กรรมการให้คะแนนกับกรรมการบนเวทีชกกันแล้วครับ

อดีตที่ปรึกษาประธานศาลรธน.เสนอตัดเนื้อหากม. 3 วรรคท้าย ม.190 เเนะลดทอนอำนาจศาลรธน

การประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 190 ซึ่งมีนายกฤช อาทิตย์แก้ว สว.กำแพงเพชร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ทั้งนี้กมธ. ได้เชิญนายวิสูตร ตุวยานนท์ ศาสตราจารย์พิเศษประจำหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต ม.ศรีปทุม และอดีตเอกอัครราชทูตไทย ประจำประเทศโปรตุเกส รวมถึงเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประธานศาลรัฐธรรมนูญ เข้าชี้แจงต่อ กมธ. และให้มุมมองต่อ มาตรา 190

นายวิสูตร กล่าวว่า เมื่อพิจารณาดูในเนื้อหาของมาตรา 190 เห็นว่า มีความจำเป็นต้องตัด 3 วรรคท้ายในมาตรา 190 ออกจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญให้เหลือเพียง 3 วรรคแรก คือ วรรค 1 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่น ๆ กับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ วรรค 2 หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย หรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญาต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา และวรรค 3 ก่อนการดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศตามวรรคสอง คณะรัฐมนตรีต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และต้องชี้แจงต่อรัฐสภาเกี่ยวกับหนังสือสัญญานั้นเพื่อขอความเห็นชอบ

นายวิสูตร กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องตัดบทบัญญัติในวรรคที่ 2 ให้สั้นลงจากเดิม เป็นเพราะเห็นว่าข้อความในวรรค 2 ที่ระบุว่า "หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณ” นั้นเปิดให้มีการตีความกว้างไร้ขอบเขตจำกัด และส่งผลให้มีหนังสือสัญญาเข้าสู่สภามากเกินไป โดย 1 เดือนมีกว่าถึง 80 ฉบับ อย่างไรก็ตามกรณีที่มีข้อกังวลว่าหากตัดคำว่า 'ความมั่นคงเศรษฐกิจ' ออกอาจไม่ครอบคลุมถึงข้อตกลงเขตการค้าเสรีหรือ เอฟทีเอ ที่รัฐบาลดำเนินการกับต่างชาติ จึงเห็นว่าในส่วนนี้อาจยังคงไว้ซึ่งบทบัญญัติที่ว่า “ผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง" ไว้ได้

"ความมั่นคงทางเศรษฐกิจอาจยังคงไว้ แต่ที่ควรตัดออกอย่างยิ่ง คือ ‘กระทบต่อความมั่นคงทางสังคม’ เพราะกินความหมายกว้างขวางมาก คำว่าผลกระทบไม่ว่าจะในทางดีขึ้นหรือเลวลงล้วนเป็นผลกระทบทั้งนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะทำให้ เศรษฐกิจเลวลงหรือดีขึ้น ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น หรือ ทำให้วิถีชีวิตของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป ล้วนเข้าข่ายข้อยกเว้นให้ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาก่อน ถ้ายังคงข้อความนี้ไว้จะทำให้การทำสนธิสัญญาแทบทุกฉบับต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาก่อนเสมอ" นายวิสูตร กล่าว

นายวิสูตร เสนอว่า ควรตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษที่มีนักเชี่ยวชาญด้านกฎหมายทั้งในและระหว่างประเทศเพื่อกลั่นกรองว่าหนังสือสัญญาใดเข้าเกณฑ์วรรคสองของมาตรา 190 ที่จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาหรือไม่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศของฝ่ายบริหาร ทั้งนี้หากเห็นว่ามีรายละเอียดที่ขยายความเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้อาจร่างกฎหมายลูกเพิ่มเติมได้ แต่ไม่ควรบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ นายวิสูตร กล่าวยืนยัน ในข้อความที่ระบุ วรรค 6 ตามมาตรา 190 ที่ระบุว่า “ในกรณีที่มีปัญหาตามวรรคสอง ให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยชี้ขาด” นั้นควรตัดออกทั้งหมด สืบเนื่องจากปัญหาในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีจัดทำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาว่าต้องเข้าสู่การพิจารณาของสภาก่อน ในสมัยที่นายนพดล ปัทมะ เป็นอดีตรมว.ต่างประเทศ โดยครั้งนั้นตนในฐานะที่ปรึกษาประธานศาลรัฐธรรมนูญได้คัดค้านการวินิจฉัยดังกล่าว เพราะเห็นว่าการที่ศาลวินิจฉัยว่า “อาจทำให้เสียอธิปไตยบางส่วน” ขัดกับหลักการของศาลที่หากวินิจฉัยตัดสิทธิผู้อื่นนั้นต้องตีความอย่างเคร่งครัด กลายเป็นว่าแทนที่ศาลจะทำหน้าที่ตีความกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ศาลกลับไปร่างกฎหมายใหม่เสียเอง

"ถ้าลักษณะนี้บอกได้เลยว่า ไม่มีข้าราชการประจำคนไหนกล้าทำงาน เพราะอธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ ขณะนั้นตีความตามหลักกฎหมายชัดเจนแล้ว แต่ศาลกลับวินิจฉัยสวนทาง ผมเองในฐานะที่ปรึกษาของประธานได้คัดค้านแล้ว แต่เขาบอกว่าเป็นเพียงที่ปรึกษาไม่ใช่ตุลาการไม่มีสิทธิตัดสิน จากนั้นผมจึงขอลาออกจากตำแหน่ง" นายวิสูตรกล่าว

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/analysis/20130425/502359/วิสูตรเสนอตัดเนื้อหากม.-3-วรรคท้ายม.190.html

ทำงานสำคัญแบบไม่ฟังใคร   แม้แต่ที่ปรึกษาของตัวเองท้วงติง  จะเอาตามธงที่ปักไว้   ล้ำเส้นจนคนใกล้ตัวยังทนไม่ไหว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่