ป่าลับแล (บทที่๑ ส่วนที่๑)

กระทู้สนทนา
หมายเหตุ: เป็นงานใหม่ที่ยังเขียนไม่จบ จึงจะนำมาลงแค่หนึ่งบท (สองส่วน) เพื่อขอคำแนะนำหรือเพื่อให้ลองอ่านกัน ซึ่งฉบับจริงอาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงต่างจากนี้ได้

เรื่อง : ป่าลับแล (1/1)
โดย : ละเว้ 

บทที่ ๑ จากไทยสู่ป่าดงแดนแขมร์

ความมืดกลบกลืนทุกสิ่งรอบตัว ดวงตาเบิกกว้างของเขากลอกไปมา แม้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ก็ตาม 

กลิ่นความตายยังชัดเจนรอบตัว พวกมันกำลังรอเวลาเหมาะสมในการโจมตีเท่านั้น เขารู้ดี อย่างน้อยเขาก็แน่ใจได้ว่าผีดิบพวกนี้มีสมองมากกว่าที่คิด

ก้อนเนื้อในอกบีบรัดเต้นแรงท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวออกมา ยังคงตื่นตัวต่อทุกสรรพสิ่ง แม้ว่าตอนนี้จะยังมีชีวิต แต่ไม่รู้ว่าเขาจะรักษาลมหายใจของตัวเองไว้ได้แค่ไหน อาจกลายเป็นศพก่อนแสงแรกก็ได้ ชายหนุ่มได้แต่บอกตัวเองว่า เขาจะพยายามรักษาเลือดเนื้อและลมหายใจเอาไว้ให้นานที่สุด หรืออย่างน้อยก็จนกว่าตะวันจะมาถึง

เวลาคืบคลานไปกับความมืดดำเงียบสนิทเชื่องช้า พลันนั้น เสียงร้องแหบพร่าบาดลึกความรู้สึกก็ดังก้องกลบทุกสรรพสิ่ง เขาสะดุ้งหันเข้าหาในเสี้ยววินาที นิ้วเหนี่ยวไกสาดกระสุนเข้าใส่ก่อนสมองจะทันได้สั่งการด้วยซ้ำ

“เข้ามาเลยไอ้พวกผีห่ะเอ๊ย” 

ตะโกนก้องด้วยกับความรู้สึกบีบคั้นเกินทน กัดฟันรัวกระสุนใส่จนหมดรังเพลิง

.
ค.ศ. 1993

เด็ก ๆ เนื้อตัวมอมแมมส่งเสียงพูดคุยผ่านร้านก๊วยเตี๋ยวในซอยแคบ ชายผิวขาวเหลืองวัยเบญจเพสทอดสายตาผ่านโต๊ะที่นั่งอยู่ไปยังกลุ่มเด็กเหล่านั้น

คลองใหญ่ อำเภอซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวจังหวัดตราดออกมาค่อนร้อยกิโลนี้อยู่ติดแนวประเทศกัมปุเจีย เพื่อนบ้านของไทยที่สงครามกลางเมืองเกือบยี่สิบปีของพวกเขากำลังแผ่วเบาลง

ร้านก๊วยเตี๋ยาลูกชิ้นเนื้อน้ำใสในซอยเล็ก ๆ นี้มีเพียง สอง กับ วิชา นั่งกินกันอยู่เพียงโต๊ะเดียว

วิชามีผมหยักศก ผิวคล้ำดูล่ำสัน ต่างจากสองที่นอกจากจะมีผมเรียบตรงผิวขาวเหลืองแล้ว เขายังมีรูปร่างค่อนข้างแบบบางอีกด้วย

เด็ก ๆ เดินเลยผ่านไปแล้ว สองยังนั่งเหม่อสายตา อดคิดถึงลูกชายวัยสามขวบของตนไม่ได้

‘ถ้าอยากได้ลูกก็หาเงินสองหมื่นมา’

เสียงของ สายใจ อดีตภรรยายังดังก้องอยู่ในความรับรู้เช่นกัน เธอยื่นคำขาดในวันที่สองไปเจรจาเพื่อขอรับตัวลูกชายมาเลี้ยงดู 
เงินจำนวนสองหมื่นบาทอาจดูน้อยนิดสำหรับบางฅน แต่กับฅนหาเช้ากินค่ำไร้ที่ดินอย่างสองแล้ว เงินแค่นี้ก็นับว่ามากพอดู

เมื่อกลับสู่ภวังค์สองจึงหันมาสนใจชามก๊วยเตี๋ยวตรงหน้าอีกครั้ง ช้อนตักจิบน้ำซุป เงยหน้ามองผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“เมื่อไรจะได้ขึ้นเขากันสักทีวะ”

คำถามนั้นฟังคล้ายหารือมากกว่า

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” 

วิชาเงยหน้าจากชามก๊วยเตี๋ยว มองสองด้วยสายตาแสดงความเข้าใจก่อนเอ่ยออกมาอีก 

“ข้าก็เบื่อเหมือนกันนั่นแหละวะ”

วิชาเป็นฅนอำเภอบ่อไร่โดยกำเนิด นอกจากมีอาชีพทำไร่ทำสวนที่เรียกว่าเกษตรกรแล้ว เขายังหารายได้เสริมด้วยการข้ามไปทำไม้ยังฝั่งแขมร์ วิชาคลุกคลีกับงานด้านนี้มานานจึงมีความคุ้นเคยกับป่าดงเป็นอย่างดี 

การทำไม้ของเขานั้นถือเป็นอาชีพอิสระ สุดแต่จะมีใครว่าจ้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่ฝั่งขแมร์ หรือบรรดาเสี่ย ๆ นักค้าไม้จากเมืองไทยก็ตาม

เมื่อรู้ว่าสองต้องการเงินวิชาจึงชวนเพื่อนไปทำงานในป่าด้วยกัน ซึ่งครั้งนี้เขาเข้าไปทำไม้ในนามฅนงานของบริษัท สิงห์ดำ ผู้ได้รับสัมปทานป่าไม้ในจังหวัดเกาะกงของกัมปุเจีย ซึ่งมีพื้นที่ติดชายทะเลและติดกับอำเภอคลองใหญ่แห่งนี้

แม้สภาพเมืองขแมร์จะยังคงมีสงคราม แต่เปลวร้อนระอุของมันก็ค่อนข้างบางเบาจนเกือบมอดสนิทลงแล้ว เขมรแดงอ่อนล้าสิ้นแรง บ้านเมืองกำลังจะมีการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกหลังจากรบราฆ่าฟันกันมาหลายปี

แต่จะว่าไปแล้วไม่ว่าช่วงไหน ต่อให้ความขัดแย้งและการสู้รบของพวกเขาจะข้นคลั่กหรือเจือจางเพียงใดก็ตาม นั่นคงไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อฅนไทย ที่ต่างพากันข้ามแดนไปหารายได้จากถิ่นสงครามนี้แต่อย่างใด 

แม้แต่ช่วงที่ความร้อนระอุยังคงเขม็งเกลียวนั้น ยังมีฅนไทยจำนวนหนึ่งได้ใช้ช่องทางชายแดนจากอำเภอบ่อไร่  ข้ามเขาบรรทัดไปขุดพลอยแดงซึ่งมีอยู่อย่างชุกชุมบนเขาเพชร หรือพนมเป็จ ซึ่งอยู่ในเขตครอบครองของเขมรแดงกันอย่างคับคั่ง แม้จะต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายบ้างก็ตาม

การนี้นอกจากฅนไทยแล้ว ยังมีมอญพม่าอีกด้วยที่ข้ามประเทศไปถึงนั่นกัน

.
แม้จะมีบ้านเกิดและภูมิลำเนาอยู่ในอำเภอบ่อไร่ แต่ดวงของวิชาอาจไม่ถูกโฉลกกับการเสี่ยงโชคสักเท่าไร เขาจึงไม่เคยสนใจทั้งไม่มีความคุ้นเคยกับการร่อนแร่หาพลอยด้วย วิชาถนัดถือเครื่องผ่าไม้ทำไม้เสียมากกว่า เขายึดงานด้านนี้เป็นอาชีพเสริมติดตัวมาตลอด 

แม้ว่างานทำไม้หรือที่เรียกว่าผ่าไม้นี้ อาจไม่มีทางโชคดีได้เงินทีละเป็นแสนเป็นล้านอย่างไม่คาดฝันเหมือนเสี่ยงโชคหาพลอย แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็สร้างเงินให้เขาในระดับพอใจได้เช่นกัน ทั้งตอนนี้แหล่งอัญมณีเมืองแขมร์ล้วนได้รับสัมปทานจากบรรดาเสี่ยเหมืองพลอยในอำเภอบ่อไร่และถิ่นอื่นหมดแล้วด้วย ไม่มีการเสี่ยงดวงของชาวบ้านอีกต่อไป วิชาจึงรู้สึกว่างานทำไม้ของเขานั้น ดีกว่าการหากินกับพลอยที่ต้องอาศัยโชคชะตาเป็นส่วนประกอบมากทีเดียว

.
ส่วนสองนั้น เขาอพยพตามครอบครัวมาจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ตั้งแต่อายุได้เก้าขวบ พ่อของเขาหวังร่ำรวยกับการเสี่ยงโชคขุดแร่ร่อนพลอย เหมือนเพื่อนบ้านอื่นที่พากันอพยพมาหากินก่อนหน้า จึงหอบลูกเมียมาถึงนี่ด้วยความหวัง แต่โชคชะตาไม่เข้าข้างหรือจังหวะไม่เป็นใจ ครอบครัวของสองจึงได้แต่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด กว่าจะรู้ตัว ทุกฅนก็ต้องมาติดอยู่ในดินแดนที่ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่เนินดินแดงนี่เสียแล้ว 

เมื่อพลอยแดงในอำเภอบ่อไรซบเซา เขาเพชรในฝั่งกัมพูชากลับสร้างความตื่นตัวให้กับนักแสวงโชค ผู้ฅนที่มาบ่อไรจึงต่างเบนเข็มสู่แผ่นดินแขมร์ 

แต่สองกลับไม่คิดเอาชีวิตไปเสี่ยงกับถิ่นซึ่งสงครามยังคงร้อนระอุแต่อย่างใด ที่นั่นยังเต็มไปด้วยความยากลำบากต่อการใช้ชีวิต ทั้งยังเป็นดินแดนไร้กฎหมายดี ๆ นี่เอง ไม่ว่าจะข่าวคราวเรื่องการรบราฆ่าฟันกันเองของนักเสี่ยงโชค ทั้งข่าวการเอาชีวิตไปทิ้งกับมาลาเรียที่เรียกกันว่าไข้เขมร ล้วนทำให้สองไม่คิดเอาชีวิตไปเสี่ยงเหมือนฅนอื่น 

สองหันชีวิตมาเป็นพ่อค้าเร่ ใช้รถมอเตอร์ไซค์คันเดียวที่มีวิ่งเร่ขายของ ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ลูกชิ้นหรือตั๊กแตนทอด เขาลองทำมาหมดแทบทุกอย่าง และพบว่ามันไม่อาจทำให้เขามีชีวิตดีขึ้นได้แต่อย่างใดเลย

เขาได้เสียกับภรรยาซึ่งเป็นนักร้องร้านอาหารในวันที่ชีวิตค่อนข้างล้มลุกคลุกคลานเต็มที

สองไม่มีความรู้เรื่องป่าดงแต่อย่างใด  โดยเฉพาะป่าเมืองแขมร์เช่นนี้ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ แต่เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงินเพื่อรับสิทธิ์ในตัวลูกชาย ทั้งได้รับการชักชวนจากเพื่อน สองเห็นว่าวิชามีรายได้ดีจากการทำไม้ กอปรกับตอนนี้สงครามลดความร้อนระอุจนเกือบดับสนิทแล้วด้วย สองจึงได้ตัดสินใจลองขึ้นเขาข้ามแดนดูสักครั้ง แม้ว่าการเข้าไปเป็นลูกน้องของวิชาซึ่งเรียกกันว่าเด็กปัดขี้เลื่อยนั้น จะไม่สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนถือเลื่อยทำไม้เองก็ตาม สองคิดเพียงว่าเขาต้องหาเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ หากยังมีขาดเหลือเท่าไรค่อยขอหยิบยืมจากวิชาอีกที ความต้องการได้ลูกชายมาอยู่ในความอุปการะของตนโดยเร็ว ทำให้เวลานี้เขามีแต่ความอัดอั้นตันใจเท่านั้น

“ไม่รู้ว่าบริษัทเล่นแง่อะไรนี่สิ ให้มารออยู่ที่ออฟฟิศนี่เป็นอาทิตย์แล้วยังไม่ให้ข้ามฝั่งเข้าป่ากันสักที” วิชาบอกเพื่อน

ออฟฟิศหรือสำนักงานที่วิชาพูดถึงนั้น จะเป็นบ้านพักในลักษณะเรือนโรงขนาดใหญ่ กั้นห้องเล็ก ๆ เพียงบางส่วน ซึ่งบริษัทสิงห์ดำเช่าไว้ให้ฅนงานได้พักแรมทั้งก่อนขึ้นและหลังลงจากเขา มีผู้ดูแลประสานงานอยู่ที่นี่ด้วยหนึ่งฅน และตอนนี้ยังมีผู้จัดการโสภน ผู้จัดการแผนกป่าไม้มารอขึ้นเขาอยู่ที่นี่กับพวกเขาด้วยเช่นกัน

“ให้เรามานั่งกินนอนกินงานการไม่ต้องทำกันอยู่ได้” วิชายังคงบ่นออกมา ทั้งคู่อดคิดไม่ได้ว่า แม้จะมีทั้งที่พักและอาหาร แต่พวกเขาก็ต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุกันอยู่ดี และยิ่งต้องยืดเวลาออกไปมากเท่าไร ความคิดถึงลูกของสองยิ่งท่วมทวีมากขึ้นเท่านั้น

เด็กมอมแมมกลุ่มเดิมเดินกลับมาอีกครั้ง ต่างพากันส่งสำเนียงไม่คุ้นหูผ่านไป สองทอดสายตาตามหลังเงียบ ๆ เช่นเคย อดคิดไม่ได้ว่า ความจริงแล้วเงินแค่สองหมื่นแลกกับการได้เป็นพ่อนั้นนับว่าน้อยนิดมาก แต่ถึงจะน้อยนิดอย่างไรเขายังไม่มีปัญญาจะหามันได้เลย คิดแล้วยิ่งนึกสมเพชเวทนาตัวเอง

.
พวกมาทำทางจากเหนือกำลังบ้างนั่งบ้างยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าออฟฟิศ สองกับวิชาเดินผ่านพวกเขาเข้าไปข้างใน ผู้ถนัดหุงหาอาหารกำลังจัดเตรียมมื้อเย็นตรงส่วนโรงครัว อีกด้านหนึ่งมีสองสามฅนกำลังจัดการที่หลับที่นอนกันอยู่

‘พวกนี้คงเพิ่งมาใหม่’ 

สองบอกตัวเองในใจทั้งอดคิดไม่ได้ว่า ฅนมาก่อนยังไม่ทันได้ขึ้นเขาเลย ยังจะมีมาเพิ่มอยู่เรื่อย ๆ อีก เพียงแต่ว่า… 

เสียงที่ดังเข้ามาทำให้เขาต้องชะงักและหันไปตั้งใจมอง แวบแรกเมื่อวาดสายตาผ่านนั้นสองไม่ทันได้สังเกต และเขาต้องนิ่งชาชั่วขณะเมื่อเห็นได้ชัดเจนว่า หนึ่งในสามฅนที่เพิ่งมาถึงก็คือ…

‘ไอ้ชิต’

สองอุทานชื่อนั้นในใจ ไม่ผิดเลย เป็นมันจริง ๆ

อีกสองฅนในกลุ่มของชิตนั้นสองรู้จักดีเช่นกัน ฅนหนึ่งคือ สม ชายวัยกลางฅนผู้มีใบหน้าบวมฉุกับท่าทางเซื่องซึมตลอดเวลา หญิงผิวคล้ำรูปร่างกะทัดรัดกำลังถือไม้กวาดค้างในมือขณะหันมองมาคือ อุทัย ภรรยาผู้อ่อนวัยกว่าของสม เธอคงตามสามีเข้าป่าด้วยเช่นกัน

แม้ฅนทำไม้จะไม่มีใครพาภรรยาเข้าป่าด้วยสักเท่าใดนัก แต่ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรหากจะทำเช่นนั้น เพราะครั้งนี้แม้แต่ลุงชมพ่อของแสน หรือผู้ที่ทุกฅนในที่นี้เรียกแกว่า พี่ชม ยังพาแสนลูกชายวัยสิบสี่เข้าป่าด้วย
ในกลุ่มฅนงานที่มาจากทางเหนือก็มีเด็กชายวัยสิบสามมาด้วยเช่นกัน อี๊ เป็นเด็กชาวม้ง เล่าจ่อ พ่อเขาซึ่งเป็นฅนงานแผนกทำทางของบริษัทสิงห์ดำได้พาอี๊มาด้วยในครั้งนี้
ภาวะสงครามค่อยผ่อนคลายนี้ ดินแดนแขมร์ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อเด็กและสตรีสักเท่าใดนัก เรื่องคิดไม่ถึงของสองจริง ๆ ก็คือ ทำไมชิตต้องร่วมขบวนไปกับพวกเขาในครั้งนี้ด้วยมากกว่า

‘มึ...เป็นชู้กับมันใช่ไหม’

ด้วยอารมณ์ระอุในวันนั้น สองกล่าวคำคาดคั้นภรรยาหลังจากได้รู้เห็นกระจ่างชัด

‘มันก็มีลูกมีเมีย มึ...ก็มีลูกมีผัว ยังเป็นชู้กันได้อีกอย่างนั้นรึวะ’

‘พูดบ้าอะไร ใครเป็นชู้กับใคร’

สายใจยังคงเสียงแข็งใส่ไม่ลดละ แม้ว่าภาพของทั้งคู่ยังคงติดตาบาดใจเขาอยู่ถึงตอนนี้ก็ตาม

การทะเลาะโต้เถียงกันวันนั้น ทำให้สายใจหอบลูกชายวัยไม่ถึงขวบของเขากลับไปอยู่กับแม่ของเธอ ไม่ทันตามตัวกลับสองก็ได้ข่าวว่า ภรรยาของตนได้กลายเป็นเมียอีกฅนหนึ่งของชิตไปแล้ว ไอ้บิ๊กซึ่งเป็นลูกติดแม่จึงต้องกลายเป็นลูกเลี้ยงของชิตไปด้วยเช่นกัน ตรงนี้เองที่ทำให้สองต้องสะอึกทุกครั้งเมื่อนึกถึง 

ทั้งไอ้ชิตและสองนั้นต่างอพยพมาจากแม่สอดเหมือนกัน  เป็นฅนบ้านเดียวกัน ทั้งยังเป็นคู่อริที่ไม่เคยลงรอยกันมาตั้งแต่เด็กเลยด้วยซ้ำ

ชิตชะงักการส่งเสียงดังของตน เมื่อหันมาเห็นว่าผู้กำลังก้าวเข้ามากับวิชาคือสอง ทั้งสายตาและกิริยาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวในทันที แม้ไม่หลบสายตาของมันแต่สองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เขาไม่อยากมีปัญหากับงานที่ยังไม่ได้เริ่ม ชิตเองก็คงคิดแบบนั้นเช่นกัน สองตรงไปยังมุมพักผ่อนของตนและเอนตัวลงเงียบ ๆ กับความคิดสับสนวกวน

สองผัวเมียสมกับอุทัยยังคงมองสองด้วยความแปลกใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะได้มาเจอเขาที่นี่เช่นกัน

และด้วยความว่าที่หลับที่นอนของทุกฅนคือห้องใหญ่ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนรวม นั่นเท่ากับว่าตลอดเวลาของการอยู่ที่นี่ ทั้งสองและชิตจะไม่อาจหลบหน้ากันได้เลย

‘นอกจากติดแหง็กอยู่นี่แล้ว เรายังต้องมาติดอยู่กับไอ้ชิตอีกด้วยอย่างนั้นรึวะ’ 

สองคิดในใจดังนั้น ตลอดเวลาของการรอเข้าป่าจึงมีแต่ความอึมครึมระหว่างสองฅน เมื่อคิดถึงลูกซึ่งอยู่ในความดูแลของแม่ผู้ไม่เคยเอาใจใส่สองก็ได้แต่กล้ำกลืน...

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่