อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์ (ตอนที่๖)

กระทู้สนทนา
อนุสาวรีย์บันทึก ผมกับแขมร์
โดย : ละเว้
บทที่๖ มันยังคงอยู่

คำภาวนาของผมดูท่าจะได้ผล หลายวันมานี้ผมไม่มีอาการน่าหนักใจอะไร กินข้าวกินกุ้งเปื่อย ๆ ได้ตามปกติ เพียงแต่ว่าทุกสิ่งไม่มีอะไรแน่นอนอย่างที่บอก

.
หลังจากใช้พื้นดินแทนพื้นเรือนกันหลายวันเราจึงตัดสินใจสร้างขนำที่พักกัน และเพื่อให้สมกับที่ต้องทนนอนกับดินกินกับทรายมานานเราจึงสร้างเสียใหญ่โตเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าเราได้นอนที่พักใหม่เพียงสองคืนก็มีคำสั่งให้เข้าป่าต่อ พอดีกับพวกที่มาจากบริษัทเดียวกันอีกชุดมาพักที่นี่ ก็เลยสบายชุดนี้ไม่ต้องสร้างที่พักกัน

เราเดินไปตามทางซึ่งกำลังบุกเบิก ผ่านขนำของชาวกัมปุเจียที่มาปลูกสร้างเพื่อทำไม้เช่นกัน พวกนี้จะทำกันเพียงเล็กน้อยและไม้ที่พวกเขาโค่นล้มนั้นส่วนใหญ่จะเล็กกว่าขนาดที่เราต้องการ พวกเขาจึงเข้ามาทำในเขตสัมปทานได้ ที่พักของพวกเขาจะเป็นขนำเล็ก ๆ แต่สร้างเสียสูงกันเลยทีเดียว

และแม้จะเป็นเส้นทางที่ถูกบุกเบิกไถดันไปบ้างแล้ว แต่เรายังต้องเดินขึ้นเนินขึ้นเขากันเสียเป็นส่วนใหญ่ กระทั่งเย็นจึงถึงจุดหมาย เรารีบสร้างที่พักกันก่อนเลย แม้จะไม่ใหญ่โตเหมือนที่เพิ่งจากมา แต่ก็ไม่เล็กเท่าไรสำหรับพวกเราที่มีกันหลายฅน

และแม้จะมาถึงป่าแล้วแต่เรายังได้รับคำสั่งว่าอย่าเพิ่งโค่นไม้เหมือนเดิม มันชักจะอย่างไรเสียแล้ว ผมคิดว่าทุกฅนคงรู้สึกเหมือนกันแต่ไม่มีใครพูดออกมามากกว่า ช่วงนี้จึงเป็นการกินกับนอนอีกเหมือนเดิม เสบียงมีเหลือเฟืออย่างที่บอก แม้แหล่งหากินทางน้ำจะสู้ที่เก่าไม่ได้ก็เถอะ

‘จีนเข้ามาที่นี่’ ผมได้ยินฅนในกลุ่มของเรานั่งคุยกัน นั่นหมายความว่า ทั้งพ่อค้าจีนและนายทุนของเราต่างมีสัมปทานทับซ้อนในผืนป่าเดียวกัน แบบนี้ก็อยู่ที่ว่าเส้นใครจะใหญ่กว่ากันนั่นแหละ และนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่ค่อยได้รับคำสั่งให้เคลื่อนย้ายนอกจากคำสั่งรอกันเท่านั้น

.
การทำธุรกิจที่นี่ในช่วงปลายสงครามนี้อัตราความเสี่ยงจะสูงพอ ๆ กับค่าตอบแทน เพราะทั้งหมดดูจะเป็นสัญญาใจต่อกันเสียมากกว่า และอำนาจในการให้สัมปทานสูงสุดระดับจังหวัดก็คือผู้ว่าฯ ตรงนี้หากเปลี่ยนตัวผู้ว่าฯ สัมปทานก็มีอันเปลี่ยนแปลงได้ กระทั่งแม้ไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้ว่าฯ ก็ตาม หากเจอฅนที่เส้นใหญ่กว่าอำนาจสัมปทานยังมีอันเปลี่ยนได้ง่ายเช่นกัน 

แต่ถึงอย่างไรยังมีความมั่นใจจากนายทุนฝั่งเราว่าชนะแน่ ทุกฅนจึงไม่ค่อยเดือดร้อนกันเท่าไร แต่ก็อยากเข้าป่ากันเต็มทีแล้วนั่นแหละ

.
ในที่สุดเราก็ได้รับอนุญาตให้เข้าป่าตัดไม้กันได้ แต่คำสั่งนั้นดูจะไม่จริงจังนัก เหมือนเห็นว่าเราเข้ามากันนานแล้วก็เลยให้ได้ทำงานกันบ้างเท่านั้น โดยเราได้รับคำสั่งเพิ่มเติมว่าห้ามเผชิญหน้ากับอีกกลุ่ม ซึ่งคิดว่าพวกเขาคงได้รับคำสั่งเช่นเดียวกันกับเรา จึงเป็นการที่ต่างฝ่ายต่างหลบเมื่อเจอกันเสียมากกว่า

การทำไม้หนนี้เราไม่ได้แปรรูป ไม่ได้ตีปึก แต่จะแค่โค่นล้มแล้วตัดท่อนรอการชักลากเท่านั้น ก็เรียกว่าสบายกว่าเดิมหน่อย และเท่าที่สังเกตป่านี้ไม้แต่ละต้นจะสูงใหญ่มากทีเดียว นกเงือกก็ดูจะมีชุกชุมกว่าป่าอื่น เมื่อไม้แต่ละต้นถูกโค่นล้มลงผมอดคิดถึงพวกมันไม่ได้ นกเงือกเหล่านั้น ไม้ใหญ่คือบ้านของมัน

.
ข้อเสียของผมที่ดูจะไม่เหมาะกับการอยู่ป่าอยู่ดงอีกอย่างก็คือ ผมจะเป็นฅนที่ไม่ค่อยแม่นเรื่องทิศทางสักเท่าไร เรียกว่าหลงป่ากันได้ง่ายมาก และช่วงนี้เนื่องจากต้องคอยหลบอีกฝ่ายงานของเราจึงไม่ค่อยได้ทำจริงจังกันนัก ส่วนใหญ่จะเป็นการดูไม้สำรวจป่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ไปพร้อมไว้ก่อนนั่นแหละ

วันนั้นหลังจากเดินดูไม้ได้สักพัก เพื่อนผมก็บอกให้ทิ้งถังน้ำมันที่สะพายมาไว้ก่อน ขากลับค่อยแวะมาเอา ก็ดีอยู่หรอกที่ไม่ต้องสะพายไปต่อให้เหนื่อย เพียงแต่ขากลับเมื่อเราเดินมาตามทางที่เพิ่งได้รับการบุกเบิก เพื่อนดันให้ผมแวะเข้าป่าไปเอาถังน้ำมันฅนเดียวเสียอย่างนั้น ครับ ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา หลงอยู่แล้วครับงานนี้

ผมจำได้แต่ว่าไต่ตามไม้ที่ถูกโค่นล้มต่อยอดกันไปไม่กี่ต้นก็ถึง เพียงแต่เมื่อผมไต่ไปมันก็มีไม้ล้มต่อยอดออกไปอีก ผมเลยไต่ไปเรื่อย เมื่อไม่ถึงสักทีจึงรู้ตัวว่าหลงป่า ทำไงดีล่ะทีนี้ จะกลับทางไหนซ้ายขวาหน้าหลังก็จำไม่ได้แล้ว แต่โชคดีมีเสียงสวรรค์ แทร็คเตอร์ที่ทำงานอยู่ไกล ๆ ส่งเสียงแว่วมา แม้ดูว่าจะไกลหน่อยแต่ผมก็ต้องมุ่งไปทางนั้นแหละ

สรุปว่าวันนั้นผมหลงไปไกลเลยทีเดียว และจากวันนั้นเพื่อนไม่เคยให้ผมเดินป่าแต่ลำพังอีกเลย

.
คำภวนาที่ว่าได้ผลตอนแรกนั้นในที่สุดก็ไร้ผล คืนนั้นผมเป็นไข้ หลังจากกินยาแล้วก็นอนสั่น ใกล้สว่างจึงได้หลับสนิท และตื่นเช้ามาด้วยอาการปกติ หรือดูจะสดชื่นกว่าที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า...

“แกรีบลงเขาไปเลยไป” พวกเราฅนหนึ่งชี้หน้าบอกผม แม้ผมจะบอกกลับไปว่าไม่เป็นอะไรแล้วแต่เขายังดึงดันให้ลงไปตรวจเชื้อมาลาเรียอยู่ดี วันนี้มีผู้ที่อยู่ตรงขนำเก่าของเราต้องการลงไปไทยด้วยเช่นกัน ทันแต่มีพวก เขาบอกแบบนั้น ผมจึงต้องลงมาโดยทิ้งเสื้อผ้าไว้ก่อน เพราะคิดว่าต้องกลับมาอยู่แล้ว ที่สำคัญผมหยิบมาเพียงบัตรประจำตัวประชาชน โดยลืมบัตรรักษาพยาบาลฟรีที่ได้จากการมีบัตรทหารผ่านศึกไว้ที่นั่นเสียอีก (ตอนนั้นยังไม่มีบัตรทอง)

.
เมื่อเดินมาถึงที่พักเก่าผมก็นั่งรถมากับพวกที่ต้องการกลับไทยกัน ถึงบริเวณใกล้ท่าน้ำที่ผมเรียกว่าอันซีนแขมร์เราจึงข้ามไปอีกฝั่ง จากนั้นจึงเดินเท้ากันต่อ

หลายฅนมีอาการป่วยจึงเดินไปหยุดไป ต่างกับผมที่ดูสดชื่นทีเดียว ยังอดคิดไม่ได้ว่าจะให้ตูลงมาทำไมวะ

เส้นทางช่วงนี้ดูสวยงามในความรู้สึกของผมมาก แม้ฅนอื่นอาจมองว่า มันก็แค่ทางลูกรังที่เพิ่งตัดใหม่ผ่านป่าผ่านเขา กับบ้านเรือนชาวแขมร์ที่เพิ่งปลูกสร้างสองข้างทางเท่านั้น แต่สำหรับผมแล้วมันมากกว่านั้น ครั้นจะอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดก็ดูจะยากทีเดียว เอาเป็นว่ามันเหมือนกับเวลาที่คุณได้เดินเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองนั่นแหละ แต่มีเพิ่มเติมตรงที่ว่า ที่ผมเดินอยู่นี้เพิ่งถูกบุกเบิก แล้วจะมีสักกี่ฅนที่มีโอกาสได้มาเดินชมแบบผม

ผมเดินเพลินไม่นานนักก็มาถึงชายแดนไทยตรงจุดบริเวณอำเภอคลองใหญ่ มันใกล้ขนาดนี้เลยรึวะ อดคิดในใจแบบนั้นไม่ได้

หลังจากยื่นบัตรประชาชนเทียบกับหลักฐานที่ทางบริษัทเตรียมไว้แล้ว เราก็เดินออกมาสู่สำนักงาน บางฅนมาถึงก็นอนซมกันเลยทีเดียว และตอนมาถึงนี้เย็นมาแล้ว จึงต้องรอตอนเช้าถึงจะได้ไปเจาะเลือดตรวจเชื้อกัน ฅนที่เป็นไข้เลยต้องนอนซมรอไปก่อน

ส่วนผมเมื่อมีเวลาก็ออกตลาด หลังจากหาซื้อหนังสือได้สองสามเล่มก็มานั่งกินก๋วยเตี๋ยวน้ำใส ร้านนี้เจ้าโปรดของผมในอำเภอคลองใหญ่เลยทีดียว

มันเริ่มจากตรงนั้นแหละ ก๋วยเตี๋ยวชามนั้น มันอาจจะเกี่ยวหรือไม่ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าหลังจากคีบเส้นเข้าปากได้ไม่กี่คำก็ต้องรีบกิน เมื่อจ่ายเงินเสร็จก็รีบกลับที่พัก มาถึงก็ไม่ได้สนใจใครแล้ว เข้าที่นอนคลุมโปงครางสั่นกันลูกเดียว

ผมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในคืนนั้นเลย หลังจากนั้นก็ต้องอยู่กับมาลาเรียเพียงลำพังในโรงพยาบาลคลองใหญ่ ทางบ้านไม่มีใครรู้ข่าว ฅนที่รู้ก็มีแต่พวกในป่า ซึ่งผมไม่ใช่พนักงานของบริษัทที่แท้จริง เพียงแต่ตามเขาไปอย่างที่บอก จึงไม่ได้รู้จักใครมากนัก แม้แต่พวกที่เดินมาจากป่าด้วยกันก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

.
ทุกบ่ายจะเป็นเวลาที่ผมต้องขดตัวสั่นสะท้าน ครางลั่นโรงพยาบาลอยู่เพียงลำพัง นานทีเดียวกว่ากิจกรรมนั้นจะจบลงในแต่ละวัน

ผู้จัดการแผนกป่ามาเยี่ยมในวันที่ผมต้องออกจากโรงพยาบาลพอดี พร้อมบัตรรักษาฟรีที่เพื่อนบังเอิญเจอในกระเป๋าของผม เมื่อมาฟักฟื้นที่สำนักงานได้ไม่กี่วันเพื่อนก็ลงมาจากป่า ถูกมาลาเรียเล่นงานมาเช่นกัน แต่เขาจะมีอาการไม่มากนักจึงแค่เจาะเลือดตรวจ หลังจากนั้นเราจึงกลับมาพักฟื้นที่บ้าน

.
แม้มาลาเรียจะมีอาการรุนแรงกว่าไข้ชนิดอื่นที่ผมเคยเป็นมา และแม้ต้องทรมานกับมันสาหัสแค่ไหนก็ตาม อย่าคิดว่าผมจะเข็ดขยาด เมื่ออาการดีขึ้นผมกับเพื่อนก็เตรียมตัวขึ้นเขากันอีกครั้ง แต่เรามาได้แค่สำนักงานเท่านั้น

“ขึ้นไปไม่ได้แล้ว เราแพ้จีน พวกที่อยู่ก็เตรียมตัวลงเหมือนกัน” ผู้จัดการบอกเมื่อเห็นเราสองฅน

ตกลงว่างานนี้ก็เหนื่อยฟรีอีกครั้ง แถมเกือบเอาชีวิตไปทิ้งกับมาลาเรียอีกต่างหาก 

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ขึ้นเขาไปทำไม้ที่นั่นหรือที่ไหนอีกเลย แต่เรื่องราวของผมยังไม่จบ ยังคงมีการข้ามเขตข้ามแดนที่ถึงขั้นเฉียดคุกเฉียดตะรางรออยู่อีก

โปรดติดตามตอนต่อไปครับ…

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่