กองทุนหุ้นจีนกำลังทำให้คนไทยที่ลงทุนเจ็บหนักมาก เพราะคนขายไม่เสนอความจริงในความเสี่ยงของจีนที่น่ากังวลมากดังนี้
1. หุ้นจีนไม่ได้ถูกอย่างที่คนเข้าใจ หลายคนบอกว่าหุ้นจีน P/E แค่ 9-10 เท่า แต่รู้ไหมว่ากำไรของหุ้นจีนลดลงร้อยละ 15 ในช่วงไม่ถึงสองปี แต่ยังดีกว่าเกาหลีใต้ที่กำไรลดลงร้อยละ 20 และบราซิลที่ลดลงร้อยละ 40 แต่แน่นอนหุ้นที่กำไรลดลงย่อมมีค่า P/E ต่ำ เพราะหมายถึงกำไรในอนาคตจะมีแนวโน้มต่ำกว่าปัจจุบัน
2. เศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวดีมาจากการเก็งอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนที่เกินตัวในรัฐบาลท้องถิ่น คนไทยรู้ไหมว่าการลงทุนในจีนตอนนี้อยู่ที่ร้อยละ 50 กว่าของ GDP เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 35 เมื่อ 7-8 ปีก่อน เนื่องจากการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ด้วยนโยบายการสร้างเมืองใหม่ในจีน วันนี้จีนมีปัญหาการลงทุนเกินตัวและลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่า คนจีนหลายคนออมเงินผ่านการเก็งอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นจีนเน้นการสร้างเมืองใหม่ขนาดใหญ่ เพื่อหารายได้จากการขายที่ดิน ซึ่งสร้างรายได้กว่า 3.5 ล้านล้านหยวนต่อปี หรือร้อยละ 30 ของรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น และนำอสังหาริมทรัพย์ไปให้คนจีนเก็งกำไรกัน ซึ่งทำให้จีนมี Ghost city เพิ่มขึ้นจำนวนมาก
3. รัฐบาลจีนมีหนี้สินล้นพ้นตัว หลายคนชอบบอกว่าจีนมีหนี้ภาครัฐต่ำ ซึ่งไม่จริง เพราะถ้ารวมหนี้รัฐบาลท่องถิ่นและรัฐวิสาหกิจที่ไม่ทำกำไร จีนควรมีหนี้สินมากกว่าร้อยละ 80 ของ GDP และที่น่ากังวลคือรัฐบาลกลางจีนได้พยายามหยุดการเก็งกำไรภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่รัฐบาลท้องถิ่นไม่ต้องการหยุดขายที่ดินในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นรายได้ของตน เพราะถ้ารัฐบาลท้องถิ่นไม่มีรายได้จากการขายที่ดิน จะทำให้รัฐบาลท่องถิ่นจีนถังแตกทันที วันนี้รัฐบาลท้องถิ่นที่การขาดดุลงบประมาณร้อยละ 9 ของ GDP ถ้าไม่มีรายได้จากการขายที่ดินจะทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นสองเท่าทันที
4. การส่งออกจีนไม่ได้ดีเลย วันนี้ภาคการส่งออกจีนมีการตกแต่งตัวเลยเพื่อขอรับเงินชดเชยจากภาครัฐที่เฉลี่ยร้อยละ 13 ของรายได้ ผู้ส่งออกจีนจึงทำการส่งสินค้าไป export zone แต่สินค้านี้ไม่ได้ส่งออกไปจริง วันนี้จีนได้สูญเสียความสามารถการแข่งขันไปแล้วจากค่าแรงที่สูงมาก วันนี้ค่าแรงในจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 1300 หยวนต่อเดือน หรือ 6-7 พันบาท แต่บางเมืองขึ้นไปที่ 1-1.5 หมื่นบาทต่อเดือน และปัญหาการทุจริตทำให้ผู้ประกอบการต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นย้ายการผลิตมาอาเซียนจำนวนมากและต่อเนื่อง
5. คนจีนมีการกู้นอกระบบในรูปแบบ trust และผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ เช่น SPV Structured product คล้าย subprime ในสหรัฐถึงมากกว่าร้อยละ 50 ของ GDP เพื่อสนับเงินทุนในผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งธนาคารกลางจีนออกมาระบุเองว่าจะมีหนี้เสียจากกลุ่มพวกนี้ร้อยละ 20 หรือ 10 ของ GDP
6. ราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนแพงกว่าไทย3-5เท่า และมากกว่ารายได้ต่อหัวในเมืองสำคัญมากกว่า 40-50 เท่า ผลตอบแทนจากรายได้ค่าเช่าเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 3 และนี้เหตุผลว่าจีนถึงควบคุมอย่างหนักในภาคอสังหาริมทรัพย์
7. หุ้นจีนเป็นหุ้นที่ผัวผวนอันดับต้นๆ ของโลกคือความผันผวนถึงร้อยละ 28-30 คือขึ้นลงได้ร้อยละ 54-60 ในหนึ่งปีข้างหน้า หรือถ้าหุ้นจีนในปีนี้สูงสุดอยู่ที่ 2500 จุด อาจตกมาได้อีกร้อยละ 50 ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าหรืออาจอยู่ที่ 1200-1300 จุดในต้นปีหน้า
8. คนจีนขายหุ้นและพยายามหาทางขนเงินออกนอกประเทศให้มากที่สุด ซึ่งต่างจากคนไทยที่บ้าเข้าลงทุนในจีน แม้บางคนขาดทุนจำนวนมาก วันนี้จีนมีปัญหาคอร์รัปชั่นมากที่สุดในโลกคือ ร้อยชักเจ็ด โครงการลงทุนในรัฐบาลท้องถิ่นจำนวนมาก เช่นถนน สะพาน จะมีข่าวพังทลายแบบง่าย รถไฟฟ้าตกรางคนตายจำนวนมาก นักธุรกิจและนักการเมืองจึงเลือกที่จะไซฟ่อนเงินออกมา ปัญหาการดำรงอยู่ของระบบคอมมิวนิสต์เป็นความเสี่ยงที่นักธุรกิจจีนกังวลอย่างมาก
9. จีนเป็นประเทศที่ไม่มีความยั่งยืนทางเศรษฐกิจจากการลงทุนที่สูง กว่าครึ่งของ GDP ขณะที่การบริโภคเมื่อเทียบกับ GDP ลดลงเรื่อยๆ จากการวิเคราะห์ของ IMF พบว่าลงทุนในจีนที่เกินตัวและมากเกินไป รุนแรงกว่าญี่ปุ่นมากกว่า 2 เท่าในยุคปี 1990 แน่นอนรัฐบาลกลางจีนยังแข็งแกร่ง คนจีนยังมีเงินออมในประเทศ แต่การเพิ่มขึ้นการเก้งกำไรในอสังหาริมทรัพย์จะซ้ำเติมให้จีนมีความไม่ ยั่งยืน คือ มีการออมเงินในอสังหาริมทรัพย์ที่มากเกินไป และทำให้ความสามารถในการบริโภคลดลงเรื่อยๆ IMF มองว่าจีนจะมี soft-landing แต่น่ากินเวลานานเป็นสิบปีกว่าจะลดการลงทุนส่วนเกินที่มากกว่าร้อยละ 30 ให้กลับมาสมดุล
10. ประเทศจีนมีการก่อหนี้จากภาครัฐและเอกชนถึง 2 เท่าของ GDP เทียบกับไทยยังไม่ถึง 1 เท่า แสดงว่าจีนเป็นประเทศที่กู้เกินตัวอย่างมาก แต่ยังน้อยกว่าสหรัฐและยุโรปที่อยู่ที่ 2.5-3.5 เท่า
ฝากเตือนคนไทยที่ชอบลงทุนกองทุนต่างประเทศให้ระวังจีน และหุ้นกลุ่ม BRICS ให้มากที่สุด เพราะความเสี่ยงของโลกคงไม่ใช่สหรัฐฯ ยุโรปแล้ว แต่ BRICS คือสิ่งที่น่ากลัวทีสุดของการลงทุน
สุดท้ายฝาก clip ของ CBS เกี่ยวฟองสบู่ในจีนให้เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในจีนและ BRICS
http://www.cbsnews.com/video/watch/?id=50142079n
กองทุนหุ้นจีนทำให้คนไทยที่ลงทุนเจ็บหนักมาก เพราะคนขายไม่เสนอความจริงในความเสี่ยงของจีน
1. หุ้นจีนไม่ได้ถูกอย่างที่คนเข้าใจ หลายคนบอกว่าหุ้นจีน P/E แค่ 9-10 เท่า แต่รู้ไหมว่ากำไรของหุ้นจีนลดลงร้อยละ 15 ในช่วงไม่ถึงสองปี แต่ยังดีกว่าเกาหลีใต้ที่กำไรลดลงร้อยละ 20 และบราซิลที่ลดลงร้อยละ 40 แต่แน่นอนหุ้นที่กำไรลดลงย่อมมีค่า P/E ต่ำ เพราะหมายถึงกำไรในอนาคตจะมีแนวโน้มต่ำกว่าปัจจุบัน
2. เศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวดีมาจากการเก็งอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนที่เกินตัวในรัฐบาลท้องถิ่น คนไทยรู้ไหมว่าการลงทุนในจีนตอนนี้อยู่ที่ร้อยละ 50 กว่าของ GDP เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 35 เมื่อ 7-8 ปีก่อน เนื่องจากการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ด้วยนโยบายการสร้างเมืองใหม่ในจีน วันนี้จีนมีปัญหาการลงทุนเกินตัวและลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่า คนจีนหลายคนออมเงินผ่านการเก็งอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นจีนเน้นการสร้างเมืองใหม่ขนาดใหญ่ เพื่อหารายได้จากการขายที่ดิน ซึ่งสร้างรายได้กว่า 3.5 ล้านล้านหยวนต่อปี หรือร้อยละ 30 ของรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น และนำอสังหาริมทรัพย์ไปให้คนจีนเก็งกำไรกัน ซึ่งทำให้จีนมี Ghost city เพิ่มขึ้นจำนวนมาก
3. รัฐบาลจีนมีหนี้สินล้นพ้นตัว หลายคนชอบบอกว่าจีนมีหนี้ภาครัฐต่ำ ซึ่งไม่จริง เพราะถ้ารวมหนี้รัฐบาลท่องถิ่นและรัฐวิสาหกิจที่ไม่ทำกำไร จีนควรมีหนี้สินมากกว่าร้อยละ 80 ของ GDP และที่น่ากังวลคือรัฐบาลกลางจีนได้พยายามหยุดการเก็งกำไรภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่รัฐบาลท้องถิ่นไม่ต้องการหยุดขายที่ดินในภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นรายได้ของตน เพราะถ้ารัฐบาลท้องถิ่นไม่มีรายได้จากการขายที่ดิน จะทำให้รัฐบาลท่องถิ่นจีนถังแตกทันที วันนี้รัฐบาลท้องถิ่นที่การขาดดุลงบประมาณร้อยละ 9 ของ GDP ถ้าไม่มีรายได้จากการขายที่ดินจะทำให้การขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นสองเท่าทันที
4. การส่งออกจีนไม่ได้ดีเลย วันนี้ภาคการส่งออกจีนมีการตกแต่งตัวเลยเพื่อขอรับเงินชดเชยจากภาครัฐที่เฉลี่ยร้อยละ 13 ของรายได้ ผู้ส่งออกจีนจึงทำการส่งสินค้าไป export zone แต่สินค้านี้ไม่ได้ส่งออกไปจริง วันนี้จีนได้สูญเสียความสามารถการแข่งขันไปแล้วจากค่าแรงที่สูงมาก วันนี้ค่าแรงในจีนเฉลี่ยอยู่ที่ 1300 หยวนต่อเดือน หรือ 6-7 พันบาท แต่บางเมืองขึ้นไปที่ 1-1.5 หมื่นบาทต่อเดือน และปัญหาการทุจริตทำให้ผู้ประกอบการต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นย้ายการผลิตมาอาเซียนจำนวนมากและต่อเนื่อง
5. คนจีนมีการกู้นอกระบบในรูปแบบ trust และผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ เช่น SPV Structured product คล้าย subprime ในสหรัฐถึงมากกว่าร้อยละ 50 ของ GDP เพื่อสนับเงินทุนในผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งธนาคารกลางจีนออกมาระบุเองว่าจะมีหนี้เสียจากกลุ่มพวกนี้ร้อยละ 20 หรือ 10 ของ GDP
6. ราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนแพงกว่าไทย3-5เท่า และมากกว่ารายได้ต่อหัวในเมืองสำคัญมากกว่า 40-50 เท่า ผลตอบแทนจากรายได้ค่าเช่าเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 3 และนี้เหตุผลว่าจีนถึงควบคุมอย่างหนักในภาคอสังหาริมทรัพย์
7. หุ้นจีนเป็นหุ้นที่ผัวผวนอันดับต้นๆ ของโลกคือความผันผวนถึงร้อยละ 28-30 คือขึ้นลงได้ร้อยละ 54-60 ในหนึ่งปีข้างหน้า หรือถ้าหุ้นจีนในปีนี้สูงสุดอยู่ที่ 2500 จุด อาจตกมาได้อีกร้อยละ 50 ในอีกหนึ่งปีข้างหน้าหรืออาจอยู่ที่ 1200-1300 จุดในต้นปีหน้า
8. คนจีนขายหุ้นและพยายามหาทางขนเงินออกนอกประเทศให้มากที่สุด ซึ่งต่างจากคนไทยที่บ้าเข้าลงทุนในจีน แม้บางคนขาดทุนจำนวนมาก วันนี้จีนมีปัญหาคอร์รัปชั่นมากที่สุดในโลกคือ ร้อยชักเจ็ด โครงการลงทุนในรัฐบาลท้องถิ่นจำนวนมาก เช่นถนน สะพาน จะมีข่าวพังทลายแบบง่าย รถไฟฟ้าตกรางคนตายจำนวนมาก นักธุรกิจและนักการเมืองจึงเลือกที่จะไซฟ่อนเงินออกมา ปัญหาการดำรงอยู่ของระบบคอมมิวนิสต์เป็นความเสี่ยงที่นักธุรกิจจีนกังวลอย่างมาก
9. จีนเป็นประเทศที่ไม่มีความยั่งยืนทางเศรษฐกิจจากการลงทุนที่สูง กว่าครึ่งของ GDP ขณะที่การบริโภคเมื่อเทียบกับ GDP ลดลงเรื่อยๆ จากการวิเคราะห์ของ IMF พบว่าลงทุนในจีนที่เกินตัวและมากเกินไป รุนแรงกว่าญี่ปุ่นมากกว่า 2 เท่าในยุคปี 1990 แน่นอนรัฐบาลกลางจีนยังแข็งแกร่ง คนจีนยังมีเงินออมในประเทศ แต่การเพิ่มขึ้นการเก้งกำไรในอสังหาริมทรัพย์จะซ้ำเติมให้จีนมีความไม่ ยั่งยืน คือ มีการออมเงินในอสังหาริมทรัพย์ที่มากเกินไป และทำให้ความสามารถในการบริโภคลดลงเรื่อยๆ IMF มองว่าจีนจะมี soft-landing แต่น่ากินเวลานานเป็นสิบปีกว่าจะลดการลงทุนส่วนเกินที่มากกว่าร้อยละ 30 ให้กลับมาสมดุล
10. ประเทศจีนมีการก่อหนี้จากภาครัฐและเอกชนถึง 2 เท่าของ GDP เทียบกับไทยยังไม่ถึง 1 เท่า แสดงว่าจีนเป็นประเทศที่กู้เกินตัวอย่างมาก แต่ยังน้อยกว่าสหรัฐและยุโรปที่อยู่ที่ 2.5-3.5 เท่า
ฝากเตือนคนไทยที่ชอบลงทุนกองทุนต่างประเทศให้ระวังจีน และหุ้นกลุ่ม BRICS ให้มากที่สุด เพราะความเสี่ยงของโลกคงไม่ใช่สหรัฐฯ ยุโรปแล้ว แต่ BRICS คือสิ่งที่น่ากลัวทีสุดของการลงทุน
สุดท้ายฝาก clip ของ CBS เกี่ยวฟองสบู่ในจีนให้เข้าใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในจีนและ BRICS
http://www.cbsnews.com/video/watch/?id=50142079n