เรื่อง : ป่าลับแล (1/2)
โดย : ละเว้
บทที่ ๑ จากไทยสู่ป่าดงแดนแขมร์(ต่อ)
‘พ่อต้องทนได้เพื่อเอ็ง’
สองนั่งอยู่หน้าสำนักงาน บอกลูกชายผ่านใบสนซึ่งกำลังส่งเสียงหวีดหวิวเมื่อต้องสายลม แม้ไอ้บิ๊กจะไม่อาจรับรู้ได้เลยก็ตาม
สองหันมองเมื่อเด็กชายวัยสิบสามเดินมายังเขา
ถึงจะมาอยู่ฝั่งตะวันออกตั้งแต่ยังเล็ก แต่สองไม่เคยลืมว่าเขามาจากแม่สอด เขาจึงมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับคนงานจากอำเภอแม่สายได้ไม่ยาก เพราะถึงอย่างไรก็มาจากเหนือเหมือนกัน โดยเฉพาะกับ อี๊ แม้ว่าเด็กชายจะเป็นชาวม้งก็ตาม
“เบื่อเหรอ” สองถามเมื่อเห็นกิริยาของอี๊ขณะนั่งลงข้างกัน
“เบื่อครับ แต่ไม่เท่าไร” เด็กชายตอบด้วยสำเนียงชนเผ่าของเขา
"ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรเลย” อี๊พึมพำต่อ ต่างฅนล้วนเบื่อหน่ายไม่ต่างกัน
"ไม่ไปเที่ยวปลายสะพานล่ะ" สองถาม
“ทะเลที่นี่ไม่เห็นสวยเหมือในหนังเลยสักนิด” อี๊พูดขึ้นอีก เขาหมายถึงทะเลบริเวณสะพานปลาที่สองถามถึง ซึ่งช่วงเย็นถึงค่ำ จะมีรถพ่วงมอเตอร์ไซค์และรถเข็นมาขายอาหารให้กับผู้มาหาที่ผ่อนคลาย บางวันหากขยันเดินพวกเขาจะไปที่นั่นกัน อี๊ยอมรับว่าตอนได้เห็นทะเลครั้งแรกเขารู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน แต่พอนานวันเข้าเขาก็อดรู้สึกเฉยชากับทะเลที่ไม่มีหาดทรายนี้ไม่ได้
“แถวนี้มันไม่มีชายหาดนี่นา อยากสวยเหมือนในหนังต้องไปหาดบานชื่น"
คำตอบของสองทำให้อี๊เงยหน้ามอง
“อยู่ไกลไหมครับ” ไอ้หนูถามด้วยความสนใจ
“ไม่ไกลหรอก”
อี๊ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนสลดลงในชั่วขณะ
“พ่อไม่พาไปอยู่ดี แต่ได้เห็นทะเลแค่นี้ก็ดีแล้วครับ ผมอยากเห็นมานานแล้ว” ไอ้หนูพูดประสาซื่อ สองหันมองส่งยิ้มให้เด็กชาย
“เออ ถ้ามีโอกาสจะพาไป” สองบอก เด็กชายพยักหน้ารับเงียบ ๆ
.
ลมยังคงพัดใบสนส่งเสียงหวีดหวิว ย่ำค่ำ อี๊จากไปนานแล้ว สองยังคงนั่งปล่อยความคิดกระทั่งเสียงทักทายดังขึ้น
“นั่งมืด ๆ คนเดียวคิดอะไรเหรอวะ”
สองหันตามเสียงนั้น วินัย หัวหน้ากลุ่มของเขานั่นเอง
“คิดถึงลูก” สองตอบเรียบ ๆ
“อะไรกัน ไม่ทันเข้าป่าเลย คิดถึงลูกเสียแล้ว แบบนี้มันจะไหวเหรอวะ”
วินัยว่าพลางหัวเราะร่วนออกมา วินัยไม่ค่อยทราบเรื่องราวของสองมากนัก และสองมองออกว่าวินัยพูดแหย่เขาด้วยความเป็นฅนอารมณ์ดีมากกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาคงได้แต่ยิ้มแห้งให้กับถ้อยคำหยอกล้อนั้น
.
บางฅนล้อมวงร่ำสุราเมื่อค่ำคืนมาถึง บางฅนนั่งล้อมวงตีดัมมี่มาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว เสียงไอ้ชิตดังมาจากวงเหล้าขณะสองอยู่กับความเบื่อหน่ายบนเสื่อที่ใช้ปูนอน
“เพิ่งรู้ว่าไอ้เด็กนั่นเป็นแม้ว” แสนซึ่งนอนอยู่ข้างสองชวนคุย
อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายวัน เพราะมัวแต่วางท่าจึงยังไม่รู้จักหรือไม่เคยทักทายกัน พอรู้ว่าอี๊เป็นม้งที่แสนเรียกว่าแม้วเด็กชายจึงเกิดความสนใจ
“ก็เด็กรุ่นเดียวกับเอ็งนั่นแหละ” สองตอบพลางพูดต่อ “และเขาเป็นม้ง ไม่ใช่แม้ว” สองรู้ว่าฅนม้งไม่ชอบการถูกเรียกว่าแม้ว แต่ฅนไทยส่วนใหญ่กลับรู้จักม้งในนามของแม้วไม่ต่างจากแสน
“ม้งคืออะไร” แสนถามทั้งตีหน้าสงสัย เขาไม่เคยได้ยินคำว่าม้งมาก่อน
“ม้งก็คือฅนที่เอ็งเรียกพวกเขาว่าแม้วนั่นแหละ แต่ม้งไม่ใช่แม้ว ม้งไม่ชอบให้ใครเรียกตัวเองว่าแม้ว” สองพยายามอธิบาย
“อ้าว ทำไมล่ะ ซื่อแม้วเพราะจะตาย” ไอ้หนูยังไม่หยุดซักถาม
“เรามองว่าเพราะ แต่เขาไม่ชอบให้เรียกแบบนั้นเพราะเขาไม่ใช่แม้ว” สองบอกออกมาอีก
“เรื่องมากจริง ๆ” แสนตอบพึมพำเหมือนไม่ได้สนใจคำอธิบายของสองแต่อย่างใด
.
“พรุ่งนี้เข้าป่าได้แล้ว”
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เมื่อวินัยเดินลงมาจากออฟฟิศซึ่งเป็นส่วนยกพื้นสูงเท่ากับระดับหลังคาอาคารที่พวกเขาใช้หลับนอน
สองดีดตัวจากเสื่อขึ้นมาลุกนั่งทันที เมื่อการรอคอยถูกทำลายก็ยิ้มกว้างออกมาได้ ความหวังของเขาใกล้เข้ามากับคำว่าพรุ่งนี้เข้าป่าได้แล้วจริง ๆ
“จริงเหรอ” แสนซึ่งเอนหลังอยู่ข้างกันพลิกตัวถาม ต่างดีใจที่จะได้เข้าป่ากันเสียที ทุกฅนในกลุ่มของเขาต่างรับฟังข่าวด้วยความยินดีเช่นกัน
.
วันนี้ยังคงมีสายลมหนาวและแสงแดดจาง ๆ ไม่ต่างจากเดิม ทั้งชิต สม กับอุทัย และผู้จัดการโสภน ต่างออกเดินทางเมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหารแต่เช้าตรู่ พวกเขาต้องนั่งรถเพื่อไปต่อเรือที่บ้านหาดเล็กกันอีกที
รถรับส่งผู้จัดการโสภนและชิตเคลื่อนตัวออกไปแล้ว สองกับวิชาและพรรคพวกรวมถึงกลุ่มที่มาจากทางเหนือและอีสานจึงเริ่มกินข้าวเช้า
‘ยังดีที่ไปกันฅนละทาง’
สองคิดในใจขณะรับประทานอาหารพลางหันไปถามวิชา
“เราจะไปยังไงกัน”
“เดินไป” วินัยหัวหน้ากลุ่มตอบออกมา
‘เดินไป’
สองทวนคำพูดของวินัยในใจพลางหันหน้าข้ามทาง แหงนมองยอดเขากั้นเขตแดนซึ่งเห็นได้จากตรงนี้ มันสูงมากทีเดียว เขาคิดไม่ออกว่าทุกฅนจะเดินข้ามมันไปได้อย่างไร
เมื่ออิ่มข้าวและพร้อมแล้ว มือเลื่อยไม้รวมถึงเด็กปัดขี้เลื่อยทั้งสิบฅน และฅนงานจากทางเหนือและอีสานอีกเก้าฅนจึงออกเดินทาง จากสี่แยกคลองใหญ่ผ่านด่านทหารไทยเข้าไป ต่างสะพายเป้หอบข้าวของสัมภาระ สองต้องแบกเลื่อยยนต์ไปด้วยเพราะเป็นหน้าที่ของเด็กปัดขี้เลื่อย
สองข้างทางเห็นบ้านเรือนผู้ฅนได้สองสามหลังตรงรอยต่อเส้นทางลาดยางกับลูกรัง เส้นทางนี้เป็นช่องเขาจึงช่วยให้ทุกคนไม่ต้องปีนข้ามตามความเข้าใจของสอง
เมื่อเดินลึกเข้ามาจะเห็นบ้านเรือนได้ถี่ขึ้น ทุกหลังพอมองออกว่าเพิ่งได้รับการก่อสร้าง ไม่ต่างจากทางลูกรังที่เพิ่งถูกตัดมาเช่นกัน
“ตรงนี้บ้านฅนเยอะหน่อย” สองบอกกับวิชา
“พอมีเส้นทางพวกเขมรก็มาสร้างบ้านกัน” วิชาตอบเรียบ ๆ
“ถึงเขมรแล้วเหรอ” สองถามหน้าตืน แสนหันมองวิชาทั้งตีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน เห็นท่าทางของสองฅนแล้ววิชาจึงหัวเราะขำออกมา
“ไม่เห็นด่านทหารเขมรรึไง” สองนิ่งนึก บ้านเรือนสองสามหลังนั้นเขามองไม่ออกว่ามันเป็นด่านทหารนั่นเอง
เลยกลุ่มบ้านเรือนออกมาสุดทางมีลำคลองพาดขวางหน้า ท้องธารมีหินก้อนกลมน้อยใหญ่โผล่พ้นน้ำให้เดินข้ามใด้ เมื่อข้ามมายังอีกฝั่งจึงเห็นว่ามีบ้านเรือนอยู่เพียงสองหลัง และร้านค้าเล็ก ๆ อีกหนึ่งร้านเท่านั้น ทั้งหมดเพิ่งได้รับการปลูกสร้างเช่นกัน
จากริมน้ำมองขึ้นไปบนเนินเขาจะเห็นเสาธงและแนวกระสอบทรายวางทับซ้อนกันอยู่ ที่นั่นคือค่ายทหาร มองไปสุดธารน้ำจะเห็นปากคลองเชื่อมต่อกับทะเล
มีเพิงพักเล็ก ๆ ริมทาง บางฅนเข้าไปนั่งพักกันที่นั่น วินัยใช้วิทยุติดต่อประสานงาน บางฅนยังคงยืนรอบ้างนั่งคุยกันอยู่โดยรอบนั้น วิชาพาสองมายังบริเวณปากคลอง แสนเดินตามสองฅนออกไปด้วย
“รอเรือมารับไปกินข้าวก่อน” วิชาบอกกับเพื่อนพลางทรุดลงนั่ง สองนั่งตามเพื่อนพลางสำรวจรอบตัว แสนนั่งลงข้างเขาเช่นกัน
สองอดคิดไม่ได้ว่าเขาเคยปฏิเสธการข้ามแดนตั้งแต่ครั้งขุดแร่ร่อนพลอย ปฎิเสธการรับจ้างเป้ของขึ้นเขาเพชรเพราะรู้ว่าตัวเองไม่ถนัดแนวนี้ ทั้งนึกขลาดกลัวภัยจากกับระเบิดและมาลาเรีย ขลาดกลัวป่าดง ขลาดกลัวคำว่าเมืองเขมรบ้านป่าเมืองเถื่อนแดนสงคราม แต่ในที่สุดเขายังต้องเข้ามาสัมผัสกับป่าดงแดนแมร์จนได้ ถึงตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นกับประสบการณ์แปลกใหม่นี้บ้างเหมือนกัน
“ไม่ได้เรียนรึไง” วิชาเอ่ยถามแสนออกมา
“ขี้เกียจเรียน พ่อเลยให้เข้าป่า” ไอ้หนูตอบหน้านิ่ง
“ไม่อยากเรียนก็ต้องทำงานนั่นแหละถูกแล้ว” วิชาบอก แสนไม่ตอบอะไร สองยังทอดสายตาสู่ท้องทะเลที่อยู่ห่างออกไป
“ดูไอ้แม้วนั่นสิ” อยู่ ๆ แสนก็พูดขึ้นมา เขายังไม่ชินกับคำว่าม้งสักที
“ก็บอกว่าม้ง” สองท้วงเบา ๆ
“เออ นั่นแหละ” แสนตัดบท
อี๊กำลังเดินเตร่หันมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เมื่อเห็นสามฅนจึงเดินเข้ามา ยิ้มให้สองพลางขยับหย่อนกาย
“เป็นไงบ้าง ได้เข้าป่าแล้ว” สองถามเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างกัน อี๊พยักหน้ารับ ยิ้มให้แต่ไม่ตอบอะไรออกมา
“พ่อพามาไกลเลยนะ” วิชาเอ่ยขึ้นอีก
“อยู่บ้านไม่ได้เรียนต่อ พ่อเลยพามาด้วย เมื่อก่อนพ่อมาฅนเดียว” คราวนี้อี๊ตอบยืดยาว แม้ไอ้หนูจะพูดไทยได้ไม่ชัดนัก แต่ก็ฟังออกได้ไม่ยาก แสนจ้องมองอี๊ กลั้นขำสำเนียงไร้ตัวสะกดของเขา อี๊ไม่ได้สนใจกิริยาอาการของผู้ร่วมวัยแต่อย่างใด
“มันก็ต้องอย่างนั้นแหละ” สองบอกกับเด็กชาย “ไม่ได้เรียนต่อก็ต้องเก่งเรื่องใช้แรง”
“ผมอยากเรียนต่อมากกว่า” อี๊เอ่ยด้วยสำเนียงของเขาออกมาอีก
“ตรงนี้ต้องทำใจ” สองตอบพลางยิ้มให้ “ถือว่าได้มาหาประสบการณ์แต่เด็กก็แล้วกัน ฅนม้งขันแข็งการงานกันอยู่แล้ว”
“ม้ง แม้ว” แสนพึมพำออกมาลอย ๆ อี๊เหลือบมองแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เขาหันกลับไปทอดสายตาสู่เบื้องหน้า สองหันมองเด็กชายทั้งคู่สลับกันไปมา
ฅนหนึ่งไม่ได้เรียนทั้งที่อยากเรียน อีกฅนไม่ได้เรียนเพราะไม่อยากเรียน.
ป่าลับแล บทที่๑ ส่วนที่๒
โดย : ละเว้
บทที่ ๑ จากไทยสู่ป่าดงแดนแขมร์(ต่อ)
‘พ่อต้องทนได้เพื่อเอ็ง’
สองนั่งอยู่หน้าสำนักงาน บอกลูกชายผ่านใบสนซึ่งกำลังส่งเสียงหวีดหวิวเมื่อต้องสายลม แม้ไอ้บิ๊กจะไม่อาจรับรู้ได้เลยก็ตาม
สองหันมองเมื่อเด็กชายวัยสิบสามเดินมายังเขา
ถึงจะมาอยู่ฝั่งตะวันออกตั้งแต่ยังเล็ก แต่สองไม่เคยลืมว่าเขามาจากแม่สอด เขาจึงมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับคนงานจากอำเภอแม่สายได้ไม่ยาก เพราะถึงอย่างไรก็มาจากเหนือเหมือนกัน โดยเฉพาะกับ อี๊ แม้ว่าเด็กชายจะเป็นชาวม้งก็ตาม
“เบื่อเหรอ” สองถามเมื่อเห็นกิริยาของอี๊ขณะนั่งลงข้างกัน
“เบื่อครับ แต่ไม่เท่าไร” เด็กชายตอบด้วยสำเนียงชนเผ่าของเขา
"ที่นี่ไม่เห็นมีอะไรเลย” อี๊พึมพำต่อ ต่างฅนล้วนเบื่อหน่ายไม่ต่างกัน
"ไม่ไปเที่ยวปลายสะพานล่ะ" สองถาม
“ทะเลที่นี่ไม่เห็นสวยเหมือในหนังเลยสักนิด” อี๊พูดขึ้นอีก เขาหมายถึงทะเลบริเวณสะพานปลาที่สองถามถึง ซึ่งช่วงเย็นถึงค่ำ จะมีรถพ่วงมอเตอร์ไซค์และรถเข็นมาขายอาหารให้กับผู้มาหาที่ผ่อนคลาย บางวันหากขยันเดินพวกเขาจะไปที่นั่นกัน อี๊ยอมรับว่าตอนได้เห็นทะเลครั้งแรกเขารู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน แต่พอนานวันเข้าเขาก็อดรู้สึกเฉยชากับทะเลที่ไม่มีหาดทรายนี้ไม่ได้
“แถวนี้มันไม่มีชายหาดนี่นา อยากสวยเหมือนในหนังต้องไปหาดบานชื่น"
คำตอบของสองทำให้อี๊เงยหน้ามอง
“อยู่ไกลไหมครับ” ไอ้หนูถามด้วยความสนใจ
“ไม่ไกลหรอก”
อี๊ยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนสลดลงในชั่วขณะ
“พ่อไม่พาไปอยู่ดี แต่ได้เห็นทะเลแค่นี้ก็ดีแล้วครับ ผมอยากเห็นมานานแล้ว” ไอ้หนูพูดประสาซื่อ สองหันมองส่งยิ้มให้เด็กชาย
“เออ ถ้ามีโอกาสจะพาไป” สองบอก เด็กชายพยักหน้ารับเงียบ ๆ
.
ลมยังคงพัดใบสนส่งเสียงหวีดหวิว ย่ำค่ำ อี๊จากไปนานแล้ว สองยังคงนั่งปล่อยความคิดกระทั่งเสียงทักทายดังขึ้น
“นั่งมืด ๆ คนเดียวคิดอะไรเหรอวะ”
สองหันตามเสียงนั้น วินัย หัวหน้ากลุ่มของเขานั่นเอง
“คิดถึงลูก” สองตอบเรียบ ๆ
“อะไรกัน ไม่ทันเข้าป่าเลย คิดถึงลูกเสียแล้ว แบบนี้มันจะไหวเหรอวะ”
วินัยว่าพลางหัวเราะร่วนออกมา วินัยไม่ค่อยทราบเรื่องราวของสองมากนัก และสองมองออกว่าวินัยพูดแหย่เขาด้วยความเป็นฅนอารมณ์ดีมากกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาคงได้แต่ยิ้มแห้งให้กับถ้อยคำหยอกล้อนั้น
.
บางฅนล้อมวงร่ำสุราเมื่อค่ำคืนมาถึง บางฅนนั่งล้อมวงตีดัมมี่มาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว เสียงไอ้ชิตดังมาจากวงเหล้าขณะสองอยู่กับความเบื่อหน่ายบนเสื่อที่ใช้ปูนอน
“เพิ่งรู้ว่าไอ้เด็กนั่นเป็นแม้ว” แสนซึ่งนอนอยู่ข้างสองชวนคุย
อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายวัน เพราะมัวแต่วางท่าจึงยังไม่รู้จักหรือไม่เคยทักทายกัน พอรู้ว่าอี๊เป็นม้งที่แสนเรียกว่าแม้วเด็กชายจึงเกิดความสนใจ
“ก็เด็กรุ่นเดียวกับเอ็งนั่นแหละ” สองตอบพลางพูดต่อ “และเขาเป็นม้ง ไม่ใช่แม้ว” สองรู้ว่าฅนม้งไม่ชอบการถูกเรียกว่าแม้ว แต่ฅนไทยส่วนใหญ่กลับรู้จักม้งในนามของแม้วไม่ต่างจากแสน
“ม้งคืออะไร” แสนถามทั้งตีหน้าสงสัย เขาไม่เคยได้ยินคำว่าม้งมาก่อน
“ม้งก็คือฅนที่เอ็งเรียกพวกเขาว่าแม้วนั่นแหละ แต่ม้งไม่ใช่แม้ว ม้งไม่ชอบให้ใครเรียกตัวเองว่าแม้ว” สองพยายามอธิบาย
“อ้าว ทำไมล่ะ ซื่อแม้วเพราะจะตาย” ไอ้หนูยังไม่หยุดซักถาม
“เรามองว่าเพราะ แต่เขาไม่ชอบให้เรียกแบบนั้นเพราะเขาไม่ใช่แม้ว” สองบอกออกมาอีก
“เรื่องมากจริง ๆ” แสนตอบพึมพำเหมือนไม่ได้สนใจคำอธิบายของสองแต่อย่างใด
.
“พรุ่งนี้เข้าป่าได้แล้ว”
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เมื่อวินัยเดินลงมาจากออฟฟิศซึ่งเป็นส่วนยกพื้นสูงเท่ากับระดับหลังคาอาคารที่พวกเขาใช้หลับนอน
สองดีดตัวจากเสื่อขึ้นมาลุกนั่งทันที เมื่อการรอคอยถูกทำลายก็ยิ้มกว้างออกมาได้ ความหวังของเขาใกล้เข้ามากับคำว่าพรุ่งนี้เข้าป่าได้แล้วจริง ๆ
“จริงเหรอ” แสนซึ่งเอนหลังอยู่ข้างกันพลิกตัวถาม ต่างดีใจที่จะได้เข้าป่ากันเสียที ทุกฅนในกลุ่มของเขาต่างรับฟังข่าวด้วยความยินดีเช่นกัน
.
วันนี้ยังคงมีสายลมหนาวและแสงแดดจาง ๆ ไม่ต่างจากเดิม ทั้งชิต สม กับอุทัย และผู้จัดการโสภน ต่างออกเดินทางเมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหารแต่เช้าตรู่ พวกเขาต้องนั่งรถเพื่อไปต่อเรือที่บ้านหาดเล็กกันอีกที
รถรับส่งผู้จัดการโสภนและชิตเคลื่อนตัวออกไปแล้ว สองกับวิชาและพรรคพวกรวมถึงกลุ่มที่มาจากทางเหนือและอีสานจึงเริ่มกินข้าวเช้า
‘ยังดีที่ไปกันฅนละทาง’
สองคิดในใจขณะรับประทานอาหารพลางหันไปถามวิชา
“เราจะไปยังไงกัน”
“เดินไป” วินัยหัวหน้ากลุ่มตอบออกมา
‘เดินไป’
สองทวนคำพูดของวินัยในใจพลางหันหน้าข้ามทาง แหงนมองยอดเขากั้นเขตแดนซึ่งเห็นได้จากตรงนี้ มันสูงมากทีเดียว เขาคิดไม่ออกว่าทุกฅนจะเดินข้ามมันไปได้อย่างไร
เมื่ออิ่มข้าวและพร้อมแล้ว มือเลื่อยไม้รวมถึงเด็กปัดขี้เลื่อยทั้งสิบฅน และฅนงานจากทางเหนือและอีสานอีกเก้าฅนจึงออกเดินทาง จากสี่แยกคลองใหญ่ผ่านด่านทหารไทยเข้าไป ต่างสะพายเป้หอบข้าวของสัมภาระ สองต้องแบกเลื่อยยนต์ไปด้วยเพราะเป็นหน้าที่ของเด็กปัดขี้เลื่อย
สองข้างทางเห็นบ้านเรือนผู้ฅนได้สองสามหลังตรงรอยต่อเส้นทางลาดยางกับลูกรัง เส้นทางนี้เป็นช่องเขาจึงช่วยให้ทุกคนไม่ต้องปีนข้ามตามความเข้าใจของสอง
เมื่อเดินลึกเข้ามาจะเห็นบ้านเรือนได้ถี่ขึ้น ทุกหลังพอมองออกว่าเพิ่งได้รับการก่อสร้าง ไม่ต่างจากทางลูกรังที่เพิ่งถูกตัดมาเช่นกัน
“ตรงนี้บ้านฅนเยอะหน่อย” สองบอกกับวิชา
“พอมีเส้นทางพวกเขมรก็มาสร้างบ้านกัน” วิชาตอบเรียบ ๆ
“ถึงเขมรแล้วเหรอ” สองถามหน้าตืน แสนหันมองวิชาทั้งตีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน เห็นท่าทางของสองฅนแล้ววิชาจึงหัวเราะขำออกมา
“ไม่เห็นด่านทหารเขมรรึไง” สองนิ่งนึก บ้านเรือนสองสามหลังนั้นเขามองไม่ออกว่ามันเป็นด่านทหารนั่นเอง
เลยกลุ่มบ้านเรือนออกมาสุดทางมีลำคลองพาดขวางหน้า ท้องธารมีหินก้อนกลมน้อยใหญ่โผล่พ้นน้ำให้เดินข้ามใด้ เมื่อข้ามมายังอีกฝั่งจึงเห็นว่ามีบ้านเรือนอยู่เพียงสองหลัง และร้านค้าเล็ก ๆ อีกหนึ่งร้านเท่านั้น ทั้งหมดเพิ่งได้รับการปลูกสร้างเช่นกัน
จากริมน้ำมองขึ้นไปบนเนินเขาจะเห็นเสาธงและแนวกระสอบทรายวางทับซ้อนกันอยู่ ที่นั่นคือค่ายทหาร มองไปสุดธารน้ำจะเห็นปากคลองเชื่อมต่อกับทะเล
มีเพิงพักเล็ก ๆ ริมทาง บางฅนเข้าไปนั่งพักกันที่นั่น วินัยใช้วิทยุติดต่อประสานงาน บางฅนยังคงยืนรอบ้างนั่งคุยกันอยู่โดยรอบนั้น วิชาพาสองมายังบริเวณปากคลอง แสนเดินตามสองฅนออกไปด้วย
“รอเรือมารับไปกินข้าวก่อน” วิชาบอกกับเพื่อนพลางทรุดลงนั่ง สองนั่งตามเพื่อนพลางสำรวจรอบตัว แสนนั่งลงข้างเขาเช่นกัน
สองอดคิดไม่ได้ว่าเขาเคยปฏิเสธการข้ามแดนตั้งแต่ครั้งขุดแร่ร่อนพลอย ปฎิเสธการรับจ้างเป้ของขึ้นเขาเพชรเพราะรู้ว่าตัวเองไม่ถนัดแนวนี้ ทั้งนึกขลาดกลัวภัยจากกับระเบิดและมาลาเรีย ขลาดกลัวป่าดง ขลาดกลัวคำว่าเมืองเขมรบ้านป่าเมืองเถื่อนแดนสงคราม แต่ในที่สุดเขายังต้องเข้ามาสัมผัสกับป่าดงแดนแมร์จนได้ ถึงตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นกับประสบการณ์แปลกใหม่นี้บ้างเหมือนกัน
“ไม่ได้เรียนรึไง” วิชาเอ่ยถามแสนออกมา
“ขี้เกียจเรียน พ่อเลยให้เข้าป่า” ไอ้หนูตอบหน้านิ่ง
“ไม่อยากเรียนก็ต้องทำงานนั่นแหละถูกแล้ว” วิชาบอก แสนไม่ตอบอะไร สองยังทอดสายตาสู่ท้องทะเลที่อยู่ห่างออกไป
“ดูไอ้แม้วนั่นสิ” อยู่ ๆ แสนก็พูดขึ้นมา เขายังไม่ชินกับคำว่าม้งสักที
“ก็บอกว่าม้ง” สองท้วงเบา ๆ
“เออ นั่นแหละ” แสนตัดบท
อี๊กำลังเดินเตร่หันมองสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เมื่อเห็นสามฅนจึงเดินเข้ามา ยิ้มให้สองพลางขยับหย่อนกาย
“เป็นไงบ้าง ได้เข้าป่าแล้ว” สองถามเด็กชายที่นั่งอยู่ข้างกัน อี๊พยักหน้ารับ ยิ้มให้แต่ไม่ตอบอะไรออกมา
“พ่อพามาไกลเลยนะ” วิชาเอ่ยขึ้นอีก
“อยู่บ้านไม่ได้เรียนต่อ พ่อเลยพามาด้วย เมื่อก่อนพ่อมาฅนเดียว” คราวนี้อี๊ตอบยืดยาว แม้ไอ้หนูจะพูดไทยได้ไม่ชัดนัก แต่ก็ฟังออกได้ไม่ยาก แสนจ้องมองอี๊ กลั้นขำสำเนียงไร้ตัวสะกดของเขา อี๊ไม่ได้สนใจกิริยาอาการของผู้ร่วมวัยแต่อย่างใด
“มันก็ต้องอย่างนั้นแหละ” สองบอกกับเด็กชาย “ไม่ได้เรียนต่อก็ต้องเก่งเรื่องใช้แรง”
“ผมอยากเรียนต่อมากกว่า” อี๊เอ่ยด้วยสำเนียงของเขาออกมาอีก
“ตรงนี้ต้องทำใจ” สองตอบพลางยิ้มให้ “ถือว่าได้มาหาประสบการณ์แต่เด็กก็แล้วกัน ฅนม้งขันแข็งการงานกันอยู่แล้ว”
“ม้ง แม้ว” แสนพึมพำออกมาลอย ๆ อี๊เหลือบมองแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เขาหันกลับไปทอดสายตาสู่เบื้องหน้า สองหันมองเด็กชายทั้งคู่สลับกันไปมา
ฅนหนึ่งไม่ได้เรียนทั้งที่อยากเรียน อีกฅนไม่ได้เรียนเพราะไม่อยากเรียน.