ใกล้จบเต็มทีแล้วนะคะ สำหรับนิยายป่าดงพงไพรเรื่องนี้ ยังเขียนไม่จบตอน แต่เอามาให้อ่านกันก่อนเพื่อขอคำแนะนำติติงค่ะ เพราะเรื่องขมวดช่วงไคลแมกเข้ามา จนคนเขียนเองแอบเป็นกังวลกับฉากดราม่าว่าจะสื่อสารออกมาได้ตรงความรู้สึกคนอ่านหรือเปล่าค่ะ
ผจญภัยป่าสาละวิน ตอนที่ 8
ล. วิลิศมาหรา
เมื่อไม่มีหนทางแก้ไขอื่นอีก สองพรานก็ไม่มีทางเลือก จำต้องเข้าป่ามรณะมาอีกครั้ง การมาในครั้งนี้ของนายพราน ไม่ได้มีความต้องการจะเข้ามาล่าสัตว์แต่อย่างใด พรานเยี่ยมหอบเอาหัวใจที่แหลกสลาย เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเสียใจเข้าป่ามา พรานถมเองก็มีความรู้สึกไม่แตกต่างกัน แมกไม้ใบดกหนาของผืนป่า ทุ่งหญ้าเขียวระบัด ลำห้วยโตรกหินซอกลำธาร สัตว์ป่านานาชนิดที่เห็นเดินผ่านหน้าไปมา ไม่ได้อยู่ในความสนใจของพรานป่าอย่างพวกตน ทั้งคู่มุ่งความสนใจไปยังบ้านน้อยหลังดงไม้ ห่างจากดงกล้วยริมลำธารไปไม่มากนัก ซึ่งเคยเป็นสถานที่พักพิงของพวกตนเมื่อแรกเจอกับสา
สองพรานใช้เวลาไม่นานในการมาครั้งนี้ เพราะเริ่มคุ้นชินกับเส้นทางในป่า พอข้ามสันเขาลูกแรกมาแล้ว ก็เข้าสู่ป่าลึกฝั่งขวาของลุ่มน้ำสาละวิน เดินป่ามาอีกสักระยะ ดงไม้อันเป็นที่อยู่ของลุงคำมากับลูกสาวก็ปรากฏแก่สายตาอยู่ข้างหน้า ในเวลาบ่ายคล้อยลง ไม่ถึงกับข้ามคืนเหมือนการมาครั้งแรก
“พี่ถม พี่เยี่ยม”
เสียงเรียกชื่อสองพรานของสายดังขึ้นทันทีที่ทั้งคู่พ้นดงไม้เข้ามา ร่างของสายโผเข้ามาหาด้วยม่าทางตื่นเต้นดีใจ พรานถมอดอ้าแขนออกเพื่อรอสวมกอดเธอไม่ได้ หนุ่มสาวทั้งคู่โผเข้ากอดกันด้วยความรู้สึกถวิลหาที่เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ พรานเยี่ยมยืนมองนิ่งด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ นึกสลดใจในชะตากรรมความรักของพวกตน ฟ้าดินช่างกลั่นแกล้งลงโทษพวกตนอย่างไร้ความปรานี จะมีความรักทั้งทีก็กลายเป็นรักต้องห้ามไป ไม่มีความหวังว่าจะได้ร่วมชีวิตคู่ ไม่ว่าตนหรือพรานถม นึกแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจใหญ่ด้วยอาการของคนเป็นทุกข์
“ทำไมพี่สองคนถึงย้อนกลับมาอีกล่ะ” แม้คิดถึงใจแทบขาด แต่ยังอดนึกเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของสองพรานไม่ได้ สายถามขึ้นด้วยความแปลกใจ ด้วยคิดว่าชาตินี้คงลาขาด ไม่มีทางได้พบกันอีกแล้ว
“พี่สองคนจำเป็นต้องกลับมา มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่หมู่บ้านของพวกพี่ พาพี่ไปหาพ่อของสายก่อน เดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟังพร้อมกัน”
พรานถมบอกกับคนรัก สายพยักหน้าแบบงง ๆ เธอพาสองพรานเดินไปทางบ้านของตน
เมื่อทั้งสองคนมาพบกับลุงคำมาที่บ้าน เห็นแกกำลังนั่งจักสานเส้นตอกอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้าน หน้าตาของแกดูผ่องใส ไม่น่าหวั่นเกรงเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก แสดงว่าแกคงตั้งใจถือศีลภาวนา ไม่ทำร้ายใคร และไม่กินเนื้อคนอีก
“อ้าว...พวกเอ็งนึกยังไงถึงได้เข้าป่านี้มากันอีกล่ะ” แกเองก็คงนึกสงสัยเช่นเดียวกันกับลูกสาว พอรับไหว้ชายหนุ่มทั้งสองแล้ว จึงถามไถ่ถึงความเป็นมา สองพรานนั่งลงด้านข้างของลุงคำมา แล้วพรานถมก็เป็นคนเอ่ยปากกับแกเอง
“เรามีเรื่องไม่สู้ดีมาปรึกษากับลุงจ้ะ ถึงต้องดั้นด้นมาที่นี่กันอีก ความจริงข้าไปทำงานที่ปางไม้แล้ว คิดว่าจะเลิกเป็นนายพราน ส่วนไอ้เยี่ยมมันก็หันไปทำนาทำไร่ แต่พอดีมันมีเรื่องอย่างที่ว่า ก็เลยต้องเข้าป่ามาเพื่อขอความช่วยเหลือจากลุง”
“เอ็งจะให้ข้าช่วยยังไงวะ เดี๋ยวนี้ข้ากำหนดจิต ห้ามตัวเองไม่ให้กลายเป็นเสือเย็นในคืนวันเพ็ญได้แล้วนะ อิทธิฤทธิ์ด้านวิชาอาคมของข้ามันก็อ่อนลงมาก ไม่ขลังเหมือนแต่ก่อน”
“ความจริงข้าก็ดีใจนะ ที่ได้ยินลุงบอกแบบนี้ ขอให้ลุงกับสายบรรลุในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ด้วยดีเถอะ ข้าสองคนเอาใจช่วย”
ว่าแล้วพรานถมก็ถอนหายใจยาว หันมามองหน้าพรานเยี่ยมอย่างหนักใจ หากการเจอกันในครั้งนี้ไม่มีเรื่องของสาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คงจะมีความยินดีได้มากกว่านี้
“เอ็งจะให้ข้าช่วยอะไรก็ว่ามา” ลุงคำมาชักรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ในสีหน้าท่าทางของสองนายพราน
“คืออย่างนี้จ้ะ ข้ามันไม่ดีเอง ตอนออกจากป่าไป ข้าได้นำวิญญาณของสาออกไปด้วย เอ้อ...ข้ากับสารักกัน ข้าเลยตัดสินใจปลุกเสกสาขึ้นมา เพื่อให้มาอยู่กินด้วยกันจ้ะ”
พรานเยี่ยมอ้อมแอ้มเล่า พูดยังไม่ทันขาดคำก็ต้องสะดุ้ง เมื่อลุงคำมาตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่ นัยน์ตาของแกวาวขึ้นเหมือนตาเสือจ้องเหยื่อไม่มีผิด
“เอ็งบังอาจทำกับลูกข้าแบบนี้เชียวเหรอวะ”
“พ่อใจเย็นก่อนสิจ๊ะ ฟังพี่เยี่ยมเขาก่อน” สายรีบเข้ามาจับมือพ่อไว้ พลางขอร้องพ่อเสียงสั่น ด้วยกลัวอาการโกรธของลุงคำมาจะระเบิดออกมาจนคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วกลายเป็นเสือไปอีก
“เอ็งทำแบบนี้เท่ากับไม่นับถือข้า มิน่าล่ะ นึกอยู่ว่าทำไมหมู่นี้สามันไม่เคยออกมาให้ข้าเห็น ที่แท้เอ็งพามันไปอยู่ด้วย เอ็งมันหยามหน้าข้ามาก ไอ้เยี่ยม”
ลุงคำมาพูดเหมือนคำราม สายรีบเข้ามากอดพ่อไว้ ขอร้องให้ฟังเรื่องราวจนจบลงเสียก่อน
“ข้าขอโทษจริง ๆ จ้ะ ข้ากราบเท้าลุงล่ะ ข้าผิดไปแล้ว สำนึกผิดแล้วจริง ๆจ้ะ”
พรานเยี่ยมรีบทรุดตัวลงก้มกราบแทบเท้าของลุงคำมา น้ำตาลูกผู้ชายไหลซึมออกมาด้วยความสำนึกผิดต่อการกระทำของตนเอง ที่ทำให้ต้องเดือดร้อนกันไปหมด ลุงคำมาพยายามระงับความโกรธ ตั้งสติขึ้นมา กัดฟันถามว่า
“มีอะไรที่ไม่ดีเกิดกับลูกข้าใช่ไหม เอ็งรีบเล่ามาให้หมด”
“ข้าพลาดที่ไปใช้อาคมด้านมืดปลุกเสกสาขึ้นมาให้เป็นเครื่องราง จนทำให้สากลายเป็นผีตานีที่ดุร้าย เธอฆ่าคนตายไปแล้วคนหนึ่ง เพราะกลัวจะมาแยกข้าไปจากเธอ”
“โธ่เอ๋ย....” สายอุทานออกมา สงสารชะตากรรมของน้องสาวจับใจ
“สาดุร้ายขึ้นทุกวัน เป่ามนตร์ให้ไอ้เยี่ยมไม่มีสติ บังตาไม่ให้รู้เห็นว่าสิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ ขู่จะฆ่าทุกคนที่เข้ามาขวางทาง แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่เว้น ข้าทนเห็นสภาพของไอ้เยี่ยมไม่ได้ เลยพามันไปรักษากับหมอคาถา เมื่อคืนนี้สาก็ตามไปทำร้ายหมอคาถาถึงที่บ้าน จนอาการปางตาย ขู่อาฆาตเอาไว้ ถ้าไม่ปล่อยให้ไอ้เยี่ยมกลับไปหาจะฆ่าคนทิ้งทั้งหมู่บ้าน ข้าพูดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง”
“สาทำขนาดนั้นเชียวหรือนี่” สายตกใจ ร้องอุทานออกมาอีก ลุงคำมานั่งฟังด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด จากความโมโหแทบตายกลายมาเป็นความวิตกกังวลถึงลูกสาวของตน ที่กำลังจะเดินซ้ำรอยเดิมของพ่อ ซึ่งต้องกลายเป็นเสือเย็นจากความอาฆาตแค้นจนขาดสติ มันไม่เป็นผลดีต่อวิญญาณของสาเลย ที่สร้างเวรกรรมเอาไว้จนอาจจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด
“เอ็งคงไม่กล้าทำลายเครื่องรางทิ้งสินะ เพราะมันจะเท่ากับเป็นการทำลายดวงวิญญาณของสาไปด้วย”
แกจ้องมองพรานหนุ่มที่ยังคงนั่งยอง ๆ ยกมือพนมไหว้อยู่แทบเท้าด้วยแววตาที่อ่อนลงไป
“ข้าทำไม่ลงจ้ะ ข้ากับไอ้ถมเลยมาขอคำปรึกษาจากลุง ว่าพอจะมีทางทำให้สาสงบลงบ้างไหม ขอแค่ให้เธอไม่ไปทำร้ายใครอีก จะให้ทำอะไรข้ายอมทั้งนั้น”
“เอ็งไม่น่าทำกับสามันแบบนี้เลย ไอ้เยี่ยม” แม้จะข่มความโมโหลงบ้างแล้ว แต่ลุงคำมาก็ยังโกรธผู้ชายตรงหน้าอยู่ดี แกตะคอกใส่ ในใจก็ครุ่นคิดหาวิธีช่วยลูกสาวของตน
“ข้าจะไปทำให้สามันสงบลงได้ยังไง นอกจากตัวมันจะสงบลงเอง หรือถึงข้าบอกมัน สามันก็คงไม่ทำตาม วิญญาณบริสุทธิ์ที่ถูกทำให้เป็นภูตด้วยอวิชชาไปแล้ว ดวงจิตจะตกอยู่ในอกุศล ความคิดมีแต่ด้านมืดเท่านั้น ในเมื่อเอ็งไม่กล้าทำลายเครื่องรางลง ก็มีวิธีเดียว ต้องทำลายต้นกล้วยที่สาสิงอยู่ทิ้งซะ สามันถึงจะยอมหยุด”
“ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับทำลายสาทิ้งไปเหมือนกันนะพ่อ”
สายท้วงเสียงดังทันที เพราะวิธีนี้ก็ไม่ต่างกับขุกรากถอนโคนดวงวิญญาณน้องสาวของตนเอง ให้เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไปตลอดกาล
“อุวะ! แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ ทำโน่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ ข้าหมดปัญญาแล้วโว้ย” ลุงคำมาตะคอกใส่ลูกอย่างหัวเสีย
“ให้ฉันลองคุยกับน้องดูก่อน ฉันพอมีวิธีคุยอยู่ คิดว่าสาคงจะตามมาที่นี่ด้วยแน่”
สิ้นคำพูดของสาย นกเค้าแมวตัวใหญ่ก็บินถลาผ่านหน้าทุกคนไปจับอยู่ที่กิ่งไม้ข้างบ้าน มันจ้องดวงตาแวววาวของมันมาที่ทุกคนเขม็ง ทั้งสี่คนมองไปทางมัน ต่างนึกรู้ว่าเจ้านกตัวนี้มีวิญญาณของนางตานีสิงอยู่ มันอ้าปากส่งเสียงร้อง แต่ไม่ใช่เสียงนกร้อง กลับเป็นเสียงผู้หญิงที่กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บแค้น และเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย ก่อนที่มันจะกางปีกโผบินหายไปทางน้ำตก
“สาตามมาจริง ๆ” พรานเยี่ยมมองตามนกแล้วครางออกมา
“ถ้างั้นเราไปที่ดงกล้วยกันเถอะ เราต้องไปที่นั่นก่อนตะวันจะตกดิน” พรานถมแหงนมองท้องฟ้าที่บัดนี้แสงตะวันกำลังอ่อนจางลงทุกที เนื่องจากจะเป็นเวลาเย็นย่ำของวันนี้แล้ว
“ถ้าเราไปที่นั่นกันแล้ว สาเกิดไม่ยอมตามที่ขอร้องล่ะ” พรานเยี่ยมยังไม่คลายความวิตก ถามออกมาเสียงแห้ง
“ข้ากับเอ็งก็ต้องตัดสินใจกันสิวะ ว่าจะให้สาเป็นนางตานีอยู่แบบนี้ โดยที่เอ็งยอมตามมันทุกอย่าง จนกระทั่งเอ็งตายไป กับวิธีสุดท้ายก็คือทำลายสาลงซะ”
คำตอบของลุงคำมาที่มีต่อดวงวิญญาณของลูกสาว บ่งบอกถึงความเฉียบขาดของการตัดสินใจ ในฐานะคนเป็นพ่อ
ซึ่งเมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของพรานเยี่ยมก็เปล่งประกายเด็ดเดี่ยวออกมา เมื่อลุงคำมากล้าตัดสินใจ เขาเองก็ต้องกล้าเช่นเดียวกัน
ผจญภัยป่าสาละวิน ตอนที่ 8
สองพรานใช้เวลาไม่นานในการมาครั้งนี้ เพราะเริ่มคุ้นชินกับเส้นทางในป่า พอข้ามสันเขาลูกแรกมาแล้ว ก็เข้าสู่ป่าลึกฝั่งขวาของลุ่มน้ำสาละวิน เดินป่ามาอีกสักระยะ ดงไม้อันเป็นที่อยู่ของลุงคำมากับลูกสาวก็ปรากฏแก่สายตาอยู่ข้างหน้า ในเวลาบ่ายคล้อยลง ไม่ถึงกับข้ามคืนเหมือนการมาครั้งแรก
“พี่ถม พี่เยี่ยม”
เสียงเรียกชื่อสองพรานของสายดังขึ้นทันทีที่ทั้งคู่พ้นดงไม้เข้ามา ร่างของสายโผเข้ามาหาด้วยม่าทางตื่นเต้นดีใจ พรานถมอดอ้าแขนออกเพื่อรอสวมกอดเธอไม่ได้ หนุ่มสาวทั้งคู่โผเข้ากอดกันด้วยความรู้สึกถวิลหาที่เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ พรานเยี่ยมยืนมองนิ่งด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ นึกสลดใจในชะตากรรมความรักของพวกตน ฟ้าดินช่างกลั่นแกล้งลงโทษพวกตนอย่างไร้ความปรานี จะมีความรักทั้งทีก็กลายเป็นรักต้องห้ามไป ไม่มีความหวังว่าจะได้ร่วมชีวิตคู่ ไม่ว่าตนหรือพรานถม นึกแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจใหญ่ด้วยอาการของคนเป็นทุกข์
“ทำไมพี่สองคนถึงย้อนกลับมาอีกล่ะ” แม้คิดถึงใจแทบขาด แต่ยังอดนึกเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของสองพรานไม่ได้ สายถามขึ้นด้วยความแปลกใจ ด้วยคิดว่าชาตินี้คงลาขาด ไม่มีทางได้พบกันอีกแล้ว
“พี่สองคนจำเป็นต้องกลับมา มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่หมู่บ้านของพวกพี่ พาพี่ไปหาพ่อของสายก่อน เดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟังพร้อมกัน”
พรานถมบอกกับคนรัก สายพยักหน้าแบบงง ๆ เธอพาสองพรานเดินไปทางบ้านของตน
เมื่อทั้งสองคนมาพบกับลุงคำมาที่บ้าน เห็นแกกำลังนั่งจักสานเส้นตอกอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ถุนบ้าน หน้าตาของแกดูผ่องใส ไม่น่าหวั่นเกรงเหมือนตอนเจอกันครั้งแรก แสดงว่าแกคงตั้งใจถือศีลภาวนา ไม่ทำร้ายใคร และไม่กินเนื้อคนอีก
“อ้าว...พวกเอ็งนึกยังไงถึงได้เข้าป่านี้มากันอีกล่ะ” แกเองก็คงนึกสงสัยเช่นเดียวกันกับลูกสาว พอรับไหว้ชายหนุ่มทั้งสองแล้ว จึงถามไถ่ถึงความเป็นมา สองพรานนั่งลงด้านข้างของลุงคำมา แล้วพรานถมก็เป็นคนเอ่ยปากกับแกเอง
“เรามีเรื่องไม่สู้ดีมาปรึกษากับลุงจ้ะ ถึงต้องดั้นด้นมาที่นี่กันอีก ความจริงข้าไปทำงานที่ปางไม้แล้ว คิดว่าจะเลิกเป็นนายพราน ส่วนไอ้เยี่ยมมันก็หันไปทำนาทำไร่ แต่พอดีมันมีเรื่องอย่างที่ว่า ก็เลยต้องเข้าป่ามาเพื่อขอความช่วยเหลือจากลุง”
“เอ็งจะให้ข้าช่วยยังไงวะ เดี๋ยวนี้ข้ากำหนดจิต ห้ามตัวเองไม่ให้กลายเป็นเสือเย็นในคืนวันเพ็ญได้แล้วนะ อิทธิฤทธิ์ด้านวิชาอาคมของข้ามันก็อ่อนลงมาก ไม่ขลังเหมือนแต่ก่อน”
“ความจริงข้าก็ดีใจนะ ที่ได้ยินลุงบอกแบบนี้ ขอให้ลุงกับสายบรรลุในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ด้วยดีเถอะ ข้าสองคนเอาใจช่วย”
ว่าแล้วพรานถมก็ถอนหายใจยาว หันมามองหน้าพรานเยี่ยมอย่างหนักใจ หากการเจอกันในครั้งนี้ไม่มีเรื่องของสาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คงจะมีความยินดีได้มากกว่านี้
“เอ็งจะให้ข้าช่วยอะไรก็ว่ามา” ลุงคำมาชักรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ในสีหน้าท่าทางของสองนายพราน
“คืออย่างนี้จ้ะ ข้ามันไม่ดีเอง ตอนออกจากป่าไป ข้าได้นำวิญญาณของสาออกไปด้วย เอ้อ...ข้ากับสารักกัน ข้าเลยตัดสินใจปลุกเสกสาขึ้นมา เพื่อให้มาอยู่กินด้วยกันจ้ะ”
พรานเยี่ยมอ้อมแอ้มเล่า พูดยังไม่ทันขาดคำก็ต้องสะดุ้ง เมื่อลุงคำมาตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่ นัยน์ตาของแกวาวขึ้นเหมือนตาเสือจ้องเหยื่อไม่มีผิด
“เอ็งบังอาจทำกับลูกข้าแบบนี้เชียวเหรอวะ”
“พ่อใจเย็นก่อนสิจ๊ะ ฟังพี่เยี่ยมเขาก่อน” สายรีบเข้ามาจับมือพ่อไว้ พลางขอร้องพ่อเสียงสั่น ด้วยกลัวอาการโกรธของลุงคำมาจะระเบิดออกมาจนคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วกลายเป็นเสือไปอีก
“เอ็งทำแบบนี้เท่ากับไม่นับถือข้า มิน่าล่ะ นึกอยู่ว่าทำไมหมู่นี้สามันไม่เคยออกมาให้ข้าเห็น ที่แท้เอ็งพามันไปอยู่ด้วย เอ็งมันหยามหน้าข้ามาก ไอ้เยี่ยม”
ลุงคำมาพูดเหมือนคำราม สายรีบเข้ามากอดพ่อไว้ ขอร้องให้ฟังเรื่องราวจนจบลงเสียก่อน
“ข้าขอโทษจริง ๆ จ้ะ ข้ากราบเท้าลุงล่ะ ข้าผิดไปแล้ว สำนึกผิดแล้วจริง ๆจ้ะ”
พรานเยี่ยมรีบทรุดตัวลงก้มกราบแทบเท้าของลุงคำมา น้ำตาลูกผู้ชายไหลซึมออกมาด้วยความสำนึกผิดต่อการกระทำของตนเอง ที่ทำให้ต้องเดือดร้อนกันไปหมด ลุงคำมาพยายามระงับความโกรธ ตั้งสติขึ้นมา กัดฟันถามว่า
“มีอะไรที่ไม่ดีเกิดกับลูกข้าใช่ไหม เอ็งรีบเล่ามาให้หมด”
“ข้าพลาดที่ไปใช้อาคมด้านมืดปลุกเสกสาขึ้นมาให้เป็นเครื่องราง จนทำให้สากลายเป็นผีตานีที่ดุร้าย เธอฆ่าคนตายไปแล้วคนหนึ่ง เพราะกลัวจะมาแยกข้าไปจากเธอ”
“โธ่เอ๋ย....” สายอุทานออกมา สงสารชะตากรรมของน้องสาวจับใจ
“สาดุร้ายขึ้นทุกวัน เป่ามนตร์ให้ไอ้เยี่ยมไม่มีสติ บังตาไม่ให้รู้เห็นว่าสิ่งไหนจริงสิ่งไหนเท็จ ขู่จะฆ่าทุกคนที่เข้ามาขวางทาง แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่เว้น ข้าทนเห็นสภาพของไอ้เยี่ยมไม่ได้ เลยพามันไปรักษากับหมอคาถา เมื่อคืนนี้สาก็ตามไปทำร้ายหมอคาถาถึงที่บ้าน จนอาการปางตาย ขู่อาฆาตเอาไว้ ถ้าไม่ปล่อยให้ไอ้เยี่ยมกลับไปหาจะฆ่าคนทิ้งทั้งหมู่บ้าน ข้าพูดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง”
“สาทำขนาดนั้นเชียวหรือนี่” สายตกใจ ร้องอุทานออกมาอีก ลุงคำมานั่งฟังด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด จากความโมโหแทบตายกลายมาเป็นความวิตกกังวลถึงลูกสาวของตน ที่กำลังจะเดินซ้ำรอยเดิมของพ่อ ซึ่งต้องกลายเป็นเสือเย็นจากความอาฆาตแค้นจนขาดสติ มันไม่เป็นผลดีต่อวิญญาณของสาเลย ที่สร้างเวรกรรมเอาไว้จนอาจจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด
“เอ็งคงไม่กล้าทำลายเครื่องรางทิ้งสินะ เพราะมันจะเท่ากับเป็นการทำลายดวงวิญญาณของสาไปด้วย”
แกจ้องมองพรานหนุ่มที่ยังคงนั่งยอง ๆ ยกมือพนมไหว้อยู่แทบเท้าด้วยแววตาที่อ่อนลงไป
“ข้าทำไม่ลงจ้ะ ข้ากับไอ้ถมเลยมาขอคำปรึกษาจากลุง ว่าพอจะมีทางทำให้สาสงบลงบ้างไหม ขอแค่ให้เธอไม่ไปทำร้ายใครอีก จะให้ทำอะไรข้ายอมทั้งนั้น”
“เอ็งไม่น่าทำกับสามันแบบนี้เลย ไอ้เยี่ยม” แม้จะข่มความโมโหลงบ้างแล้ว แต่ลุงคำมาก็ยังโกรธผู้ชายตรงหน้าอยู่ดี แกตะคอกใส่ ในใจก็ครุ่นคิดหาวิธีช่วยลูกสาวของตน
“ข้าจะไปทำให้สามันสงบลงได้ยังไง นอกจากตัวมันจะสงบลงเอง หรือถึงข้าบอกมัน สามันก็คงไม่ทำตาม วิญญาณบริสุทธิ์ที่ถูกทำให้เป็นภูตด้วยอวิชชาไปแล้ว ดวงจิตจะตกอยู่ในอกุศล ความคิดมีแต่ด้านมืดเท่านั้น ในเมื่อเอ็งไม่กล้าทำลายเครื่องรางลง ก็มีวิธีเดียว ต้องทำลายต้นกล้วยที่สาสิงอยู่ทิ้งซะ สามันถึงจะยอมหยุด”
“ถ้าทำแบบนั้นก็เท่ากับทำลายสาทิ้งไปเหมือนกันนะพ่อ”
สายท้วงเสียงดังทันที เพราะวิธีนี้ก็ไม่ต่างกับขุกรากถอนโคนดวงวิญญาณน้องสาวของตนเอง ให้เป็นสัมภเวสีเร่ร่อนไปตลอดกาล
“อุวะ! แล้วจะให้ข้าทำยังไงล่ะ ทำโน่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ ข้าหมดปัญญาแล้วโว้ย” ลุงคำมาตะคอกใส่ลูกอย่างหัวเสีย
“ให้ฉันลองคุยกับน้องดูก่อน ฉันพอมีวิธีคุยอยู่ คิดว่าสาคงจะตามมาที่นี่ด้วยแน่”
สิ้นคำพูดของสาย นกเค้าแมวตัวใหญ่ก็บินถลาผ่านหน้าทุกคนไปจับอยู่ที่กิ่งไม้ข้างบ้าน มันจ้องดวงตาแวววาวของมันมาที่ทุกคนเขม็ง ทั้งสี่คนมองไปทางมัน ต่างนึกรู้ว่าเจ้านกตัวนี้มีวิญญาณของนางตานีสิงอยู่ มันอ้าปากส่งเสียงร้อง แต่ไม่ใช่เสียงนกร้อง กลับเป็นเสียงผู้หญิงที่กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บแค้น และเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย ก่อนที่มันจะกางปีกโผบินหายไปทางน้ำตก
“สาตามมาจริง ๆ” พรานเยี่ยมมองตามนกแล้วครางออกมา
“ถ้างั้นเราไปที่ดงกล้วยกันเถอะ เราต้องไปที่นั่นก่อนตะวันจะตกดิน” พรานถมแหงนมองท้องฟ้าที่บัดนี้แสงตะวันกำลังอ่อนจางลงทุกที เนื่องจากจะเป็นเวลาเย็นย่ำของวันนี้แล้ว
“ถ้าเราไปที่นั่นกันแล้ว สาเกิดไม่ยอมตามที่ขอร้องล่ะ” พรานเยี่ยมยังไม่คลายความวิตก ถามออกมาเสียงแห้ง
“ข้ากับเอ็งก็ต้องตัดสินใจกันสิวะ ว่าจะให้สาเป็นนางตานีอยู่แบบนี้ โดยที่เอ็งยอมตามมันทุกอย่าง จนกระทั่งเอ็งตายไป กับวิธีสุดท้ายก็คือทำลายสาลงซะ”
คำตอบของลุงคำมาที่มีต่อดวงวิญญาณของลูกสาว บ่งบอกถึงความเฉียบขาดของการตัดสินใจ ในฐานะคนเป็นพ่อ
ซึ่งเมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของพรานเยี่ยมก็เปล่งประกายเด็ดเดี่ยวออกมา เมื่อลุงคำมากล้าตัดสินใจ เขาเองก็ต้องกล้าเช่นเดียวกัน