ศาลออกหมายจับ 'ผู้มีพระคุณ' จ้างฆ่าอดีต สส.กัมพูชา-NGO
https://www.isranews.org/article/isranews-news/134936-isranews-Hunssenttcct.html
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวว่าจากกรณี นาย
เอกลักษณ์ แพน้อย หรือ
จ่าเอ็ม ทหารนาวิกโยธิน อายุ 41 ปีก่อเหตุยิงนาย
ลิม กิมยา อายุ 73 ปี อดีตสส.ฝ่ายค้านของกัมพูชาเสียชีวิต ตรงข้ามวัดบวรนิเวศ เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยนาย
เอกลักษณ์ ได้หลบหนีตำรวจข้ามแดนไปยังประเทศกัมพูชาผ่านช่องทางธรรมชาติ ก่อนที่เจ้าหน้าที่กัมพูชาจะสามารถจับกุมขณะที่แวะพักทานอาหารใน ต.ปเรยสวย อ.โมงรึไทร จ.พระตะบอง เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา และกัมพูชาส่งตัวนาย
เอกลักษณ์ มาดำเนินคดีในไทย โดยนายเอกลักษณ์ให้การรับสารภาพว่าทำตามคำสั่งของผู้มีพระคุณ
ต่อมาเมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา ชุดสืบสวนสอบสวน ได้เดินทางออกจากสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม นำพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ เสนอต่อศาลอาญา ขอออกหมายจับ นาย
ลี รัตนรัศมี (Ratanakraksmey Ly ) หรือ ชื่อในประเทศไทย คือนาย
สมหวัง บำรุงกิจ อายุ 43 ปี ชาวกัมพูชา ใน 3 ข้อหา “
เป็นผู้ใช้ ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ไม่ว่าด้วย การใช้บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยง ส่งเสริมหรือด้วยวิธีอื่นใด ,พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ,ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง
ล่าสุดในช่วงเช้าวันที่ 15 ม.ค. ศาลอนุมัติหมายจับ นาย
ลี รัตนรัศมี หรือนาย
สมหวัง บำรุงกิจ แล้ว
สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวจากกรณีนี้เพิ่มเติม โดยอ้างอิงข่าวสำนักข่าว VOD สื่ออิสระของกัมพูชาที่รายงานข่าววันที่ 13 ม.ค.ก่อนหน้านี้ว่ากลุ่มองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนกัมพูชาหรือ Cambodian Advocates ( CAT) ที่ออสเตรเลีย ได้เรียกร้องให้มีการส่งตัวผู้ต้องสงสัยจำนวนสองคนซึ่งเกี่ยวข้องกับนาย
ลิมมาให้กับทางประเทศไทย เพื่อที่ทางการไทยจะได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนอ่างเต็มที่ เนื่องจาก CAT ไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรมที่กัมพูชา
CAT ระบุว่าภายใต้การขาดความเป็นอิสระของอำนาจตุลาการกัมพูชา ทาง CAT จึงขอยืนกรานว่าจะให้ส่งตัวชาวกัมพูชาสองคนได้แก่
1.นาย
พิช กิมสริน (Pich Kimsrin)
และ 2.นาย
ลี รัตนรัศมี
ซึ่งปรากฏว่านาย
ลีเป็นที่ปรึกษาของสมเด็จ
ฮุนเซ็น อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ปรากฏว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการสังหารนาย
ลิมมายังประเทศไทย เพื่อให้ไทยได้สืบสวนหาข้อเท็จจริง
แถลงการณ์ของ CAT ยังมีการระบุอีกว่านายลีพบว่ามีการส่งเงินเกือบ 2 พันดอลลาร์สหรัฐฯ (69,520 บาท) มาให้กับนาย
เอกลักษณ์
ส่วนนาย
พิช ที่ทางการไทยระบุว่าเป็นมือชี้เป้าให้กับนายเอกลักษณ์นั้น พบว่าเป็นรองประธานคณะกรรมการตลาดกลาง ทายาทของนาย
ควนสเริง (Khuon Sreng) ผู้ว่าการกรุงพนมเปญ
ทางด้านของนาย
ฮงลิม (Hong Lim) ผู้นำกลุ่ม CAT กล่าวว่าขณะที่ทางกัมพูชายังเงียบเฉยกับเรื่องนี้ ขณะที่ฝ่ายไทย ทั้งสื่อไทย นักการเมือง เจ้าหน้าที่ตํารวจ ตุลาการ ฯลฯ ดูเหมือนจะให้ความสนใจกับคดีฆาตกรรมครั้งนี้ และกล่าวอีกว่าถ้าหากไม่มีการส่งตัวผู้ต้องสงสัยก็จะเป็นเหมือนกับตะปูอีกอันที่ตอกฝาโลงพรรค CCP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของ พล.อ.
ฮุน มาเนต ณ เวลานี้
เรียบเรียงจาก :
https://www.vodkhmer.news/2025/01/13/cat-urges-cambodia-to-send-two-cambodian-suspects-to-thailand-for-investigation-into-lim-kim-ya-assassination/
200 ชีวิตร้อง ‘บริษัทจีน’ ลวงจ้างทำกำไรข้อมือ เบี้ยวจ่าย 10 ล้าน บุกเช็กถึงออฟฟิศพบเจ๊งระนาว
https://www.matichon.co.th/local/news_5000767
ผู้เสียหาย ถูกหลอกให้ลงทุนกำไลข้อมือ สูญเงินนับสิบล้าน ร้องกมธ.ความมั่นคงฯ ตรวจสอบบริษัท คาดมีจีนเทาอยู่เบื้องหลัง ‘โรม’ เชื่อไม่ใช่แค่แชร์ลูกโซ่ แต่เป็นการหลอกให้ลงทุนมากกว่า
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 มกราคม ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย ที่ถูกหลอกลวงให้ลงทุนในการทำกำไลข้อมือจากลูกปัด โดยมีการขอเงินมัดจำล่วงหน้าชุดละ 1,800 บาท เมื่อทำเสร็จแล้วส่งกลับไปยังบริษัทจะได้ค่าจ้างชุดละ 380 บาท บวกเงินมัดจำอีก 1,800 บาท แต่หลังจากทำไปได้ 2-3 เดือน ก็เริ่มไม่ได้เงินคืน
โดยผู้เสียหายเล่าว่า เรื่องเกิดจากการหางานเสริมทำ ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้โฆษณาผ่านแอพพลิเคชั่นชื่อดัง พวกตนเห็นว่าได้ค่าตอบแทนดีจึงตัดสินใจสมัครไป โดยช่วงแรกที่รับสินค้ากลับมาทำที่บ้านแล้วส่งกลับบริษัท ก็ยังได้เงินคืน ทั้งค่าแรงและค่ามัดจำ ซึ่งบริษัทกำหนดว่า ภายใน 3-7 วันจะได้เงินคืน แต่ก็ไม่ได้เงินคืน สุดท้ายบอกจะจ่ายเงินในเดือน ธ.ค.67 ก็เลื่อนมาเป็นช่วงวันที่ 2-3 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีการเลื่อนอีก ซึ่ง ขณะนี้มีผู้เสียหายกว่า 200 คน ความเสียหายหลัก 10 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พวกตนจึงต้องมาร้องเรียนขอความช่วยเหลือ เพราะต้องการให้ตรวจสอบบริษัทดังกล่าว ว่ามีการจดทะเบียนถูกต้องหรือไม่
หลังตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีการจดทะเบียนถูกต้อง แต่ชื่อบุคคลที่จดทะเบียนมีความน่าสงสัย และคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นคนจีน เนื่องจากทุกครั้งที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชี จะพบว่ามี 20-30 บัญชี มีทั้งชื่อของบุคคลและชื่อบริษัท แต่ไม่ใช่ชื่อบริษัทที่จดทะเบียนไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายทั้งหมดไปแจ้งความที่สถานีตำรวจต่างๆ แล้วบางแห่งก็รับแจ้งความ บางแห่งก็ไม่รับ นอกจากนี้ยังได้เดินทางไปแจ้งความที่กองปราบปรามฯ แต่ได้รับคำแนะนำว่าให้โทรไปที่สายด่วน 1441 หรือศูนย์ AOC สายด่วนภัยออนไลน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่บางคนก็รับเรื่องบ้าง ไม่รับเรื่องบ้าง ส่วนเจ้าหน้าที่ที่รับแจ้งความก็แนะนำให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ
ผู้เสียหาย ยังเปิดเผยด้วยว่า หลังจากไม่ได้รับเงินคืน ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังบริษัท และไปตรวจสอบถึงที่ตั้งของบริษัทดังกล่าว พบว่าเป็นออฟฟิศเล็กๆ อยู่ย่านพระราม 9 ซึ่งปิดทำการไปแล้ว นอกจากนี้ คลังสินค้าที่เอาไว้สำหรับส่งสินค้าให้ผู้เสียหาย ที่ย่านกระทุ่มแบน ก็ปิดไปแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ช่วงแรกเป็นการเชิญชวนให้รับลูกปัดไปทำกำไร เพื่อรับค่าแรง แต่ระยะหลังเริ่มมีโปรโมชั่นในการลงทุนแบบไม่ต้องรับสินค้าไปทำ เป็นลักษณะการเอาเงินมาลงทุนแล้วจะมีส่วนแบ่งให้ในอัตราที่สูงขึ้น เช่นหากลงทุน 100,000 บาทในตอนนี้ จะได้รับส่วนลด 3% หรือ 5% ก็ยิ่งทำให้มีผู้เสียหายสนใจมากขึ้น
ด้าน นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมกรรมาธิการฯ เพราะดูข้อมูลแล้ว มีการประชาสัมพันธ์ชักชวนให้ร่วมลงทุน ซึ่งดูแล้วไม่ใช่แชร์ลูกโซ่อย่างเดียว แต่ก้ำกึ่งคล้ายเป็นการหลอกให้ลงทุนด้วย จึงต้องไปตรวจสอบว่ามีทุนต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะฟังดูแล้วชื่อของบริษัทเป็นภาษาจีน ก็อาจจะมีจีนเทาร่วมด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและเรื่องใหญ่ ที่มีผลกระทบต่อประชาชน
ส.ส.รอมฎอน จับตา อิ๊งค์ เยือนชายแดนใต้ครั้งแรกพรุ่งนี้ คาดไม่แตะประเด็นความมั่นคง
https://www.matichon.co.th/region/news_5001798
ส.ส.รอมฎอน จับตา “แพทองธาร” ลงพื้นที่ชายแดนใต้ครั้งแรกพรุ่งนี้ คาดแนวทางไม่ต่างอดีตนายกเศรษฐา ไม่แตะประเด็นความมั่นคง แม้เป็นเรื่องที่ประชาชนคาดหวังจากรัฐบาล
เมื่อวันที่ 15 มกราคม นายรอมฎอน ปันจอร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน กล่าวถึงการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (16 มกราคม) ว่า ต้องจับตาและติดตามการลงพื้นที่ชายแดนใต้ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพราะเป็นการเดินทางลงพื้นที่ในช่วงเวลาที่ความรุนแรงกำลังกลับมาและอยู่ในความสนใจของสาธารณะเท่านั้น แต่เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่คุณแพทองธารเดินทางไปเยือนหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 4 เดือนก่อน และหากนับเฉพาะผู้นำทางการเมืองในระดับนายกรัฐมนตรี ก็ต้องบอกว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน หลังจากที่อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เดินทางลงพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อน
“ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา เราแทบจะรับรู้ได้น้อยมากว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้จะเอาอย่างไรกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านมาประชาชนในพื้นที่รู้สึกผิดหวังกับกรณีที่คดีตากใบขาดอายุความไป โดยที่รัฐบาลน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ยังมีคำถามด้วยว่าตกลงแล้วรัฐบาลจะสานต่อการพูดคุยสันติภาพที่หยุดชะงักอยู่อีกหรือไม่ หรือเห็นว่าเป็นปัญหาและจะยกเลิกไป หรือรัฐบาลจะเลือกแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบอื่น จะเน้นใช้กำลังและกฎหมายต่อไป หรือจะมุ่งเพียงแค่การพัฒนาเศรษฐกิจ การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงอยู่ในความสนใจของประชาชน เพราะหัวใจคือเรื่องความยุติธรรมและการสร้างสันติภาพ เราจึงต้องจับสัญญาณที่จะสื่อสารออกมาให้ดี” นายรอมฎอนกล่าว
นาย
รอมฎอน กล่าวต่อว่า ตนทราบว่ารัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงของการทบทวนทิศทางและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เชื่อว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้ทำให้นายกรัฐมนตรีสัมผัสกับผู้คนในพื้นที่และภูมิประเทศ ซึ่งน่าจะมีส่วนในการทบทวนข้างต้น แม้ว่ากำหนดการเดินทางจะค่อนข้างแน่น เพราะต้องเดินทางไปทั้ง 3 จังหวัดภายในหนึ่งวัน อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากกำหนดการข้างต้นจะพบว่ามีจุดเน้นที่ไม่แตกต่างมากนักกับเมื่อครั้งที่นายกฯ เศรษฐาเคยลงพื้นที่ไปเมื่อปีที่แล้ว กล่าวคือเน้นไปติดตามงานด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ได้ริเริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านี้
“สิ่งที่หายไปคือภารกิจที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงและการสร้างสันติภาพ แม้ว่าการเดินทางไปเยือนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิจะมีความหมายสำคัญ เนื่องจากเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามขนาดใหญ่และมีบทบาทมากในพื้นที่ แต่คงต้องจับตาดูว่านายกรัฐมนตรีจะสื่อสารอะไรบ้างในระหว่างการลงพื้นที่” นาย
รอมฎอนกล่าว
นาย
รอมฎอน กล่าวด้วยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีการเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีคำแถลงการณ์ร่วมกับนายกฯ
อันวาร์ อิบราฮิม ว่าจะส่งเสริมการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมไปถึงการเดินหน้าการพูดคุยเพื่อสันติสุขที่มีทางการมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก รวมไปถึงเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกหลังการพบปะกันระหว่างอดีตนายกฯ
ทักษิณ ชินวัตร กับนายกฯ
อันวาร์ โดยเชื่อว่าวาระการสร้างสันติภาพเป็นหนึ่งในประเด็นที่มีการพูดคุยหารือกัน ความเคลื่อนไหวนี้นำมาซึ่งการประกาศทบทวนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา แต่สิ่งที่ต้องจับตาก็คือนอกจากกิจกรรมพบปะกับหน่วยงานราชการและประชาชนกลุ่มต่าง ๆ แล้ว นายกรัฐมนตรีจะส่งสัญญาณทางการเมืองที่สำคัญอะไรอีกหรือไม่
“
มีข้อสังเกตด้วยว่าการเดินทางลงพื้นที่ชายแดนใต้ทั้งของนายกฯ เศรษฐาเมื่อปีที่แล้ว และนายกฯ แพทองธารในวันพรุ่งนี้ จะไม่มีกำหนดการไปเยือนหน่วยงานด้านความมั่นคงหรือค่ายทหารใด ๆ เลย ซึ่งจะแตกต่างไปจากนายกฯ คนก่อน ๆ ผมคิดว่านี่เป็นความตั้งใจที่จะไม่แตะประเด็นด้านความมั่นคง ทั้ง ๆ ที่ความคาดหวังของประชาชนอยากเห็นว่ารัฐบาลจะสามารถสั่งการกองทัพ และกอ.รมน.ได้ นอกจากนี้ยังอยากเห็นการยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึก ที่เคยเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคด้วย” นาย
รอมฎอนกล่าว
JJNY : 5in1 แฉเป็นที่ปรึกษาฮุน เซน│200 ชีวิตร้อง‘บ.จีน’│รอมฎอนจับตาอิ๊งค์│เพจดังค้าน│"เท่าพิภพ" เฮ! ผ่านร่าง พ.ร.บ.สุรา
https://www.isranews.org/article/isranews-news/134936-isranews-Hunssenttcct.html
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวว่าจากกรณี นายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือ จ่าเอ็ม ทหารนาวิกโยธิน อายุ 41 ปีก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อายุ 73 ปี อดีตสส.ฝ่ายค้านของกัมพูชาเสียชีวิต ตรงข้ามวัดบวรนิเวศ เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยนายเอกลักษณ์ ได้หลบหนีตำรวจข้ามแดนไปยังประเทศกัมพูชาผ่านช่องทางธรรมชาติ ก่อนที่เจ้าหน้าที่กัมพูชาจะสามารถจับกุมขณะที่แวะพักทานอาหารใน ต.ปเรยสวย อ.โมงรึไทร จ.พระตะบอง เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา และกัมพูชาส่งตัวนายเอกลักษณ์ มาดำเนินคดีในไทย โดยนายเอกลักษณ์ให้การรับสารภาพว่าทำตามคำสั่งของผู้มีพระคุณ
ต่อมาเมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 ม.ค. ที่ผ่านมา ชุดสืบสวนสอบสวน ได้เดินทางออกจากสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม นำพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ เสนอต่อศาลอาญา ขอออกหมายจับ นายลี รัตนรัศมี (Ratanakraksmey Ly ) หรือ ชื่อในประเทศไทย คือนาย สมหวัง บำรุงกิจ อายุ 43 ปี ชาวกัมพูชา ใน 3 ข้อหา “เป็นผู้ใช้ ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ไม่ว่าด้วย การใช้บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือยุยง ส่งเสริมหรือด้วยวิธีอื่นใด ,พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ,ยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดซึ่งใช่เหตุในเมือง
ล่าสุดในช่วงเช้าวันที่ 15 ม.ค. ศาลอนุมัติหมายจับ นายลี รัตนรัศมี หรือนายสมหวัง บำรุงกิจ แล้ว
สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวจากกรณีนี้เพิ่มเติม โดยอ้างอิงข่าวสำนักข่าว VOD สื่ออิสระของกัมพูชาที่รายงานข่าววันที่ 13 ม.ค.ก่อนหน้านี้ว่ากลุ่มองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนกัมพูชาหรือ Cambodian Advocates ( CAT) ที่ออสเตรเลีย ได้เรียกร้องให้มีการส่งตัวผู้ต้องสงสัยจำนวนสองคนซึ่งเกี่ยวข้องกับนายลิมมาให้กับทางประเทศไทย เพื่อที่ทางการไทยจะได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนอ่างเต็มที่ เนื่องจาก CAT ไม่เชื่อกระบวนการยุติธรรมที่กัมพูชา
CAT ระบุว่าภายใต้การขาดความเป็นอิสระของอำนาจตุลาการกัมพูชา ทาง CAT จึงขอยืนกรานว่าจะให้ส่งตัวชาวกัมพูชาสองคนได้แก่
1.นาย พิช กิมสริน (Pich Kimsrin)
และ 2.นายลี รัตนรัศมี
ซึ่งปรากฏว่านายลีเป็นที่ปรึกษาของสมเด็จฮุนเซ็น อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ปรากฏว่าเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการสังหารนายลิมมายังประเทศไทย เพื่อให้ไทยได้สืบสวนหาข้อเท็จจริง
แถลงการณ์ของ CAT ยังมีการระบุอีกว่านายลีพบว่ามีการส่งเงินเกือบ 2 พันดอลลาร์สหรัฐฯ (69,520 บาท) มาให้กับนายเอกลักษณ์
ส่วนนายพิช ที่ทางการไทยระบุว่าเป็นมือชี้เป้าให้กับนายเอกลักษณ์นั้น พบว่าเป็นรองประธานคณะกรรมการตลาดกลาง ทายาทของนายควนสเริง (Khuon Sreng) ผู้ว่าการกรุงพนมเปญ
ทางด้านของนายฮงลิม (Hong Lim) ผู้นำกลุ่ม CAT กล่าวว่าขณะที่ทางกัมพูชายังเงียบเฉยกับเรื่องนี้ ขณะที่ฝ่ายไทย ทั้งสื่อไทย นักการเมือง เจ้าหน้าที่ตํารวจ ตุลาการ ฯลฯ ดูเหมือนจะให้ความสนใจกับคดีฆาตกรรมครั้งนี้ และกล่าวอีกว่าถ้าหากไม่มีการส่งตัวผู้ต้องสงสัยก็จะเป็นเหมือนกับตะปูอีกอันที่ตอกฝาโลงพรรค CCP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของ พล.อ.ฮุน มาเนต ณ เวลานี้
เรียบเรียงจาก : https://www.vodkhmer.news/2025/01/13/cat-urges-cambodia-to-send-two-cambodian-suspects-to-thailand-for-investigation-into-lim-kim-ya-assassination/
200 ชีวิตร้อง ‘บริษัทจีน’ ลวงจ้างทำกำไรข้อมือ เบี้ยวจ่าย 10 ล้าน บุกเช็กถึงออฟฟิศพบเจ๊งระนาว
https://www.matichon.co.th/local/news_5000767
ผู้เสียหาย ถูกหลอกให้ลงทุนกำไลข้อมือ สูญเงินนับสิบล้าน ร้องกมธ.ความมั่นคงฯ ตรวจสอบบริษัท คาดมีจีนเทาอยู่เบื้องหลัง ‘โรม’ เชื่อไม่ใช่แค่แชร์ลูกโซ่ แต่เป็นการหลอกให้ลงทุนมากกว่า
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 มกราคม ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย ที่ถูกหลอกลวงให้ลงทุนในการทำกำไลข้อมือจากลูกปัด โดยมีการขอเงินมัดจำล่วงหน้าชุดละ 1,800 บาท เมื่อทำเสร็จแล้วส่งกลับไปยังบริษัทจะได้ค่าจ้างชุดละ 380 บาท บวกเงินมัดจำอีก 1,800 บาท แต่หลังจากทำไปได้ 2-3 เดือน ก็เริ่มไม่ได้เงินคืน
โดยผู้เสียหายเล่าว่า เรื่องเกิดจากการหางานเสริมทำ ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้โฆษณาผ่านแอพพลิเคชั่นชื่อดัง พวกตนเห็นว่าได้ค่าตอบแทนดีจึงตัดสินใจสมัครไป โดยช่วงแรกที่รับสินค้ากลับมาทำที่บ้านแล้วส่งกลับบริษัท ก็ยังได้เงินคืน ทั้งค่าแรงและค่ามัดจำ ซึ่งบริษัทกำหนดว่า ภายใน 3-7 วันจะได้เงินคืน แต่ก็ไม่ได้เงินคืน สุดท้ายบอกจะจ่ายเงินในเดือน ธ.ค.67 ก็เลื่อนมาเป็นช่วงวันที่ 2-3 ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีการเลื่อนอีก ซึ่ง ขณะนี้มีผู้เสียหายกว่า 200 คน ความเสียหายหลัก 10 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พวกตนจึงต้องมาร้องเรียนขอความช่วยเหลือ เพราะต้องการให้ตรวจสอบบริษัทดังกล่าว ว่ามีการจดทะเบียนถูกต้องหรือไม่
หลังตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีการจดทะเบียนถูกต้อง แต่ชื่อบุคคลที่จดทะเบียนมีความน่าสงสัย และคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นคนจีน เนื่องจากทุกครั้งที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชี จะพบว่ามี 20-30 บัญชี มีทั้งชื่อของบุคคลและชื่อบริษัท แต่ไม่ใช่ชื่อบริษัทที่จดทะเบียนไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายทั้งหมดไปแจ้งความที่สถานีตำรวจต่างๆ แล้วบางแห่งก็รับแจ้งความ บางแห่งก็ไม่รับ นอกจากนี้ยังได้เดินทางไปแจ้งความที่กองปราบปรามฯ แต่ได้รับคำแนะนำว่าให้โทรไปที่สายด่วน 1441 หรือศูนย์ AOC สายด่วนภัยออนไลน์ ซึ่งเจ้าหน้าที่บางคนก็รับเรื่องบ้าง ไม่รับเรื่องบ้าง ส่วนเจ้าหน้าที่ที่รับแจ้งความก็แนะนำให้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ
ผู้เสียหาย ยังเปิดเผยด้วยว่า หลังจากไม่ได้รับเงินคืน ได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังบริษัท และไปตรวจสอบถึงที่ตั้งของบริษัทดังกล่าว พบว่าเป็นออฟฟิศเล็กๆ อยู่ย่านพระราม 9 ซึ่งปิดทำการไปแล้ว นอกจากนี้ คลังสินค้าที่เอาไว้สำหรับส่งสินค้าให้ผู้เสียหาย ที่ย่านกระทุ่มแบน ก็ปิดไปแล้วเช่นกัน
นอกจากนี้ช่วงแรกเป็นการเชิญชวนให้รับลูกปัดไปทำกำไร เพื่อรับค่าแรง แต่ระยะหลังเริ่มมีโปรโมชั่นในการลงทุนแบบไม่ต้องรับสินค้าไปทำ เป็นลักษณะการเอาเงินมาลงทุนแล้วจะมีส่วนแบ่งให้ในอัตราที่สูงขึ้น เช่นหากลงทุน 100,000 บาทในตอนนี้ จะได้รับส่วนลด 3% หรือ 5% ก็ยิ่งทำให้มีผู้เสียหายสนใจมากขึ้น
ด้าน นายรังสิมันต์ กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมกรรมาธิการฯ เพราะดูข้อมูลแล้ว มีการประชาสัมพันธ์ชักชวนให้ร่วมลงทุน ซึ่งดูแล้วไม่ใช่แชร์ลูกโซ่อย่างเดียว แต่ก้ำกึ่งคล้ายเป็นการหลอกให้ลงทุนด้วย จึงต้องไปตรวจสอบว่ามีทุนต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะฟังดูแล้วชื่อของบริษัทเป็นภาษาจีน ก็อาจจะมีจีนเทาร่วมด้วยหรือไม่ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและเรื่องใหญ่ ที่มีผลกระทบต่อประชาชน
ส.ส.รอมฎอน จับตา อิ๊งค์ เยือนชายแดนใต้ครั้งแรกพรุ่งนี้ คาดไม่แตะประเด็นความมั่นคง
https://www.matichon.co.th/region/news_5001798
ส.ส.รอมฎอน จับตา “แพทองธาร” ลงพื้นที่ชายแดนใต้ครั้งแรกพรุ่งนี้ คาดแนวทางไม่ต่างอดีตนายกเศรษฐา ไม่แตะประเด็นความมั่นคง แม้เป็นเรื่องที่ประชาชนคาดหวังจากรัฐบาล
เมื่อวันที่ 15 มกราคม นายรอมฎอน ปันจอร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน กล่าวถึงการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (16 มกราคม) ว่า ต้องจับตาและติดตามการลงพื้นที่ชายแดนใต้ในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพราะเป็นการเดินทางลงพื้นที่ในช่วงเวลาที่ความรุนแรงกำลังกลับมาและอยู่ในความสนใจของสาธารณะเท่านั้น แต่เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่คุณแพทองธารเดินทางไปเยือนหลังเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 4 เดือนก่อน และหากนับเฉพาะผู้นำทางการเมืองในระดับนายกรัฐมนตรี ก็ต้องบอกว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน หลังจากที่อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เดินทางลงพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัดเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีก่อน
“ตลอดสี่เดือนที่ผ่านมา เราแทบจะรับรู้ได้น้อยมากว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้จะเอาอย่างไรกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านมาประชาชนในพื้นที่รู้สึกผิดหวังกับกรณีที่คดีตากใบขาดอายุความไป โดยที่รัฐบาลน่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ยังมีคำถามด้วยว่าตกลงแล้วรัฐบาลจะสานต่อการพูดคุยสันติภาพที่หยุดชะงักอยู่อีกหรือไม่ หรือเห็นว่าเป็นปัญหาและจะยกเลิกไป หรือรัฐบาลจะเลือกแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบอื่น จะเน้นใช้กำลังและกฎหมายต่อไป หรือจะมุ่งเพียงแค่การพัฒนาเศรษฐกิจ การลงพื้นที่ครั้งนี้จึงอยู่ในความสนใจของประชาชน เพราะหัวใจคือเรื่องความยุติธรรมและการสร้างสันติภาพ เราจึงต้องจับสัญญาณที่จะสื่อสารออกมาให้ดี” นายรอมฎอนกล่าว
นายรอมฎอน กล่าวต่อว่า ตนทราบว่ารัฐบาลกำลังอยู่ในช่วงของการทบทวนทิศทางและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เชื่อว่าการลงพื้นที่ในครั้งนี้ทำให้นายกรัฐมนตรีสัมผัสกับผู้คนในพื้นที่และภูมิประเทศ ซึ่งน่าจะมีส่วนในการทบทวนข้างต้น แม้ว่ากำหนดการเดินทางจะค่อนข้างแน่น เพราะต้องเดินทางไปทั้ง 3 จังหวัดภายในหนึ่งวัน อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากกำหนดการข้างต้นจะพบว่ามีจุดเน้นที่ไม่แตกต่างมากนักกับเมื่อครั้งที่นายกฯ เศรษฐาเคยลงพื้นที่ไปเมื่อปีที่แล้ว กล่าวคือเน้นไปติดตามงานด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ได้ริเริ่มดำเนินการไปก่อนหน้านี้
“สิ่งที่หายไปคือภารกิจที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงและการสร้างสันติภาพ แม้ว่าการเดินทางไปเยือนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิจะมีความหมายสำคัญ เนื่องจากเป็นโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามขนาดใหญ่และมีบทบาทมากในพื้นที่ แต่คงต้องจับตาดูว่านายกรัฐมนตรีจะสื่อสารอะไรบ้างในระหว่างการลงพื้นที่” นายรอมฎอนกล่าว
นายรอมฎอน กล่าวด้วยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีการเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีคำแถลงการณ์ร่วมกับนายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม ว่าจะส่งเสริมการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมไปถึงการเดินหน้าการพูดคุยเพื่อสันติสุขที่มีทางการมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก รวมไปถึงเป็นการลงพื้นที่ครั้งแรกหลังการพบปะกันระหว่างอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร กับนายกฯ อันวาร์ โดยเชื่อว่าวาระการสร้างสันติภาพเป็นหนึ่งในประเด็นที่มีการพูดคุยหารือกัน ความเคลื่อนไหวนี้นำมาซึ่งการประกาศทบทวนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหา แต่สิ่งที่ต้องจับตาก็คือนอกจากกิจกรรมพบปะกับหน่วยงานราชการและประชาชนกลุ่มต่าง ๆ แล้ว นายกรัฐมนตรีจะส่งสัญญาณทางการเมืองที่สำคัญอะไรอีกหรือไม่
“มีข้อสังเกตด้วยว่าการเดินทางลงพื้นที่ชายแดนใต้ทั้งของนายกฯ เศรษฐาเมื่อปีที่แล้ว และนายกฯ แพทองธารในวันพรุ่งนี้ จะไม่มีกำหนดการไปเยือนหน่วยงานด้านความมั่นคงหรือค่ายทหารใด ๆ เลย ซึ่งจะแตกต่างไปจากนายกฯ คนก่อน ๆ ผมคิดว่านี่เป็นความตั้งใจที่จะไม่แตะประเด็นด้านความมั่นคง ทั้ง ๆ ที่ความคาดหวังของประชาชนอยากเห็นว่ารัฐบาลจะสามารถสั่งการกองทัพ และกอ.รมน.ได้ นอกจากนี้ยังอยากเห็นการยกเลิกการประกาศกฎอัยการศึก ที่เคยเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคด้วย” นายรอมฎอนกล่าว