแหละ ไปนอนตรงนั้นเลย” โสะเร็นออกคำสั่งอีกครั้ง
“ว้า หลอกให้ดีใจเสียอย่างนั้น” สมานบ่นพึมพำ โสะเร็นชำเลืองมองตาขวางใส่ ไม่นึกว่ามันจะปากเปราะถึงเพียงนี้