ดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดการซื้อขายเดือนแรกของปี 2568 เดือด ปรับตัวลดลงหนัก อยู่ที่ 1,367 จุดแล้ว ชี้บรรยากาศการลงทุนเป็นลบ อาจเผชิญกับภาวะซบเซาอย่างหนัก โดยมีโอกาสสูงที่ดัชนี SET จะลดลงแตะระดับ 1,100 จุด หรือแม้กระทั่งต่ำกว่านั้น ปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวลงและความเสี่ยงที่ควรจับตามีดังนี้:
1. ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก
• ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน: ความยืดเยื้อของสงครามยังคงส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน และสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจยุโรปและเอเชียตะวันออก.
• ตะวันออกกลางที่ร้อนระอุ: สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ยังคงเพิ่มความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานพลังงานโลก โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ.
2. นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ
• การกีดกันการส่งออกของจีนและการปรับภาษีสินค้านำเข้าในหลายประเทศ กำลังกดดันเศรษฐกิจโลกและส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ซึ่งคิดเป็นกว่า 60% ของ GDP.
• ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าไม่สามารถชดเชยยอดส่งออกที่หดตัวได้ เนื่องจากความต้องการสินค้าลดลงทั่วโลก.
3. ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น
• สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 90% ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อในประเทศ.
• ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคยังปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องระมัดระวังการใช้จ่าย ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจค้าปลีกและบริการ.
4. ความล้มเหลวของโครงการเศรษฐกิจภาครัฐ
• โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น การกระจายรายได้สู่ชนบทและโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) เผชิญกับปัญหาความล่าช้าในการดำเนินงาน ทำให้ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจยังไม่ปรากฏชัดเจน.
• การเลือกตั้งที่ผ่านมาอาจนำมาซึ่งความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ.
5. ปัจจัยทางเทคนิคและจิตวิทยาการลงทุน
• แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ: เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น.
• ดัชนีต่ำกว่าระดับ 1,200 จุด: ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในประเทศ ทำให้เกิดแรงขายเพิ่มเติมจากนักลงทุนรายย่อยที่ขาดความเชื่อมั่น.
จากปัจจัยข้างต้น ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ใช่ตัวเลือกการลงทุนที่ดีในปี 2025 สำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงต่ำ โดยมีคำแนะนำดังนี้:
1. หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มส่งออกและค้าปลีก เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจโลกและหนี้ครัวเรือน.
2. พิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ, พันธบัตร, หรือกองทุนรวมในต่างประเทศที่มีผลตอบแทนสูงกว่า.
3. จับตาสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง: หากสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น อาจเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการกลับเข้าสู่ตลาด.
ด้วยปัจจัยลบหลายประการที่กดดันเศรษฐกิจไทยในปี 2025 รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าระดับโลก นักลงทุนควรระมัดระวังและพิจารณาทางเลือกอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ตลาดหุ้นไทยในปีนี้อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับการสร้างผลตอบแทนในระยะสั้นถึงกลาง.
สัญญาณเตือนภัยสำหรับนักลงทุน ! เผยตลาดหุ้นไทย 2025 ปีนี้อาจได้เห็นดัชนี SET แตะ 1,100 จุด
• ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน: ความยืดเยื้อของสงครามยังคงส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน และสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจยุโรปและเอเชียตะวันออก.
• ตะวันออกกลางที่ร้อนระอุ: สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ยังคงเพิ่มความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานพลังงานโลก โดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ.
2. นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ
• การกีดกันการส่งออกของจีนและการปรับภาษีสินค้านำเข้าในหลายประเทศ กำลังกดดันเศรษฐกิจโลกและส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ซึ่งคิดเป็นกว่า 60% ของ GDP.
• ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าไม่สามารถชดเชยยอดส่งออกที่หดตัวได้ เนื่องจากความต้องการสินค้าลดลงทั่วโลก.
3. ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น
• สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 90% ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อในประเทศ.
• ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคยังปรับเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องระมัดระวังการใช้จ่าย ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจค้าปลีกและบริการ.
4. ความล้มเหลวของโครงการเศรษฐกิจภาครัฐ
• โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่น การกระจายรายได้สู่ชนบทและโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC) เผชิญกับปัญหาความล่าช้าในการดำเนินงาน ทำให้ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจยังไม่ปรากฏชัดเจน.
• การเลือกตั้งที่ผ่านมาอาจนำมาซึ่งความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ทำให้นักลงทุนขาดความมั่นใจ.
5. ปัจจัยทางเทคนิคและจิตวิทยาการลงทุน
• แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ: เงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น.
• ดัชนีต่ำกว่าระดับ 1,200 จุด: ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในประเทศ ทำให้เกิดแรงขายเพิ่มเติมจากนักลงทุนรายย่อยที่ขาดความเชื่อมั่น.
จากปัจจัยข้างต้น ตลาดหุ้นไทยอาจไม่ใช่ตัวเลือกการลงทุนที่ดีในปี 2025 สำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงต่ำ โดยมีคำแนะนำดังนี้:
1. หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มส่งออกและค้าปลีก เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจโลกและหนี้ครัวเรือน.
2. พิจารณาการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ, พันธบัตร, หรือกองทุนรวมในต่างประเทศที่มีผลตอบแทนสูงกว่า.
3. จับตาสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง: หากสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น อาจเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการกลับเข้าสู่ตลาด.
ด้วยปัจจัยลบหลายประการที่กดดันเศรษฐกิจไทยในปี 2025 รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้าระดับโลก นักลงทุนควรระมัดระวังและพิจารณาทางเลือกอื่นที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า ตลาดหุ้นไทยในปีนี้อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับการสร้างผลตอบแทนในระยะสั้นถึงกลาง.