ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็น "ฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์"

7 ปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนบางคน เริ่มมองว่า
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็น "ฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์" 
และเป็นสัญญาณของมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไป
หรือการเติบโตที่เริ่มจะไม่ยั่งยืน

1. มูลค่าประเมินที่สูงเกินไป (Valuation)

- อัตราส่วน P/E ของดัชนีสำคัญอย่าง S&P 500 ได้แตะระดับที่เคยพบในช่วงฟองสบู่ 
เช่น ฟองสบู่ดอทคอมในปี 2000 ซึ่งอัตราส่วน P/E ที่สูงอาจสะท้อนว่าราคาหุ้นสูงเกินไปเมื่อเทียบกับผลกำไร

- ตัวชี้วัด เช่น Shiller CAPE (Cyclically Adjusted P/E) ratio อยู่ในระดับสูงที่นักลงทุนหลายคนมองว่าเป็นสัญญาณเตือน

2. นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve)
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รักษาอัตราดอกเบี้ยไว้ใกล้ศูนย์เป็นเวลานาน ทำให้การกู้ยืมมีต้นทุนต่ำ และกระตุ้นการลงทุนในหุ้น
-การอัดฉีดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบการเงินผ่านการซื้อสินทรัพย์ ส่งผลให้สภาพคล่องเพิ่มขึ้นและราคาสินทรัพย์สูงขึ้น

3. การเก็งกำไรเกินควร

- การซื้อขายของนักลงทุนรายย่อย และแนวโน้มการลงทุนที่ขับเคลื่อนโดยโซเชียลมีเดีย
ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการเก็งกำไร เช่น การลงทุนในหุ้นมีม (GameStop, AMC) และคริปโตเคอร์เรนซี

- การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง: บริษัทเทคโนโลยีที่ยังไม่มีกำไร
และ SPACs (Special Purpose Acquisition Companies)
ได้รับเงินลงทุนจำนวนมากแม้ว่าจะมีพื้นฐานที่ไม่มั่นคง

4. ความไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจพื้นฐาน
- ราคาหุ้นสูงเกินความเป็นจริง ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย เช่น ในช่วงการระบาดของ COVID-19
นักวิจารณ์มองว่าตลาดหุ้นไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของเศรษฐกิจ
เช่น การเติบโต GDP ที่ชะลอตัว หนี้ที่เพิ่มขึ้น และค่าจ้างที่คงที่

- ความมั่งคั่งกระจุกตัว  การเติบโตส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมาจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
เช่น Apple, Microsoft, Nvidia ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องการพึ่งพาบริษัทกลุ่มนี้มากเกินไป

5. การเปรียบเทียบกับฟองสบู่ในอดีต

- การเปรียบเทียบกับฟองสบู่ที่ผ่านมา นักลงทุนเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับฟองสบู่ในอดีต
เช่น Tulip Mania, ฟองสบู่ดอทคอม และฟองสบู่ที่อยู่อาศัย (2008)
โดยแต่ละช่วงล้วนมีลักษณะของการซื้อขายที่เกินจริงและราคาสินทรัพย์ที่ไม่ยั่งยืน

- แนวคิด "คราวนี้ต่างออกไป"  เมื่อมีการอ้างเหตุผลใหม่ๆ
เช่น อัตราดอกเบี้ยต่ำหรือการครองตลาดของเทคโนโลยี
นักวิจารณ์มักมองว่านี่เป็นลักษณะของฟองสบู่

6. ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจมหภาคระดับโลก

- ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้ง เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลก เพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด

- ระดับหนี้ที่สูง หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอาจทำให้การชำระหนี้เป็นภาระที่หนักขึ้น
และอาจส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ

7. ปัจจัยทางจิตวิทยาและพฤติกรรม

- ความกลัวที่จะพลาดโอกาส (FOMO)  นักลงทุนแห่กันซื้อหุ้นเพราะกลัวพลาดผลตอบแทน
ส่งผลให้ราคาพุ่งสูงขึ้นโดยไม่คำนึงถึงพื้นฐาน

- อคติที่ยืนยันความเชื่อ (Confirmation Bias)  นักลงทุนบางคนใช้การคาดการณ์ในเชิงบวก
เช่น การเติบโตของ AI หรือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนราคาที่สูง

*** ในขณะที่บางคนมองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นฟองสบู่
แต่ก็ยังมีนักวิเคราะห์คนอื่นๆ มองว่า อาจจะยังไม่ใช่ แต่มีปัจจับอื่นๆ มาสนับสนุน เช่น

1. เรื่องนวตกรรมเกี่ยวกับ AI, พลังงานสะอาด และชีววิทยาศาสตร์ 
กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงและอาจรองรับการเติบโตในระยะยาว

2. เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่งอาจรองรับมูลค่าที่สูงกว่า
ด้วยตัวเลือกการลงทุนที่จำกัด ทุนจากทั่วโลกจึงไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และช่วยสนับสนุนราคา



ผมสรุปมาจาก คลิปนี้ ครับ

https://www.youtube.com/watch?v=rguHublkxCQ

>> The US stock market is in the biggest bubble in history. The entire economy is at risk.
เพื่อนๆ ชาวพันทิป และ Club VI 
มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่