เมื่อผมไปอยู่กับเขมรแดง
โดย : ละเว้
1 ข้ามแดน
เป็นช่วงของค่ำคืนไร้ดาว มีเพียงแสงไฟจากรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อกำลังส่งเสียงคำราม ขณะพาเราไต่ระดับสูงขึ้นไปตามแนวเส้นทางลูกรังเชื่อมต่อเขตแดนที่ถูกแบ่งแยกด้วยเขาบรรทัดลูกนี้ อากาศเย็นพอสมควร ผมนั่งอยู่ในส่วนของกระบะท้ายกับพรรคพวกอีกสองสามฅน ความคิดหวนถึงครั้งยังเด็ก ที่คำว่า ‘เขมรแดง’ มักสร้างภาพโหดร้ายให้หวาดกลัวในส่วนลึกได้เสมอ
‘เขมรแดงจับพระไถนาแทนวัวควาย’
‘เขมรแดงฆ่าฅนไร้ประโยชน์อย่างฅนแก่และเด็ก’
และอีกมากมายที่ผมล้วนได้ยินได้ฟังมา ซึ่งอันที่จริงแล้วคงต้องบอกว่าในตอนนั้นแม้แต่คำว่า เขมร ก็ยังทำให้เด็กอย่างผมรู้สึกครั่นคร้ามได้ไม่ยากนัก ด้วยภาพจำจากการรบรากันเองของพวกเขา ซึ่งบางครั้ยังกระทบมาถึงชายแดนไทย และกระทบถึงความรู้สึกวัยเด็กของผมด้วยเช่นกัน
แต่นั่นแหละ ด้วยเวลาและเรื่องราวรวมถึงความรู้สึกต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป วันนี้ผมจึงสามารถเข้าสู่เขตแดนครอบครองของเขมรแดง ตามแนวชายแดนด้านจังหวัดตราดนี้โดยไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าคำว่า หาประสบการณ์
‘ไทยไม่เคยค้าขายกับเขมรแดง’
เป็นคำพูดจากหน้าข่าวที่ผมจะอดนึกถึงไม่ได้อีกเช่นกัน ช่วงนี้เราจะได้ยินได้เห็นคำนี้กันบ่อยครั้ง ทั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์และในทีวี หากในความเป็นจริงนั้นเราคงอดยอมรับไม่ได้ว่า ทั้งพ่อค้าไม้และเสี่ยเหมืองพลอย ต่างวิ่งเข้าวิ่งออกขึ้นลงติดต่อกับเขมรแดงกันเป็นเรื่องปกติ
แต่นั่นแหละ มันอาจเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ผมหรือเราท่านคงไม่อาจเข้าใจอะไรได้มากนักก็เป็นได้
อยู่ ๆ หูของผมก็อื้อขึ้นมาอย่างฉับพลัน ถึงยอดเขาบรรทัดแล้ว ผมบอกตัวเองตามคำพูดที่เคยได้ยินมาว่า เมื่อนั่งรถถึงยอดเขาบรรทัดหูจะดับชั่วขณะ เป็นจริงดังคำบอกเล่านั้น
รถยังคงพาเรามุ่งหน้าส่องแสงฝ่าความมืดดำเข้าไป ผมสั่นคลอนตามจังหวะกระเด้งกระดอนของโตโยต้าขับเคลื่อนสี่ล้อ คิดถึงเรื่องราวของผู้ซึ่งเคยเหยียบย่างมาเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนที่เส้นทางสาย หมื่นด่าน-เขาเพชร ยังเป็นเพียงทางเดินเท้าของนักเสี่ยงโชค ซึ่งส่วนใหญ่คือชาวบ้านผู้มีความหวัง
จากเสียงเล่าลือถึงความชุกชุมของพลอยแดงบนเขาเพชร หรือพนมเป็จ ซึ่งฝ่ายเขมรแดงเปิดให้เข้ามาเสี่ยงโชคกันได้โดยเสรี เพียงแต่ต้องเสียเงินซื้อบัตรข้ามแดนกันเท่านั้น นั่นทำให้มีผู้ฅนหลั่งไหลมากันจากทุกสารทิศ ไม่เฉพาะฅนไทย แม้แต่มอญพม่าก็ยังข้ามประเทศมากัน
หลายรายประสบความร่ำรวย หลายรายไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กลับบ้านพบหน้าลูกเมีย ความยากลำบากของการใช้ชีวิตที่นี่เริ่มแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่าง ความตายมีอยู่ทุกตารางเมตรในแผ่นดินสงคราม ทั้งจากกับระเบิดตลอดสองข้างทาง ไข้ป่า และการฆ่าฟันกันเองด้วยอำนาจกิเลสของฅนเรา นั่นคือสิ่งที่ผมได้รับทราบเกี่ยวกับมัน ทว่ายามนี้ทุกสิ่งรอบข้างล้วนดูสงบนิ่งใต้เงามืดดำ มีเพียงแสงไฟวับแวมจากที่พักและเหมืองพลอยข้างทางบางระยะบ้างเท่านั้น
และวันนี้เราไม่ต้องซื้อบัตรเข้ามาเหมือนก่อน เพราะทุกพื้นที่ถูกสัมปทานโดยพ่อค้าไม้พ่อค้าพลอยจนหมดแล้ว
ไม่ทันดึกมากนักเราก็มาถึงจุดหมาย ที่นี่ยังอยู่ห่างจากเขาเพชรพอสมควร บ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนซึ่งอยู่ในระหว่างก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จคือที่พักของเรา ในที่สุดก็ได้เวลาพักเหนื่อยจากการเดินทางกันเสียที
.
2 เหียระ
เป็นช่วงสายในที่พักฅนงานเหมืองพลอย ผมนั่งกินข้าวเช้ากับพรรคพวก อาหารมื้อแรกของเราคือปลากระป๋องกับมะเขือเปราะและน้ำพริกกะปิ เมื่อเอาสามอย่างนี้มาขยำคลุกกันกับข้าวในจาน เหยาะน้ำปลาลงไปหน่อย มันก็ให้รสชาติถูกลิ้นดีเหมือนกัน
ฅนงานแขมร์สองสามฅนนอนอยู่ในเปลญวนซึ่งผูกมัดเป็นแถวตรงส่วนซึ่งไม่มีไม้ปูพื้น ด้วยใบหน้าที่ไม่อาจอ่านความรู้สึกได้
บ้านพักฅนงานนี้อยู่ฅนละฟากถนนกับที่พักของผม เราต้องมากินข้าวเช้ากันที่นี่ เพราะแท้จริงแล้วบ้านพักฝั่งตรงข้ามนั่นก็คือบ้านหลังใหม่ของหัวหน้าพร หัวหน้าแขมร์กรอฮอม หรือเขมรแดงผู้ดูแลพื้นที่แถบนี้ เขาและครอบครัวพักอยู่ในบ้านหลังนั้นเช่นกัน จึงไม่สะดวกหากเราจะหุงหากินกันที่นั่น
โดยรอบบ้านพักฅนงานนี้คือพื้นที่โล่งเตียนเป็นหลุมบ่อ ซึ่งก็คือหลุมที่เคยเป็นเหมืองพลอย เลยออกไปเป็นร้านค้าและบ้านเรือนของชาวบ้านที่สร้างอย่างง่ายดาย พอมองออกว่าพวกเขาเพิ่งเข้ามาอยู่อาศัยกันได้ไม่นานนัก น่าจะพร้อมกับการเกิดขึ้นของเหมืองพลอยไม่กี่แห่งในแถบนี้ อีกฝั่งของที่พักเป็นไร่ข้าวของชาวบ้าน ซึ่งเพิ่งได้รับการแผ้วถางโค่นล้มป่าเช่นกัน
“เฮ้ย ไม่ทำงานกันหรือไง”
ผมหันมองตามเสียงนั้น ผู้มีรูปร่างสูงโปร่งเป็นเอกลักษณ์ซึ่งกำลังส่งเสียงกับฅนงานแขมร์คือฅนที่ผมเรียกแกว่า ‘เหียระ’ ผมเรียกแกว่าเหียซึ่งแปลว่าพี่ หรือเฮียตามภาษาถิ่นบ้านผม ทั้งที่เรานั้นไม่ได้รู้จักกัน หรืออาจเรียกว่าผมรู้จักแกแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ได้
ถึงแม้เราจะอยู่ต่างหมู่บ้านต่างอำเภอกัน แต่ช่วงที่ผมยังเด็กนั้น พอถึงค่ำคืนแปดค่ำสิบห้าค่ำ เมื่อลานวัดบ้านผมมีชาวบ้านมารวมตัวเล่นรำวง เหียระกับพรรคพวกของแกมักปรากฏตัวมาร่วมสนุกด้วยเป็นประจำ ความเป็นฅนอัธยาศัยดีทำให้แกเข้ากับใครได้ไม่ยาก เหียระจึงเป็นที่รู้จักของทุกฅนในหมู่บ้าน
แต่ความที่ต่างวัยกัน ผมจึงได้รู้จักแกแต่เพียงฝ่ายเดียว แกเป็นฅนอีสานซึ่งมาหากินอยู่แถบนี้ เหียระเป็นฅนไม่จริงจังกับชีวิต ติดหาสนุกใส่ตัวเสียมากกว่า แกจะมีเพลงที่แต่งเองอยู่บทหนึ่ง ซึ่งมักนำมาร้องเชียร์รำวงเป็นประจำ บทเพลงเสียดสีความเจริญจากการทำเหมืองพลอย ที่กลายเป็นความเสื่อมของชุมชน
แต่นั่นแหละ อย่างที่บอกว่าแกไม่ใช่ฅนจริงจังกับชีวิต บทเพลงของแกจึงเหมือนกับแต่งเอาสนุกมากกว่าจะบอกว่าแกเป็นฅนมีอุดมการณ์ เพราะไม่ว่าอย่างไรแกก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับเหมืองพลอย หรือหากินอยู่กับบรรดาเสี่ย ๆ เหมืองพลอยมาตลอด
จะว่าไปก็ไม่ต่างจากนักร้องเพื่อชีวิตแถวหน้าฅนหนึ่งเหมือนกัน ที่ดีแต่ร้องเพลงด่าฅนอื่นไปทั่ว ทั้งที่ฅนร้องนั้นไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรเลย แถมการกระทำก็ไม่ต่างจากฅนที่เจ้าตัวร้องด่าเลยสักนิด
แต่เหียระจะต่างกับนักร้องฅนนั้นก็ตรงที่แกไม่ชอบด่าใคร ไม่ได้ทำตัวเป็นนักร้องผู้ทรงอิทธิพลเท่านั้น
ผมไม่ได้เจอเหียระมานานมากจนกระทั่งวันนี้นั่นแหละ
“ว่าไง ทำงานกันหรือเปล่า”
ผมยังนั่งตักข้าวใส่ปากไปพลางชำเลืองมองเหียระซึ่งยังคงส่งเสียงใส่ฅนงานแขมร์ผู้ไร้การโต้ตอบใด ๆ
“ไม่สบาย” เมื่อเหียระรบเร้าหนักเข้า ร่างหนึ่งที่นอนนิ่งในเปลก็ส่งเสียงแปร่งห้วนออกมา
ถัดจากเหียระไปหน่อยมีบุรุษวัยกลางฅนร่างอ้วนท้วนยืนอยู่ที่นั่น เสี่ยวิ เจ้าของเหมืองพลอยผู้ทำให้ผมได้มาที่นี่นั่นเอง
.
3 เสี่ยวิ
ผมรู้จักเสี่ยวิโดยที่แกไม่รู้จักผมเช่นกัน ส่วนว่าแกจะรู้สึกคุ้นหน้าผมบ้างหรือเปล่าตรงนี้คงไม่อาจทราบได้ สำหรับผมนั้น นอกจากการมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางของเสียวิจะทำให้ได้รู้จักแกแล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้รู้จักแกมากกว่านั้นด้วยเช่นกัน
ตอนที่ผมเป็นฅนงานเหมืองพลอยซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านเท่าไร ตรงนั้นเป็นรอยต่อระหว่างอำเภอบ่อไร่กับเขาสมิงโดยมีคลองโสนกั้นกลาง เหมืองที่ผมทำงานนั้นอยู่ติดคลองโสนพอดี อีกฝั่งคือเหมืองของเสี่ยวิ ซึ่งทุกอย่างก็น่าจะเป็นปกติหากต่างฅนต่างอยู่ เพราะถึงอย่างไรสองเหมืองนั้นยังมีสายน้ำกั้นกลางไปมาหาสู่กันได้ลำบากอยู่แล้ว
หากกลับไม่ใช่เช่นนั้น เพราะพอถึงหน้าแล้งเมื่อน้ำคลองงวดลง เสี่ยวิก็ย้ายเหมืองมาอยู่ในคลอง ซึ่งที่จริงมันคือพื้นที่สาธารณะ และไม่แค่นั้น แกยังพยายามลุกล้ำเข้ามายังตลิ่งฝั่งเหมืองของเราด้วย ความมีอิทธิพลของเสี่ยวินั้นถึงขนาดที่ว่า แกสามารถย้ายลำน้ำทั้งสายอย่างง่ายดาย โดยไม่มีฝ่ายบ้านเมืองให้ความสนใจ นั่นทำให้แกกล้าที่จะรุกเข้ามายังเขตแดนของเรา และนั่นทำให้สองเหมืองเกิดความขัดแย้งกันอยู่ระยะหนึ่ง ดีว่าในที่สุดก็สามารถพูดคุยตกลงกันได้เท่านั้น
หากเสี่ยวิวันนี้เหมือนไม่ใช่ฅนเดิมที่ผมรู้จัก แกดูนิ่งและเย็นกว่าแต่ก่อน ดูธรรมดาเกินกว่าจะมีมาดจอมอิทธิพลแต่อย่างใด เสี่ยวิบอกให้เหียระเลิกสนใจฅนงานแขมร์ก่อนจากไปเงียบ ๆ
“ให้กินแต่ข้าวกับปลากระป๋อง ใครมันจะมีแรงนัก” ผมได้ยินเสียงจากเปลญวนบ่นพึมพำตามหลังไป
.
4 หัวหน้าพร
พระภิกษุผู้กำลังก้าวเท้าไปตามเส้นทางลูกรังสายเดียวของที่นี่น่าจะเป็นพระธุดงค์หรืออย่างไรผมไม่สู้แน่ใจนัก แต่คงเป็นเช่นนั้นเพราะที่นี่ไม่มีวัด บุรุษชุดเขียวสวมหมวกแก๊ปหันมองพลางพนมมือจดหน้าผากขณะพระผ่านไป ผมมองดูภาพตรงหน้าพลางอดคิดไม่ได้ว่า นั่นอาจเป็นภาพธรรมดา ถ้าเพียงแต่ว่านายทหารผู้นั้นจะไม่ใช่กองกำลังฝ่ายเขมรแดง ซึ่งเคยได้ชื่อว่าจับพระมาไถนาและปฏิเสธศาสนามาโดยตลอด ‘หัวหน้าพร’ แกดูไม่มีภาพของผู้นำเขมรแดงในแบบที่ผมเคยได้รับรู้มาก่อนแต่อย่างใด และถ้าจะว่าไป แกดูเหมือนเสี่ยฅนหนึ่งมากกว่าเป็นนายทหารเสียอีก ถ้าเพียงแต่แกจะไม่ได้อยู่ในชุดเขียวนั่นล่ะก็นะ
และอาจเป็นด้วยเสื้อผ้าของแกนั่นด้วย ที่ทำให้ภาพของทหารเขมรแดงในวันนี้ต่างจากได้ยินได้ฟังมา วันนี้พวกเขาไม่ได้ใส่ชุดดำมีผ้าขาวม้าห้อยคออย่างแต่ก่อน เสื้อกางเกงสีพื้นเขียวซึ่งเป็นชุดที่ได้รับจากกองทัพจีนกลายมาเป็นเครื่องแบบของพวกเขาแทน ซึ่งคงไม่ใช่แค่ชุดที่เปลี่ยน หากน่าจะรวมถึงอุดมการณ์อันตรายต่าง ๆ ของเขมรแดงนั้นคงลดน้อยถอยลงไปมากแล้วเช่นกัน
ตำแหน่งทางการทหารของพวกเขานั้นทำผมสับสนได้พอควร เพราะจะได้ยินแต่คำว่าหัวหน้าหรือมุขในภาษาแขมร์ ทั้งระดับหัวหน้าพร หรือที่สูงกว่าหัวหน้าพรก็ยังถูกเรียกว่าหัวหน้าไม่ต่างกัน ‘ใครใหญ่กว่าใคร’ จึงเป็นคำถามที่ผมต้องใช้หากอยากรู้ชั้นยศของพวกเขาจริง ๆ
“เห็นไหมไอ้ระ ไม่ต่างจากเมืองไทยแล้วนะเมิง”
เป็นยามค่ำคืน หัวหน้าพรหันไปคุยกับเหียระ เมื่อหนังแขมร์ในจอทีวีฉายภาพนักแสดงกำลังเต้นรำดื่มกินในผับกัน
ภายในบริเวณใต้ถุนบ้านซึ่งยังไม่ได้เทพื้น เราบ้างนั่งบนม้านั่งหรือเก้าอี้ บ้างหาที่เฉพาะตัวสุดแต่สะดวกในการจ้องตู้สี่เหลี่ยม
แม้ที่นี่จะไม่มีไฟฟ้า แต่เครื่องปั่นไฟนั้นหาได้ไม่ยากสำหรับพื้นที่เหมืองพลอยอยู่แล้ว เมื่อช่วงกลางคืนมาถึง หัวหน้าพรมักเปิดทีวีหรือวิดีโอให้เราได้ดูกัน มิวสิกวิดีโอของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ นักร้องฅนโปรดของแก เป็นสิ่งที่เราจะได้ดูอยู่บ่อยครั้ง และบางทีก็มีหนังทีวีแขมร์ที่มาในรูปแบบม้วนเทปวิดีโอ อย่างที่แกกำลังชี้ชวนให้เหียระดูอยู่ในตอนนี้ด้วย
หัวหน้าพรมีท่าทีชื่นชมภาพซึ่งแสดงถึงพัฒนาการของเมืองแขมร์ แม้ว่าเวลานี้ประเทศของแกจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากฝ่ายตรงข้ามก็ตาม
.
5 ชัย
โตโยต้าขับเคลื่อนสี่ล้อกำลังแล่นไปตามทางสายเดียวของที่นี่ ลมเย็นพัดผ่านใบหน้า ผมยืนเกาะโครงเหล็กในส่วนของกระบะท้าย ชายผู้ยืนโบกรถข้างทางทำให้ ‘ชัย’ ต้องชะลอคันเร่งลง เขาลดกระจกถามด้วยสำเนียงเปิดเผยความไม่พอใจ
“ไปไหน”
ผมมองดูการสนทนาระหว่างสองฅน การโบกรถขออาศัยไปด้วยนั้น คงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของเส้นทางที่ไม่มีรถโดยสารบริการแบบนี้ แต่ดูเหมือนชัยจะไม่อยากเข้าใจกับมันมากนัก
“ใกล้แค่นี้เองเดินไปก็แล้วกัน” ผมได้ยินคำตอบนั้นชัดเจนก่อนที่เขาจะกระชากรถออกมา
หากจะมองหาภาพเขมรแดงที่เคยวาดไว้ตอนเป็นเด็ก การหันไปทางชัยฅนสนิทของหัวหน้าพร คงจะไม่เป็นการผิดพลาดสักเท่าไรนัก บุคลิกด้านลบที่ผมเคยวาดไว้ต่อเขมรแดง ดูจะมีอยู่ในตัวชัยแทบทั้งหมด อาจเพราะการเป็นมือขวาของหัวหน้าพรก็ได้ ที่ทำให้ชัยรู้สึกทะนงตนแบบที่เป็น จะมีดีบ้างก็ตรงที่ชัยไม่เคยมายุ่งกับเราเท่านั้น...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
เมื่อผมไปอยู่กับเขมรแดง (๑)
โดย : ละเว้
1 ข้ามแดน
เป็นช่วงของค่ำคืนไร้ดาว มีเพียงแสงไฟจากรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อกำลังส่งเสียงคำราม ขณะพาเราไต่ระดับสูงขึ้นไปตามแนวเส้นทางลูกรังเชื่อมต่อเขตแดนที่ถูกแบ่งแยกด้วยเขาบรรทัดลูกนี้ อากาศเย็นพอสมควร ผมนั่งอยู่ในส่วนของกระบะท้ายกับพรรคพวกอีกสองสามฅน ความคิดหวนถึงครั้งยังเด็ก ที่คำว่า ‘เขมรแดง’ มักสร้างภาพโหดร้ายให้หวาดกลัวในส่วนลึกได้เสมอ
‘เขมรแดงจับพระไถนาแทนวัวควาย’
‘เขมรแดงฆ่าฅนไร้ประโยชน์อย่างฅนแก่และเด็ก’
และอีกมากมายที่ผมล้วนได้ยินได้ฟังมา ซึ่งอันที่จริงแล้วคงต้องบอกว่าในตอนนั้นแม้แต่คำว่า เขมร ก็ยังทำให้เด็กอย่างผมรู้สึกครั่นคร้ามได้ไม่ยากนัก ด้วยภาพจำจากการรบรากันเองของพวกเขา ซึ่งบางครั้ยังกระทบมาถึงชายแดนไทย และกระทบถึงความรู้สึกวัยเด็กของผมด้วยเช่นกัน
แต่นั่นแหละ ด้วยเวลาและเรื่องราวรวมถึงความรู้สึกต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป วันนี้ผมจึงสามารถเข้าสู่เขตแดนครอบครองของเขมรแดง ตามแนวชายแดนด้านจังหวัดตราดนี้โดยไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าคำว่า หาประสบการณ์
‘ไทยไม่เคยค้าขายกับเขมรแดง’
เป็นคำพูดจากหน้าข่าวที่ผมจะอดนึกถึงไม่ได้อีกเช่นกัน ช่วงนี้เราจะได้ยินได้เห็นคำนี้กันบ่อยครั้ง ทั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์และในทีวี หากในความเป็นจริงนั้นเราคงอดยอมรับไม่ได้ว่า ทั้งพ่อค้าไม้และเสี่ยเหมืองพลอย ต่างวิ่งเข้าวิ่งออกขึ้นลงติดต่อกับเขมรแดงกันเป็นเรื่องปกติ
แต่นั่นแหละ มันอาจเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ผมหรือเราท่านคงไม่อาจเข้าใจอะไรได้มากนักก็เป็นได้
อยู่ ๆ หูของผมก็อื้อขึ้นมาอย่างฉับพลัน ถึงยอดเขาบรรทัดแล้ว ผมบอกตัวเองตามคำพูดที่เคยได้ยินมาว่า เมื่อนั่งรถถึงยอดเขาบรรทัดหูจะดับชั่วขณะ เป็นจริงดังคำบอกเล่านั้น
รถยังคงพาเรามุ่งหน้าส่องแสงฝ่าความมืดดำเข้าไป ผมสั่นคลอนตามจังหวะกระเด้งกระดอนของโตโยต้าขับเคลื่อนสี่ล้อ คิดถึงเรื่องราวของผู้ซึ่งเคยเหยียบย่างมาเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนที่เส้นทางสาย หมื่นด่าน-เขาเพชร ยังเป็นเพียงทางเดินเท้าของนักเสี่ยงโชค ซึ่งส่วนใหญ่คือชาวบ้านผู้มีความหวัง
จากเสียงเล่าลือถึงความชุกชุมของพลอยแดงบนเขาเพชร หรือพนมเป็จ ซึ่งฝ่ายเขมรแดงเปิดให้เข้ามาเสี่ยงโชคกันได้โดยเสรี เพียงแต่ต้องเสียเงินซื้อบัตรข้ามแดนกันเท่านั้น นั่นทำให้มีผู้ฅนหลั่งไหลมากันจากทุกสารทิศ ไม่เฉพาะฅนไทย แม้แต่มอญพม่าก็ยังข้ามประเทศมากัน
หลายรายประสบความร่ำรวย หลายรายไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้กลับบ้านพบหน้าลูกเมีย ความยากลำบากของการใช้ชีวิตที่นี่เริ่มแต่ก้าวแรกที่เหยียบย่าง ความตายมีอยู่ทุกตารางเมตรในแผ่นดินสงคราม ทั้งจากกับระเบิดตลอดสองข้างทาง ไข้ป่า และการฆ่าฟันกันเองด้วยอำนาจกิเลสของฅนเรา นั่นคือสิ่งที่ผมได้รับทราบเกี่ยวกับมัน ทว่ายามนี้ทุกสิ่งรอบข้างล้วนดูสงบนิ่งใต้เงามืดดำ มีเพียงแสงไฟวับแวมจากที่พักและเหมืองพลอยข้างทางบางระยะบ้างเท่านั้น
และวันนี้เราไม่ต้องซื้อบัตรเข้ามาเหมือนก่อน เพราะทุกพื้นที่ถูกสัมปทานโดยพ่อค้าไม้พ่อค้าพลอยจนหมดแล้ว
ไม่ทันดึกมากนักเราก็มาถึงจุดหมาย ที่นี่ยังอยู่ห่างจากเขาเพชรพอสมควร บ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนซึ่งอยู่ในระหว่างก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จคือที่พักของเรา ในที่สุดก็ได้เวลาพักเหนื่อยจากการเดินทางกันเสียที
.
2 เหียระ
เป็นช่วงสายในที่พักฅนงานเหมืองพลอย ผมนั่งกินข้าวเช้ากับพรรคพวก อาหารมื้อแรกของเราคือปลากระป๋องกับมะเขือเปราะและน้ำพริกกะปิ เมื่อเอาสามอย่างนี้มาขยำคลุกกันกับข้าวในจาน เหยาะน้ำปลาลงไปหน่อย มันก็ให้รสชาติถูกลิ้นดีเหมือนกัน
ฅนงานแขมร์สองสามฅนนอนอยู่ในเปลญวนซึ่งผูกมัดเป็นแถวตรงส่วนซึ่งไม่มีไม้ปูพื้น ด้วยใบหน้าที่ไม่อาจอ่านความรู้สึกได้
บ้านพักฅนงานนี้อยู่ฅนละฟากถนนกับที่พักของผม เราต้องมากินข้าวเช้ากันที่นี่ เพราะแท้จริงแล้วบ้านพักฝั่งตรงข้ามนั่นก็คือบ้านหลังใหม่ของหัวหน้าพร หัวหน้าแขมร์กรอฮอม หรือเขมรแดงผู้ดูแลพื้นที่แถบนี้ เขาและครอบครัวพักอยู่ในบ้านหลังนั้นเช่นกัน จึงไม่สะดวกหากเราจะหุงหากินกันที่นั่น
โดยรอบบ้านพักฅนงานนี้คือพื้นที่โล่งเตียนเป็นหลุมบ่อ ซึ่งก็คือหลุมที่เคยเป็นเหมืองพลอย เลยออกไปเป็นร้านค้าและบ้านเรือนของชาวบ้านที่สร้างอย่างง่ายดาย พอมองออกว่าพวกเขาเพิ่งเข้ามาอยู่อาศัยกันได้ไม่นานนัก น่าจะพร้อมกับการเกิดขึ้นของเหมืองพลอยไม่กี่แห่งในแถบนี้ อีกฝั่งของที่พักเป็นไร่ข้าวของชาวบ้าน ซึ่งเพิ่งได้รับการแผ้วถางโค่นล้มป่าเช่นกัน
“เฮ้ย ไม่ทำงานกันหรือไง”
ผมหันมองตามเสียงนั้น ผู้มีรูปร่างสูงโปร่งเป็นเอกลักษณ์ซึ่งกำลังส่งเสียงกับฅนงานแขมร์คือฅนที่ผมเรียกแกว่า ‘เหียระ’ ผมเรียกแกว่าเหียซึ่งแปลว่าพี่ หรือเฮียตามภาษาถิ่นบ้านผม ทั้งที่เรานั้นไม่ได้รู้จักกัน หรืออาจเรียกว่าผมรู้จักแกแต่เพียงฝ่ายเดียวก็ได้
ถึงแม้เราจะอยู่ต่างหมู่บ้านต่างอำเภอกัน แต่ช่วงที่ผมยังเด็กนั้น พอถึงค่ำคืนแปดค่ำสิบห้าค่ำ เมื่อลานวัดบ้านผมมีชาวบ้านมารวมตัวเล่นรำวง เหียระกับพรรคพวกของแกมักปรากฏตัวมาร่วมสนุกด้วยเป็นประจำ ความเป็นฅนอัธยาศัยดีทำให้แกเข้ากับใครได้ไม่ยาก เหียระจึงเป็นที่รู้จักของทุกฅนในหมู่บ้าน
แต่ความที่ต่างวัยกัน ผมจึงได้รู้จักแกแต่เพียงฝ่ายเดียว แกเป็นฅนอีสานซึ่งมาหากินอยู่แถบนี้ เหียระเป็นฅนไม่จริงจังกับชีวิต ติดหาสนุกใส่ตัวเสียมากกว่า แกจะมีเพลงที่แต่งเองอยู่บทหนึ่ง ซึ่งมักนำมาร้องเชียร์รำวงเป็นประจำ บทเพลงเสียดสีความเจริญจากการทำเหมืองพลอย ที่กลายเป็นความเสื่อมของชุมชน
แต่นั่นแหละ อย่างที่บอกว่าแกไม่ใช่ฅนจริงจังกับชีวิต บทเพลงของแกจึงเหมือนกับแต่งเอาสนุกมากกว่าจะบอกว่าแกเป็นฅนมีอุดมการณ์ เพราะไม่ว่าอย่างไรแกก็ยังใช้ชีวิตอยู่กับเหมืองพลอย หรือหากินอยู่กับบรรดาเสี่ย ๆ เหมืองพลอยมาตลอด
จะว่าไปก็ไม่ต่างจากนักร้องเพื่อชีวิตแถวหน้าฅนหนึ่งเหมือนกัน ที่ดีแต่ร้องเพลงด่าฅนอื่นไปทั่ว ทั้งที่ฅนร้องนั้นไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรเลย แถมการกระทำก็ไม่ต่างจากฅนที่เจ้าตัวร้องด่าเลยสักนิด
แต่เหียระจะต่างกับนักร้องฅนนั้นก็ตรงที่แกไม่ชอบด่าใคร ไม่ได้ทำตัวเป็นนักร้องผู้ทรงอิทธิพลเท่านั้น
ผมไม่ได้เจอเหียระมานานมากจนกระทั่งวันนี้นั่นแหละ
“ว่าไง ทำงานกันหรือเปล่า”
ผมยังนั่งตักข้าวใส่ปากไปพลางชำเลืองมองเหียระซึ่งยังคงส่งเสียงใส่ฅนงานแขมร์ผู้ไร้การโต้ตอบใด ๆ
“ไม่สบาย” เมื่อเหียระรบเร้าหนักเข้า ร่างหนึ่งที่นอนนิ่งในเปลก็ส่งเสียงแปร่งห้วนออกมา
ถัดจากเหียระไปหน่อยมีบุรุษวัยกลางฅนร่างอ้วนท้วนยืนอยู่ที่นั่น เสี่ยวิ เจ้าของเหมืองพลอยผู้ทำให้ผมได้มาที่นี่นั่นเอง
.
3 เสี่ยวิ
ผมรู้จักเสี่ยวิโดยที่แกไม่รู้จักผมเช่นกัน ส่วนว่าแกจะรู้สึกคุ้นหน้าผมบ้างหรือเปล่าตรงนี้คงไม่อาจทราบได้ สำหรับผมนั้น นอกจากการมีชื่อเสียงอย่างกว้างขวางของเสียวิจะทำให้ได้รู้จักแกแล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมได้รู้จักแกมากกว่านั้นด้วยเช่นกัน
ตอนที่ผมเป็นฅนงานเหมืองพลอยซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านเท่าไร ตรงนั้นเป็นรอยต่อระหว่างอำเภอบ่อไร่กับเขาสมิงโดยมีคลองโสนกั้นกลาง เหมืองที่ผมทำงานนั้นอยู่ติดคลองโสนพอดี อีกฝั่งคือเหมืองของเสี่ยวิ ซึ่งทุกอย่างก็น่าจะเป็นปกติหากต่างฅนต่างอยู่ เพราะถึงอย่างไรสองเหมืองนั้นยังมีสายน้ำกั้นกลางไปมาหาสู่กันได้ลำบากอยู่แล้ว
หากกลับไม่ใช่เช่นนั้น เพราะพอถึงหน้าแล้งเมื่อน้ำคลองงวดลง เสี่ยวิก็ย้ายเหมืองมาอยู่ในคลอง ซึ่งที่จริงมันคือพื้นที่สาธารณะ และไม่แค่นั้น แกยังพยายามลุกล้ำเข้ามายังตลิ่งฝั่งเหมืองของเราด้วย ความมีอิทธิพลของเสี่ยวินั้นถึงขนาดที่ว่า แกสามารถย้ายลำน้ำทั้งสายอย่างง่ายดาย โดยไม่มีฝ่ายบ้านเมืองให้ความสนใจ นั่นทำให้แกกล้าที่จะรุกเข้ามายังเขตแดนของเรา และนั่นทำให้สองเหมืองเกิดความขัดแย้งกันอยู่ระยะหนึ่ง ดีว่าในที่สุดก็สามารถพูดคุยตกลงกันได้เท่านั้น
หากเสี่ยวิวันนี้เหมือนไม่ใช่ฅนเดิมที่ผมรู้จัก แกดูนิ่งและเย็นกว่าแต่ก่อน ดูธรรมดาเกินกว่าจะมีมาดจอมอิทธิพลแต่อย่างใด เสี่ยวิบอกให้เหียระเลิกสนใจฅนงานแขมร์ก่อนจากไปเงียบ ๆ
“ให้กินแต่ข้าวกับปลากระป๋อง ใครมันจะมีแรงนัก” ผมได้ยินเสียงจากเปลญวนบ่นพึมพำตามหลังไป
.
4 หัวหน้าพร
พระภิกษุผู้กำลังก้าวเท้าไปตามเส้นทางลูกรังสายเดียวของที่นี่น่าจะเป็นพระธุดงค์หรืออย่างไรผมไม่สู้แน่ใจนัก แต่คงเป็นเช่นนั้นเพราะที่นี่ไม่มีวัด บุรุษชุดเขียวสวมหมวกแก๊ปหันมองพลางพนมมือจดหน้าผากขณะพระผ่านไป ผมมองดูภาพตรงหน้าพลางอดคิดไม่ได้ว่า นั่นอาจเป็นภาพธรรมดา ถ้าเพียงแต่ว่านายทหารผู้นั้นจะไม่ใช่กองกำลังฝ่ายเขมรแดง ซึ่งเคยได้ชื่อว่าจับพระมาไถนาและปฏิเสธศาสนามาโดยตลอด ‘หัวหน้าพร’ แกดูไม่มีภาพของผู้นำเขมรแดงในแบบที่ผมเคยได้รับรู้มาก่อนแต่อย่างใด และถ้าจะว่าไป แกดูเหมือนเสี่ยฅนหนึ่งมากกว่าเป็นนายทหารเสียอีก ถ้าเพียงแต่แกจะไม่ได้อยู่ในชุดเขียวนั่นล่ะก็นะ
และอาจเป็นด้วยเสื้อผ้าของแกนั่นด้วย ที่ทำให้ภาพของทหารเขมรแดงในวันนี้ต่างจากได้ยินได้ฟังมา วันนี้พวกเขาไม่ได้ใส่ชุดดำมีผ้าขาวม้าห้อยคออย่างแต่ก่อน เสื้อกางเกงสีพื้นเขียวซึ่งเป็นชุดที่ได้รับจากกองทัพจีนกลายมาเป็นเครื่องแบบของพวกเขาแทน ซึ่งคงไม่ใช่แค่ชุดที่เปลี่ยน หากน่าจะรวมถึงอุดมการณ์อันตรายต่าง ๆ ของเขมรแดงนั้นคงลดน้อยถอยลงไปมากแล้วเช่นกัน
ตำแหน่งทางการทหารของพวกเขานั้นทำผมสับสนได้พอควร เพราะจะได้ยินแต่คำว่าหัวหน้าหรือมุขในภาษาแขมร์ ทั้งระดับหัวหน้าพร หรือที่สูงกว่าหัวหน้าพรก็ยังถูกเรียกว่าหัวหน้าไม่ต่างกัน ‘ใครใหญ่กว่าใคร’ จึงเป็นคำถามที่ผมต้องใช้หากอยากรู้ชั้นยศของพวกเขาจริง ๆ
“เห็นไหมไอ้ระ ไม่ต่างจากเมืองไทยแล้วนะเมิง”
เป็นยามค่ำคืน หัวหน้าพรหันไปคุยกับเหียระ เมื่อหนังแขมร์ในจอทีวีฉายภาพนักแสดงกำลังเต้นรำดื่มกินในผับกัน
ภายในบริเวณใต้ถุนบ้านซึ่งยังไม่ได้เทพื้น เราบ้างนั่งบนม้านั่งหรือเก้าอี้ บ้างหาที่เฉพาะตัวสุดแต่สะดวกในการจ้องตู้สี่เหลี่ยม
แม้ที่นี่จะไม่มีไฟฟ้า แต่เครื่องปั่นไฟนั้นหาได้ไม่ยากสำหรับพื้นที่เหมืองพลอยอยู่แล้ว เมื่อช่วงกลางคืนมาถึง หัวหน้าพรมักเปิดทีวีหรือวิดีโอให้เราได้ดูกัน มิวสิกวิดีโอของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ นักร้องฅนโปรดของแก เป็นสิ่งที่เราจะได้ดูอยู่บ่อยครั้ง และบางทีก็มีหนังทีวีแขมร์ที่มาในรูปแบบม้วนเทปวิดีโอ อย่างที่แกกำลังชี้ชวนให้เหียระดูอยู่ในตอนนี้ด้วย
หัวหน้าพรมีท่าทีชื่นชมภาพซึ่งแสดงถึงพัฒนาการของเมืองแขมร์ แม้ว่าเวลานี้ประเทศของแกจะอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากฝ่ายตรงข้ามก็ตาม
.
5 ชัย
โตโยต้าขับเคลื่อนสี่ล้อกำลังแล่นไปตามทางสายเดียวของที่นี่ ลมเย็นพัดผ่านใบหน้า ผมยืนเกาะโครงเหล็กในส่วนของกระบะท้าย ชายผู้ยืนโบกรถข้างทางทำให้ ‘ชัย’ ต้องชะลอคันเร่งลง เขาลดกระจกถามด้วยสำเนียงเปิดเผยความไม่พอใจ
“ไปไหน”
ผมมองดูการสนทนาระหว่างสองฅน การโบกรถขออาศัยไปด้วยนั้น คงเป็นเรื่องปกติธรรมดาของเส้นทางที่ไม่มีรถโดยสารบริการแบบนี้ แต่ดูเหมือนชัยจะไม่อยากเข้าใจกับมันมากนัก
“ใกล้แค่นี้เองเดินไปก็แล้วกัน” ผมได้ยินคำตอบนั้นชัดเจนก่อนที่เขาจะกระชากรถออกมา
หากจะมองหาภาพเขมรแดงที่เคยวาดไว้ตอนเป็นเด็ก การหันไปทางชัยฅนสนิทของหัวหน้าพร คงจะไม่เป็นการผิดพลาดสักเท่าไรนัก บุคลิกด้านลบที่ผมเคยวาดไว้ต่อเขมรแดง ดูจะมีอยู่ในตัวชัยแทบทั้งหมด อาจเพราะการเป็นมือขวาของหัวหน้าพรก็ได้ ที่ทำให้ชัยรู้สึกทะนงตนแบบที่เป็น จะมีดีบ้างก็ตรงที่ชัยไม่เคยมายุ่งกับเราเท่านั้น...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)