อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๑ เริ่มต้นด้วยมาลาเรีย
การได้เยือนแขมร์หนแรกของผมนั้นเรียกว่า เกือบเอาชีวิตไปทิ้งกับมาลาเรียกันเลยก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้นยังต้องใช้ชีวิตร่วมกับมันอีกสิบกว่าปี โดยมันจะคอยฉวยโอกาสกระหน่ำซ้ำเติมได้ตลอดเวลาหากว่าเมื่อใดร่างกายผมอ่อนแอ
แต่ไม่ว่าอย่างไร แม้จะมีความลำบากลำบน ทั้งการเดินทางเข้าไปแต่ละครั้งนั้นอาจต้องบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วย บ้างเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางตลอดก็ตามที คงไม่มีอะไรทำให้ผมรู้สึกเข็ดขยาดต่อดินแดนแห่งนี้ได้แต่อย่างใด และนั่นทำให้ผมมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังนี่ไงล่ะครับ
.
ช่องทางแรกในการเยือนแขมร์ของผมคือช่องทางบ้านหมื่นด่าน อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ช่วงนั้นสงครามยังไม่จบ แต่ก็มีฅนไทยจำนวนหนึ่ง (นับพันนับหมื่น) พากันข้ามเขาเข้าไปเสี่ยงโชคจากการ ‘ตื่นพลอย’ ที่นั่นกันแล้ว
ไม่ทราบทุกท่านเคยได้ยินเรื่องนี้กันบ้างไหมนะครับ ซึ่งการตื่นพลอยที่ว่านี้ไม่ได้มีแต่ฅนไทยเท่านั้น ยังรวมถึงพม่ามอญอีกที่ต้องเรียกว่าข้ามประเทศไปกันเลยทีเดียว
ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นมาอย่างไรนั้นผมเองไม่ทราบเหมือนกัน และตอนที่ผมได้เข้าไปจะเป็นช่วงปลายแล้ว โดยผมไม่ได้ขึ้นไปเสี่ยงโชคเสี่ยงดวงแบบฅนอื่นเขาหรอก จะเป็นการเข้าไปทำงานมากกว่า
.
แต่ก่อนอื่นขอนำเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังมาเล่าต่อ เพื่อให้ได้ทราบถึงที่มาที่ไป และเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหากันสักหน่อยก่อนนะครับ
ถึงจะได้ยินเรื่องการข้ามเขาเข้าไปทำพลอยยังฝั่งแขมร์มานานแล้วก็ตาม แต่เรื่องนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้างจริง ๆ ก็ช่วงที่พลอยแดง หรือทับทิมสยามในอำเภอบ่อไร่เริ่มเหลือน้อยแล้วนั่นแหละ ช่วงนั้นฅนแถบนี้จะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ‘เขาเพชร’ หรือ ‘พนมเป็จ’ ของกัมปุเจีย จะเรียกว่ามันเป็นปรากฏการณ์ตื่นพลอยแขมร์เลยก็ว่าได้
ผมไม่ทราบว่ามันมีการประสานงานทางลับอะไรกันบ้างหรือเปล่าพวกเราจึงขึ้นเขาไปกันได้ โดยทหารทางฝั่งไทยจะไม่มีการหวงห้ามแต่อย่างใด ส่วนทางฝั่งขแมร์ผู้ที่ครอบครองพื้นที่แถบนั้นคือ แขมร์กรอฮอม (ខ្មែរក្រហម) หรือเขมรแดง พวกเขาจะมีการเรียกเก็บเงินเป็นรายหัวต่อผู้ต้องการเข้าไปเสี่ยงโชค (มีเป็นจำนวนนับพันนับหมื่นอย่างที่บอก) ซึ่งนอกจากจะเสียค่าผ่านแดนแล้วยังต้องเตรียมใจในการต้องเสียยิบย่อยระหว่างทางกันได้อีก เพราะที่นั่นไม่มีกฎหมายอะไร เท่าที่ได้ฟังในช่วงแรกของการตื่นพลอยนั้น หากพวกเขาต้องการอะไรก็จะขอเลย ไม่ว่าจะเสื้อผ้าสิ่งของหรืออะไรก็ตาม และขอของเขาแปลว่าเราต้องให้ถ้าไม่อยากมีปัญหา
บนเส้นทางเดินเท้าที่มีสภาพเละเทะเฉอะแฉะความกว้างไม่เกินหนึ่งเมตร ทุกฅนต้องพยายามเดินเหยียบรอยเท้าฅนเดินนำหน้าเท่านั้น หากยังรักขาอยู่ทุกฅนจะต้องคอยระวังตรงจุดนี้ เพราะสองข้างทางคือกับระเบิดมากมายที่ไม่มีใครอยากยุ่งกับมัน ก้าวพลาดนิดเดียวขาขาดเอาได้ง่าย ๆ เวลาจะเดินสวนกันในบางช่วงยังต้องหันหลังชนกันแล้วหมุน
และนอกจากกับระเบิดที่รอตัดขาแล้ว ยังมีระเบิดพวงที่มีสายซ่อนไว้กับเถาวัลย์หรือสิ่งต่าง ๆ ข้างทาง รอให้ฅนเหน็ดเหนื่อยได้เหนี่ยวดึงให้มันทำงานอยู่อีก ใครที่เผลอไปดึงเถาวัลย์หรือต้นไม้กิ่งไม้เพื่อพยุงกายโดยไม่ระวังแล้วล่ะก็ ตูม!
.
ส่วนการเดินทางนั้นต้องไม่ลืมว่าทุกฅนต่างมีอุปกรณ์ที่ทั้งใช้ขุดหาพลอยและเพื่อการพักแรม รวมถึงพวกเสบียงต่าง ๆ สำหรับการใช้ชีวิตที่นั่น ซึ่งต้องสะพายหลังไปบนเส้นทางวิบากนั้นด้วยนะครับ
บางฅนบางพวกจะเป็นการสะพายของขึ้นไปขายให้กับนักเสี่ยงโชคเหล่านั้น แน่นอนว่าราคาของที่พวกเขานำไปด้วยความอยากลำบากจะต้องแพงลิบลิ่วเลยทีเดียว และสิ่งของเหล่านั้นคุณคงนึกไม่ออกหรอกว่ามันมีอะไรบ้าง ไก่เป็น ๆ เหล้า ของใช้จำเป็นต่าง ๆ และมีแม้กระทั่ง ‘น้ำแข็ง’
ลองนึกภาพฅนสะพายน้ำแข็งทั้งก้อนใหญ่ ๆ ขึ้นเขา ที่ต้องคอยระวังกับระเบิดและต้องรีบก่อนมันจะละลายหมดดูสิครับ
บางพวกไม่ได้เสี่ยงโชค ไม่ได้นำของไปขาย แต่เป็นการรับจ้างสะพายของขึ้นไปก็มี ซึ่งของที่รับจ้างขนขึ้นไปนี้นอกจากข้าวปลาอาหารแล้วก็มีพวกน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องยนต์ดีเซลและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเหมืองพลอย
ครับฟังไม่ผิดแน่นอน มันมีทั้งเครื่องยนต์และอุปกรณ์ในการทำเหมืองพลอยเลย โดยเครื่องยนต์นั้นพวกเขาจะถอดเป็นชิ้นส่วนขึ้นไปประกอบบนนั้น แต่ในส่วนของ ‘แย็ก’ นั้นผมไม่ทราบข้อมูลการนำขึ้นไปเหมือนกัน เพราะตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรมากมายตอนนี้จึงต้องตามหาข้อมูลกันอยู่ แต่คาดว่าแย็กน่าจะขึ้นไปพร้อมแบ็กโฮ ซึ่งก็น่าจะเป็นช่วงกลาง ๆ แล้วนั่นแหละครับ
.
และนอกจากสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากแล้ว ที่นั่นยังชุกชุมด้วยมาลาเรีย หลายฅนทีเดียวที่ต้องจบชีวิตเพราะมัน โดยเฉพาะพม่ามอญนั้น บางทีหากเกิดเจ็บป่วยแล้วลงเขาไม่ทัน เมื่อมีการตายศพของพวกนั้นก็อาจถูกทิ้งไว้บนเขา สองข้างทางที่ว่าจึงมักเห็นได้ไม่ยาก ทั้งที่ฝังอย่างมิดชิดเป็นเนินดิน และที่ฝังอย่างลวก ๆ ซึ่งจะมีมือเท้าโผล่มาทักทักทายผู้สัญจรผ่าน บางศพก็ถูกทิ้งไว้โดยไม่ต้องกลบฝังแต่อย่างใด เหมือนว่าจะเอาไว้เตือนใจนักแสวงโชค ให้ได้ตระหนักถึงความอันตราย ของดินแดนแห่งความหายนะประดับอัญมณีก็ปานนั้น
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่เห็นมีใครกลัวเกรงกันสักเท่าไร มีแต่พากันมุ่งหน้าเข้าไปจนคับคั่งอย่างที่บอก
.
มาว่าที่เรื่องของผมกันบ้างดีกว่า อย่างว่านั่นแหละ ผมไม่ได้ขึ้นไปเสี่ยงโชคตามใครเขาแต่อย่างใด แต่ด้วยความอยากลองสัมผัสแผ่นดินแขมร์ หรืออยากหาประสบการณ์ ทำให้ผมตัดสินใจขึ้นไปรับจ้างแบกไม้บนนั้น ไม่ทราบว่าฅนแขมร์จะเรียกผมว่าแรงงานต่างด้าวหรือเปล่านะ แฮ่!
ตอนที่ผมขึ้นไปนั้นมีเส้นทางที่รถยนต์สามารถขึ้นไปได้อย่างสะดวกสบายแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังคงต้องเป็นรถจำพวกขับเคลื่อนสี่ล้อเพราะความสูงชันของพื้นที่
ตอนเราไปถึงชายแดนกันนั้นเย็นมากแล้ว โดยรถที่พาผมขึ้นไปเป็นรถของเสี่ยฅนหนึ่งซึ่งมีเหมืองพลอยอยู่บนนั้น เขาติดต่อให้เรา (ผมกับเพื่อน) ไปแบกไม้ที่จะนำมาสร้างบ้านของหัวหน้าแขมร์กรอฮอม ซึ่งเป็นหุ้นส่วนฅนหนึ่งของเขา การขึ้นไปช่วงนี้จะไม่มีการเก็บค่าหัวอะไรแล้ว เพราะทุกพื้นที่ล้วนถูกสัมปทานจากพ่อค้าพลอยแทบทั้งหมด การใช้ชะแลงไปหาขุดแร่พลอยมาใส่ตะแกรงร่อนน้ำจึงหาไม่ได้กันแล้ว
ชายแดนฝั่งแขมร์จะมีโรงเรือนขนาดใหญ่ ทราบภายหลังว่าเป็นที่พัก หรือที่ตั้งหน่วยทหารแขมร์นั่นแหละครับ ที่นั่นสิ่งสะดุดตาของผมคือขาเทียม มันมีแขวนกันเป็นราวทีเดียว ทราบภายหลังอีกเช่นกันว่า เป็นของบรรดาทหารที่เมื่อไม่ได้ใช้ก็มาถอดแขวนไว้ (พวกเขาไม่ได้ใส่ตลอดเวลา)
เราจอดรถรอการประสานงานตรงนั้นนานมาก กว่าจะขึ้นเขาได้ก็มืดค่ำ สองข้างทางจึงมีแต่สีดำสนิท หากแต่ผมยังสามารถรับรู้ได้เมื่อถึงจุดสูงสุดของยอดเขาบรรทัด เพราะจากที่ได้รับการบอกเล่ามานั้น หูอื้อหรือหูดับเมื่อไรนั่นแหละ แปลว่าถึงยอดเขาแล้ว
จุดหมายของเราคือฐานญวนก่อนถึงเขาเพชร ดึกพอควรเมื่อเราไปถึง และที่พักของเราก็คือบ้านของหัวหน้าแขมร์กรอฮอมซึ่งกำลังก่อสร้างกันอยู่นั่นแหละ
.
รุ่งเช้าผมจึงได้เห็นสภาพโดยรอบของที่นี่ มีเหมืองพลอยอยู่สองสามแห่ง ซึ่งอุปกรณ์หลักนั้นไม่ใช่แย็กอย่างที่เคยเห็น แต่จะเป็นอุปกรณ์ที่เรียกกันว่า ‘เครื่องโม่’
โดยตามปกติแย็กนั้นจะต้องใช้ฅนงานหลายฅน เพราะจะต้องมีทั้งฅนคุมแย็ก ฅนคุมเครื่องดูดที่จะดูดแร่ไปใส่แย็ก และฅนจับหัวฉีดฉีดแร่ที่แบ็กโฮขุดมากอง ฉีดให้เป็นเลนแล้วไล่ลงหัวดูดอีกที ยังต้องมีฅนเก็บหินก้อนใหญ่ที่จะอุดตันหัวดูดอีกด้วย แต่เครื่องโม่นั้นจะใช้แบ็กโฮตักใส่โดยตรงเลย จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมพลอยแดงที่ว่ามีอยู่มากมายในฝั่งแขมร์จึงหมดลงอย่างรวดเร็ว
.
พื้นที่โดยรอบคือผืนป่าที่บางส่วนถูกบุกเบิกแผ้วถางจุดเผาเพื่อปลูกข้าวและพืชล้มลุก มีบ้านเรือนหลังเล็ก ๆ ของชาวบ้านอยู่สองข้างทาง บางบ้านเป็นร้านค้า ซึ่งราคาสิ่งของตอนนั้นบวกเพิ่มได้เลยหนึ่งเท่าตัว เช่นราคาในไทยห้าบาทที่นี่ก็จะเป็นสิบบาท (ขนาดถูกลงกว่าเมื่อก่อนแล้วนะครับ)
จุดหนึ่งที่สะดุดตาผมเลยก็คือผู้ฅนที่นี่ส่วนใหญ่จะมีขาข้างเดียว อีกข้างคือขาเทียม นั่นเป็นเครื่องยืนยันถึงกับระเบิดที่มีมากมายสมัยก่อนการมาเยือนของผมได้เป็นอย่างดี
จุดเด่นหรือจะเรียกว่าแลนด์มาร์กของที่นี่ก็คือต้นทุเรียน ซึ่งจะมีอยู่จำนวนสองสามต้น (จำจำนวนแน่ชัดไม่ได้) ซึ่งดูว่าเป็นต้นทุเรียนที่มีมานานก่อนสงครามเลยนั่นแหละ แต่ละต้นค่อนข้างสูงชะลูด และจะมีกิ่งมีลูกก็ตรงส่วนยอดที่สูงลิบลับจากพื้นดิน การจะเก็บลูกกินนั้นจึงต้องรอหล่น หรือไม่ก็ใช้ปืนยิงลงมากันเท่านั้น (พวกทหารใช้ปืนยิงกันจริงๆ)
ส่วนการทำงานของผมหนแรกนี้ก็เรียกว่าคุ้ม (หากไม่คิดถึงเรื่องมาลาเรียนะ) เพราะได้ค่าแรงค่อนข้างแพง ส่วนสาเหตุที่ทำให้ได้ค่าแรงสูงนั้นมาจากปัจจัยสองประการ
หนึ่งเพราะอันตราย (อย่าลืมว่ายังอยู่ในช่วงของสงคราม)
สองเพราะที่นี่เงินหาง่าย (อย่าลืมว่าอยู่ในดงพลอย)
ก็เรียกว่าถูกใจนั่นแหละครับ ได้เที่ยวแถมได้เงินใช้อีกต่างหาก
ใช่! ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น เพราะยังไม่รู้ว่ามาลาเรียมันมาฝังอยู่ในตัวผมแล้วน่ะสิ ช่วงแรกยังไม่มีอาการอะไร นอกจากสัญญาณเตือนเล็กน้อย เช่นการปวดมึนหัว กับอาการคล้ายกับท้องอืดเฟ้อและมีไข้บ้างไม่มากนักซึ่งผมไม่ได้ตระหนักอะไร กระทั่งได้ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากกลับลงเขาครั้งหลังไม่กี่วันก็ได้เวลาแสดงอาการของมันทันที ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผมติดเชื้อนั้นมันงี่เง่ามาก เป็นเพราะทาก ทากนั่นแหละ
ก่อนอื่นคงต้องถามก่อนว่ามีใครรู้จักทากกันบ้างไหม จะว่ามันเหมือนปลิงก็น่าจะได้ เพราะชอบดูดเลือดไม่ต่างกัน แต่ทากจะตัวเล็กและค่อนข้างกลมกว่า สีสันต่างกันนิดหน่อย นอกนั้นเหมือนกันหมด โดยเฉพาะความเหนียวหนึบของมัน มันไม่ใช่พาหะของมาลาเรีย แต่ผมก็คงต้องโทษมันล่ะครับงานนี้
ปกติพวกนี้จะเป็นสัตว์ที่ไม่รู้จักกลัวไม่รู้จักถอย ลองสังเกตดูสิครับ หากพวกมันจับการสั่นไหวหรือสัญญาณความร้อนได้ ก็จะไม่สนใจอะไรกันแล้ว เดินหน้าเกาะดูดลูกเดียว แล้วทีนี้ผมเกิดรู้ว่า ยากันยุงชนิดน้ำที่ผมมีติดตัวไปนั้น สามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างชะงัด ไม่ใช่แค่ทาแล้วมันไม่กัดนะครับ แต่ถึงขนาดที่ว่าหากเราเอาเท้าที่ทายาแหย่ใส่มัน มันจะคืบหนีสุดชีวิตเลย สนุกสิครับ ยากันยุงของผมจึงถูกนำมาทากันทาแกล้งทากกันเสียหมด งานนี้ยุงกัดไม่สนใจแล้ว เอาสะใจไว้ก่อน
จึงเป็นเรื่องราวของเวรกรรมตามทัน มันทำให้ผมต้องอยู่กับมาลาเรียนับสิบปีอย่างที่บอก
ผมตรวจเจอเชื้อ พีเอฟ (P.falciparum) ซึ่งความรุนแรงนั้นถึงขั้นเสียชีวิตเอาได้ง่าย ๆ หากผมโชคดีที่เชื้อมันลงกระเพาะ เพราะถ้าว่ามันขึ้นสมองคงเสียชีวิตตั้งแต่ตอนนั้น หลังจากรักษาหายแล้วยังต้องพักฟื้นกันอีกนาน แถมใช่ว่าจะหายขาด เพราะหากเผลอใช้แรงเกินกำลังหรือปล่อยให้ร่างกายอ่อนแอเมื่อใด มันก็พร้อมจะเล่นงานได้ทุกเมื่อ สิบกว่าปีจริง ๆ ที่ผมต้องทนอยู่กับมัน
แต่นั่นใช่ว่าจะทำให้ผมรู้สึกเข็ดขยาดได้อย่างที่บอก หลังจากนั้นผมยังได้เข้าไปตามช่องทางเนินสี่ร้อยสู่คลองรถถัง หรือโอรธเกราะ ในภาษากัมปุเจีย แต่ครั้งนี้จะไปเป็นเด็กปัดขี้เลื่อยเสียมากกว่า รวมถึงการเข้าไปตามช่องทางบ้านหาดเล็กซึ่งก็จะไปเป็นเด็กปัดขี้เลื่อยอีกเช่นกัน ซึ่งมาลาเรียยังคงตามผมไปถึงที่นั่นด้วย
ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นไว้จะเล่าให้ฟัง โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๑)
โดย : ละเว้
บทที่๑ เริ่มต้นด้วยมาลาเรีย
การได้เยือนแขมร์หนแรกของผมนั้นเรียกว่า เกือบเอาชีวิตไปทิ้งกับมาลาเรียกันเลยก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้นยังต้องใช้ชีวิตร่วมกับมันอีกสิบกว่าปี โดยมันจะคอยฉวยโอกาสกระหน่ำซ้ำเติมได้ตลอดเวลาหากว่าเมื่อใดร่างกายผมอ่อนแอ
แต่ไม่ว่าอย่างไร แม้จะมีความลำบากลำบน ทั้งการเดินทางเข้าไปแต่ละครั้งนั้นอาจต้องบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วย บ้างเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางตลอดก็ตามที คงไม่มีอะไรทำให้ผมรู้สึกเข็ดขยาดต่อดินแดนแห่งนี้ได้แต่อย่างใด และนั่นทำให้ผมมีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังนี่ไงล่ะครับ
.
ช่องทางแรกในการเยือนแขมร์ของผมคือช่องทางบ้านหมื่นด่าน อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด ช่วงนั้นสงครามยังไม่จบ แต่ก็มีฅนไทยจำนวนหนึ่ง (นับพันนับหมื่น) พากันข้ามเขาเข้าไปเสี่ยงโชคจากการ ‘ตื่นพลอย’ ที่นั่นกันแล้ว
ไม่ทราบทุกท่านเคยได้ยินเรื่องนี้กันบ้างไหมนะครับ ซึ่งการตื่นพลอยที่ว่านี้ไม่ได้มีแต่ฅนไทยเท่านั้น ยังรวมถึงพม่ามอญอีกที่ต้องเรียกว่าข้ามประเทศไปกันเลยทีเดียว
ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเป็นมาอย่างไรนั้นผมเองไม่ทราบเหมือนกัน และตอนที่ผมได้เข้าไปจะเป็นช่วงปลายแล้ว โดยผมไม่ได้ขึ้นไปเสี่ยงโชคเสี่ยงดวงแบบฅนอื่นเขาหรอก จะเป็นการเข้าไปทำงานมากกว่า
.
แต่ก่อนอื่นขอนำเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังมาเล่าต่อ เพื่อให้ได้ทราบถึงที่มาที่ไป และเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหากันสักหน่อยก่อนนะครับ
ถึงจะได้ยินเรื่องการข้ามเขาเข้าไปทำพลอยยังฝั่งแขมร์มานานแล้วก็ตาม แต่เรื่องนี้เป็นที่รู้จักในวงกว้างจริง ๆ ก็ช่วงที่พลอยแดง หรือทับทิมสยามในอำเภอบ่อไร่เริ่มเหลือน้อยแล้วนั่นแหละ ช่วงนั้นฅนแถบนี้จะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ‘เขาเพชร’ หรือ ‘พนมเป็จ’ ของกัมปุเจีย จะเรียกว่ามันเป็นปรากฏการณ์ตื่นพลอยแขมร์เลยก็ว่าได้
ผมไม่ทราบว่ามันมีการประสานงานทางลับอะไรกันบ้างหรือเปล่าพวกเราจึงขึ้นเขาไปกันได้ โดยทหารทางฝั่งไทยจะไม่มีการหวงห้ามแต่อย่างใด ส่วนทางฝั่งขแมร์ผู้ที่ครอบครองพื้นที่แถบนั้นคือ แขมร์กรอฮอม (ខ្មែរក្រហម) หรือเขมรแดง พวกเขาจะมีการเรียกเก็บเงินเป็นรายหัวต่อผู้ต้องการเข้าไปเสี่ยงโชค (มีเป็นจำนวนนับพันนับหมื่นอย่างที่บอก) ซึ่งนอกจากจะเสียค่าผ่านแดนแล้วยังต้องเตรียมใจในการต้องเสียยิบย่อยระหว่างทางกันได้อีก เพราะที่นั่นไม่มีกฎหมายอะไร เท่าที่ได้ฟังในช่วงแรกของการตื่นพลอยนั้น หากพวกเขาต้องการอะไรก็จะขอเลย ไม่ว่าจะเสื้อผ้าสิ่งของหรืออะไรก็ตาม และขอของเขาแปลว่าเราต้องให้ถ้าไม่อยากมีปัญหา
บนเส้นทางเดินเท้าที่มีสภาพเละเทะเฉอะแฉะความกว้างไม่เกินหนึ่งเมตร ทุกฅนต้องพยายามเดินเหยียบรอยเท้าฅนเดินนำหน้าเท่านั้น หากยังรักขาอยู่ทุกฅนจะต้องคอยระวังตรงจุดนี้ เพราะสองข้างทางคือกับระเบิดมากมายที่ไม่มีใครอยากยุ่งกับมัน ก้าวพลาดนิดเดียวขาขาดเอาได้ง่าย ๆ เวลาจะเดินสวนกันในบางช่วงยังต้องหันหลังชนกันแล้วหมุน
และนอกจากกับระเบิดที่รอตัดขาแล้ว ยังมีระเบิดพวงที่มีสายซ่อนไว้กับเถาวัลย์หรือสิ่งต่าง ๆ ข้างทาง รอให้ฅนเหน็ดเหนื่อยได้เหนี่ยวดึงให้มันทำงานอยู่อีก ใครที่เผลอไปดึงเถาวัลย์หรือต้นไม้กิ่งไม้เพื่อพยุงกายโดยไม่ระวังแล้วล่ะก็ ตูม!
.
ส่วนการเดินทางนั้นต้องไม่ลืมว่าทุกฅนต่างมีอุปกรณ์ที่ทั้งใช้ขุดหาพลอยและเพื่อการพักแรม รวมถึงพวกเสบียงต่าง ๆ สำหรับการใช้ชีวิตที่นั่น ซึ่งต้องสะพายหลังไปบนเส้นทางวิบากนั้นด้วยนะครับ
บางฅนบางพวกจะเป็นการสะพายของขึ้นไปขายให้กับนักเสี่ยงโชคเหล่านั้น แน่นอนว่าราคาของที่พวกเขานำไปด้วยความอยากลำบากจะต้องแพงลิบลิ่วเลยทีเดียว และสิ่งของเหล่านั้นคุณคงนึกไม่ออกหรอกว่ามันมีอะไรบ้าง ไก่เป็น ๆ เหล้า ของใช้จำเป็นต่าง ๆ และมีแม้กระทั่ง ‘น้ำแข็ง’
ลองนึกภาพฅนสะพายน้ำแข็งทั้งก้อนใหญ่ ๆ ขึ้นเขา ที่ต้องคอยระวังกับระเบิดและต้องรีบก่อนมันจะละลายหมดดูสิครับ
บางพวกไม่ได้เสี่ยงโชค ไม่ได้นำของไปขาย แต่เป็นการรับจ้างสะพายของขึ้นไปก็มี ซึ่งของที่รับจ้างขนขึ้นไปนี้นอกจากข้าวปลาอาหารแล้วก็มีพวกน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องยนต์ดีเซลและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำเหมืองพลอย
ครับฟังไม่ผิดแน่นอน มันมีทั้งเครื่องยนต์และอุปกรณ์ในการทำเหมืองพลอยเลย โดยเครื่องยนต์นั้นพวกเขาจะถอดเป็นชิ้นส่วนขึ้นไปประกอบบนนั้น แต่ในส่วนของ ‘แย็ก’ นั้นผมไม่ทราบข้อมูลการนำขึ้นไปเหมือนกัน เพราะตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรมากมายตอนนี้จึงต้องตามหาข้อมูลกันอยู่ แต่คาดว่าแย็กน่าจะขึ้นไปพร้อมแบ็กโฮ ซึ่งก็น่าจะเป็นช่วงกลาง ๆ แล้วนั่นแหละครับ
.
และนอกจากสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบากแล้ว ที่นั่นยังชุกชุมด้วยมาลาเรีย หลายฅนทีเดียวที่ต้องจบชีวิตเพราะมัน โดยเฉพาะพม่ามอญนั้น บางทีหากเกิดเจ็บป่วยแล้วลงเขาไม่ทัน เมื่อมีการตายศพของพวกนั้นก็อาจถูกทิ้งไว้บนเขา สองข้างทางที่ว่าจึงมักเห็นได้ไม่ยาก ทั้งที่ฝังอย่างมิดชิดเป็นเนินดิน และที่ฝังอย่างลวก ๆ ซึ่งจะมีมือเท้าโผล่มาทักทักทายผู้สัญจรผ่าน บางศพก็ถูกทิ้งไว้โดยไม่ต้องกลบฝังแต่อย่างใด เหมือนว่าจะเอาไว้เตือนใจนักแสวงโชค ให้ได้ตระหนักถึงความอันตราย ของดินแดนแห่งความหายนะประดับอัญมณีก็ปานนั้น
แต่เอาเข้าจริงก็ไม่เห็นมีใครกลัวเกรงกันสักเท่าไร มีแต่พากันมุ่งหน้าเข้าไปจนคับคั่งอย่างที่บอก
.
มาว่าที่เรื่องของผมกันบ้างดีกว่า อย่างว่านั่นแหละ ผมไม่ได้ขึ้นไปเสี่ยงโชคตามใครเขาแต่อย่างใด แต่ด้วยความอยากลองสัมผัสแผ่นดินแขมร์ หรืออยากหาประสบการณ์ ทำให้ผมตัดสินใจขึ้นไปรับจ้างแบกไม้บนนั้น ไม่ทราบว่าฅนแขมร์จะเรียกผมว่าแรงงานต่างด้าวหรือเปล่านะ แฮ่!
ตอนที่ผมขึ้นไปนั้นมีเส้นทางที่รถยนต์สามารถขึ้นไปได้อย่างสะดวกสบายแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังคงต้องเป็นรถจำพวกขับเคลื่อนสี่ล้อเพราะความสูงชันของพื้นที่
ตอนเราไปถึงชายแดนกันนั้นเย็นมากแล้ว โดยรถที่พาผมขึ้นไปเป็นรถของเสี่ยฅนหนึ่งซึ่งมีเหมืองพลอยอยู่บนนั้น เขาติดต่อให้เรา (ผมกับเพื่อน) ไปแบกไม้ที่จะนำมาสร้างบ้านของหัวหน้าแขมร์กรอฮอม ซึ่งเป็นหุ้นส่วนฅนหนึ่งของเขา การขึ้นไปช่วงนี้จะไม่มีการเก็บค่าหัวอะไรแล้ว เพราะทุกพื้นที่ล้วนถูกสัมปทานจากพ่อค้าพลอยแทบทั้งหมด การใช้ชะแลงไปหาขุดแร่พลอยมาใส่ตะแกรงร่อนน้ำจึงหาไม่ได้กันแล้ว
ชายแดนฝั่งแขมร์จะมีโรงเรือนขนาดใหญ่ ทราบภายหลังว่าเป็นที่พัก หรือที่ตั้งหน่วยทหารแขมร์นั่นแหละครับ ที่นั่นสิ่งสะดุดตาของผมคือขาเทียม มันมีแขวนกันเป็นราวทีเดียว ทราบภายหลังอีกเช่นกันว่า เป็นของบรรดาทหารที่เมื่อไม่ได้ใช้ก็มาถอดแขวนไว้ (พวกเขาไม่ได้ใส่ตลอดเวลา)
เราจอดรถรอการประสานงานตรงนั้นนานมาก กว่าจะขึ้นเขาได้ก็มืดค่ำ สองข้างทางจึงมีแต่สีดำสนิท หากแต่ผมยังสามารถรับรู้ได้เมื่อถึงจุดสูงสุดของยอดเขาบรรทัด เพราะจากที่ได้รับการบอกเล่ามานั้น หูอื้อหรือหูดับเมื่อไรนั่นแหละ แปลว่าถึงยอดเขาแล้ว
จุดหมายของเราคือฐานญวนก่อนถึงเขาเพชร ดึกพอควรเมื่อเราไปถึง และที่พักของเราก็คือบ้านของหัวหน้าแขมร์กรอฮอมซึ่งกำลังก่อสร้างกันอยู่นั่นแหละ
.
รุ่งเช้าผมจึงได้เห็นสภาพโดยรอบของที่นี่ มีเหมืองพลอยอยู่สองสามแห่ง ซึ่งอุปกรณ์หลักนั้นไม่ใช่แย็กอย่างที่เคยเห็น แต่จะเป็นอุปกรณ์ที่เรียกกันว่า ‘เครื่องโม่’
โดยตามปกติแย็กนั้นจะต้องใช้ฅนงานหลายฅน เพราะจะต้องมีทั้งฅนคุมแย็ก ฅนคุมเครื่องดูดที่จะดูดแร่ไปใส่แย็ก และฅนจับหัวฉีดฉีดแร่ที่แบ็กโฮขุดมากอง ฉีดให้เป็นเลนแล้วไล่ลงหัวดูดอีกที ยังต้องมีฅนเก็บหินก้อนใหญ่ที่จะอุดตันหัวดูดอีกด้วย แต่เครื่องโม่นั้นจะใช้แบ็กโฮตักใส่โดยตรงเลย จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมพลอยแดงที่ว่ามีอยู่มากมายในฝั่งแขมร์จึงหมดลงอย่างรวดเร็ว
.
พื้นที่โดยรอบคือผืนป่าที่บางส่วนถูกบุกเบิกแผ้วถางจุดเผาเพื่อปลูกข้าวและพืชล้มลุก มีบ้านเรือนหลังเล็ก ๆ ของชาวบ้านอยู่สองข้างทาง บางบ้านเป็นร้านค้า ซึ่งราคาสิ่งของตอนนั้นบวกเพิ่มได้เลยหนึ่งเท่าตัว เช่นราคาในไทยห้าบาทที่นี่ก็จะเป็นสิบบาท (ขนาดถูกลงกว่าเมื่อก่อนแล้วนะครับ)
จุดหนึ่งที่สะดุดตาผมเลยก็คือผู้ฅนที่นี่ส่วนใหญ่จะมีขาข้างเดียว อีกข้างคือขาเทียม นั่นเป็นเครื่องยืนยันถึงกับระเบิดที่มีมากมายสมัยก่อนการมาเยือนของผมได้เป็นอย่างดี
จุดเด่นหรือจะเรียกว่าแลนด์มาร์กของที่นี่ก็คือต้นทุเรียน ซึ่งจะมีอยู่จำนวนสองสามต้น (จำจำนวนแน่ชัดไม่ได้) ซึ่งดูว่าเป็นต้นทุเรียนที่มีมานานก่อนสงครามเลยนั่นแหละ แต่ละต้นค่อนข้างสูงชะลูด และจะมีกิ่งมีลูกก็ตรงส่วนยอดที่สูงลิบลับจากพื้นดิน การจะเก็บลูกกินนั้นจึงต้องรอหล่น หรือไม่ก็ใช้ปืนยิงลงมากันเท่านั้น (พวกทหารใช้ปืนยิงกันจริงๆ)
ส่วนการทำงานของผมหนแรกนี้ก็เรียกว่าคุ้ม (หากไม่คิดถึงเรื่องมาลาเรียนะ) เพราะได้ค่าแรงค่อนข้างแพง ส่วนสาเหตุที่ทำให้ได้ค่าแรงสูงนั้นมาจากปัจจัยสองประการ
หนึ่งเพราะอันตราย (อย่าลืมว่ายังอยู่ในช่วงของสงคราม)
สองเพราะที่นี่เงินหาง่าย (อย่าลืมว่าอยู่ในดงพลอย)
ก็เรียกว่าถูกใจนั่นแหละครับ ได้เที่ยวแถมได้เงินใช้อีกต่างหาก
ใช่! ตอนนั้นผมคิดแบบนั้น เพราะยังไม่รู้ว่ามาลาเรียมันมาฝังอยู่ในตัวผมแล้วน่ะสิ ช่วงแรกยังไม่มีอาการอะไร นอกจากสัญญาณเตือนเล็กน้อย เช่นการปวดมึนหัว กับอาการคล้ายกับท้องอืดเฟ้อและมีไข้บ้างไม่มากนักซึ่งผมไม่ได้ตระหนักอะไร กระทั่งได้ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากกลับลงเขาครั้งหลังไม่กี่วันก็ได้เวลาแสดงอาการของมันทันที ส่วนสาเหตุที่ทำให้ผมติดเชื้อนั้นมันงี่เง่ามาก เป็นเพราะทาก ทากนั่นแหละ
ก่อนอื่นคงต้องถามก่อนว่ามีใครรู้จักทากกันบ้างไหม จะว่ามันเหมือนปลิงก็น่าจะได้ เพราะชอบดูดเลือดไม่ต่างกัน แต่ทากจะตัวเล็กและค่อนข้างกลมกว่า สีสันต่างกันนิดหน่อย นอกนั้นเหมือนกันหมด โดยเฉพาะความเหนียวหนึบของมัน มันไม่ใช่พาหะของมาลาเรีย แต่ผมก็คงต้องโทษมันล่ะครับงานนี้
ปกติพวกนี้จะเป็นสัตว์ที่ไม่รู้จักกลัวไม่รู้จักถอย ลองสังเกตดูสิครับ หากพวกมันจับการสั่นไหวหรือสัญญาณความร้อนได้ ก็จะไม่สนใจอะไรกันแล้ว เดินหน้าเกาะดูดลูกเดียว แล้วทีนี้ผมเกิดรู้ว่า ยากันยุงชนิดน้ำที่ผมมีติดตัวไปนั้น สามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างชะงัด ไม่ใช่แค่ทาแล้วมันไม่กัดนะครับ แต่ถึงขนาดที่ว่าหากเราเอาเท้าที่ทายาแหย่ใส่มัน มันจะคืบหนีสุดชีวิตเลย สนุกสิครับ ยากันยุงของผมจึงถูกนำมาทากันทาแกล้งทากกันเสียหมด งานนี้ยุงกัดไม่สนใจแล้ว เอาสะใจไว้ก่อน
จึงเป็นเรื่องราวของเวรกรรมตามทัน มันทำให้ผมต้องอยู่กับมาลาเรียนับสิบปีอย่างที่บอก
ผมตรวจเจอเชื้อ พีเอฟ (P.falciparum) ซึ่งความรุนแรงนั้นถึงขั้นเสียชีวิตเอาได้ง่าย ๆ หากผมโชคดีที่เชื้อมันลงกระเพาะ เพราะถ้าว่ามันขึ้นสมองคงเสียชีวิตตั้งแต่ตอนนั้น หลังจากรักษาหายแล้วยังต้องพักฟื้นกันอีกนาน แถมใช่ว่าจะหายขาด เพราะหากเผลอใช้แรงเกินกำลังหรือปล่อยให้ร่างกายอ่อนแอเมื่อใด มันก็พร้อมจะเล่นงานได้ทุกเมื่อ สิบกว่าปีจริง ๆ ที่ผมต้องทนอยู่กับมัน
แต่นั่นใช่ว่าจะทำให้ผมรู้สึกเข็ดขยาดได้อย่างที่บอก หลังจากนั้นผมยังได้เข้าไปตามช่องทางเนินสี่ร้อยสู่คลองรถถัง หรือโอรธเกราะ ในภาษากัมปุเจีย แต่ครั้งนี้จะไปเป็นเด็กปัดขี้เลื่อยเสียมากกว่า รวมถึงการเข้าไปตามช่องทางบ้านหาดเล็กซึ่งก็จะไปเป็นเด็กปัดขี้เลื่อยอีกเช่นกัน ซึ่งมาลาเรียยังคงตามผมไปถึงที่นั่นด้วย
ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นไว้จะเล่าให้ฟัง โปรดติดตามตอนต่อไปครับ.