เหนือกว่ารัก บทที่ 6 คีตาญชลี โดย....อุษณกร

กระทู้สนทนา
บทที่ 6  คีตาญชลี


วันนี้นกมารอตั้งแต่บ่ายสองโมง น่าสงสารมากเลย ไอ้ครั้นจะห้ามก็กลัวจะเสียน้ำใจ เห็นบอกว่าจะเอาหนังสือมาให้อ่าน เอาเข้าจริง...ไอ้ที่เอามาให้กลับไม่ใช่หนังสือแต่เป็นของบางอย่างแทน ฉันหวนนึกถึงพลางมองกล่องของขวัญสีฟ้า เขาคงต้องใช้เวลาห่อมันนานมากแน่ๆ นกเป็นคนที่ค่อนข้างละเอียดและโรแมนติกมาก เกือบทุกเทศกาลมักจะมีของขวัญที่ตั้งใจทำขึ้นเองมาให้ฉันเสมอ แต่ชิ้นนี้พิเศษหน่อยเพราะเป็นของชิ้นแรก ฉันจึงเก็บมันเอาไว้อย่างดี


ขวดแก้วใสขนาดย่อมภายในบรรจุทรายละเอียดหลากสีเรียงกันเป็นชั้นๆ คล้ายรูปคลื่น โรยชั้นบนสุดด้วยรูปดาวดวงเล็กๆ สีน้ำเงินเข้มแวววาวมากมาย เหมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวในห้วงจินตนาการ ฝาขวดอุดด้วยจุดยางสีเทาผูกด้วยโบว์สีฟ้า “น่ารักมากๆ ถูกใจฉันจริงๆ”
ไม่บอกก็รู้ว่าต้องใช้เวลาและฝีมือปราณีตมากแค่ไหน กว่าจะออกมาสวยงามได้ถึงขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายตัวโตสูงร้อยแปดสิบคนนี้จะทำงานละเอียดอ่อนแบบนี้ได้ ขณะที่บางคนผูกโบว์ยังไม่เป็นด้วยซ้ำ ภายในกล่องมีการ์ดเล็ก เขียนไว้สั้นๆ ว่า ขอให้ปลามีความสุขทุกวัน “ขอบใจนะ...ขอบใจที่นึกถึงเสมอ” ฉันเองก็อยากให้นกมีความสุขตลอดไปเช่นกัน ฉันเก็บการ์ดและขวดแก้วลงกล่องเหมือนเดิม ทุกครั้งที่มองดูคลื่นทรายและทะเลดาวในขวดแก้วใบนี้ อดที่จะนึกถึงผู้ชายนิสัยดีที่ชื่อว่า นครินทร์ไม่ได้เลย


ขวดแก้วบรรจุทราบ ประมาณนี้ล่ะค่ะ แต่ว่าจะขนาดเล็กกว่า แยะเลย




ขณะกำลังนึกถึงนกอยู่จู่ๆ เชาว์ก็โทรมาอีก ทำเอาฉันแปลกใจ เพราะปกติเราไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก เหมือนกับทุกครั้งที่เจอกัน เขาจะแค่ทักทายแล้วเป็นฝ่ายยืนฟังฉันกับนกคุยกันเสียมากกว่า นานๆ ถึงจะพูดออกมาสักที ทว่าแต่ละประโยคที่พูดออกมานี่สิ... พูดได้คำเดียวว่า ระคายหูพิลึก นิสัยของเขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้ว โดยเฉพาะเวลาขึ้นเวทีแสดงความคิดเห็น จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นราวกับเป็นคนละคนไปเลย ทำให้อดนึกเป็นห่วงไม่ได้


“ปลา ตกลงจะเอาอย่างไร วันเสาร์จะได้แวะเอาบัตรไปให้”

“วันเสาร์ไม่ว่าง...ต้องไปโรงเรียน เชาว์แข่งเมื่อไหร่”

“อาทิตย์หน้า ไปให้ได้นะปลา งั้น...เดี๋ยวเอาไปฝากที่บ้านแทนละกัน ชวนเพื่อนไปด้วยก็ได้นะ”

“นกไปได้หรือเปล่า”

“ก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีบัตรบอกนะ จะเอาไปให้ที่หน้างาน” เขามีน้ำใจให้เพื่อนเสมอ ข้อนี้ฉันรู้ดี

“แพงหรือเปล่า อย่าเลยเชาว์” ฉันท้วงขึ้นด้วยความเป็นห่วง

“แพงสิ” เขาทำเสียงสูงทว่าน้ำเสียงจริงจังมาก ฉันเลยไม่แน่ใจว่า เขาล้อฉันเล่นหรือเปล่า เลยถามออกไปตรงๆ

“เท่าไหร่เหรอ เดี๋ยวปลาคืนให้”

“ตลกน่า แค่ห้าบาทเอง”

“จริงเหรอ”

“ไม่เชื่อ ก็เอาร้อยหนึ่งละกัน”

“เว่อร์ไปแล้วเชาว์ แต่ถ้าปลาไป เชาว์ต้องชนะนะ”

“นกก็เสียใจแย่สิ”

“ทำไมล่ะ”ฉันพาซื่อถามไปอย่างนั้น

“ถ้าเทพศิรินทร์ชนะ กรุงเทพคริสเตียนก็ตกรอบนะสิ”เอ่อ...ใช่ ฉันลืมไปเสียสนิทใจเลยว่า โรงเรียนของนกก็เข้าแข่งขันด้วยเหมือนกัน พอถามออกไปเพิ่งนึกขึ้นได้ เลยพูดแก้เกี้ยวไป

“ก็ไม่แน่นะเชาว์ ยังต้องผ่านสวนกุหลาบกับอำนวยศิลป์ไม่ใช่เหรอ”

“รู้ได้ไง ใครเล่าให้ฟังเหรอ นกเหรอ”

“เปล่า โอม...ต่างหาก”

“ไอ้โอมเด็กสวนนะเหรอ”

“รู้จักด้วยเหรอ”

“อืม...นักบอลเหมือนกัน ปลาแค่นี้ก่อนนะ แล้วเจอกัน” เชาว์ตัดบทดื้อๆ ตามเคย ฉันเลยวางสาย ไม่ทันไรโทรศัพ์ก็ดังขึ้นอีก สงสัยนกคงจะโทรมา ปกติ เขาจะโทรมาเวลาประมาณนี้เกือบทุกวัน ก็ดีเหมือนกัน...กำลังคิดว่าจะโทรไปหาอยู่พอดี ฉันคิดพลางยกหูรับแล้วกรอกเสียงไปตามสาย

“กินข้าวหรือยังปลา” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร นกก็ชิงถามขึ้นเสียก่อน

“เรียบร้อยแล้ว นกล่ะ”

“กินลูกชิ้นลองท้องไปสองไม้ เดี๋ยวค่อยกลับไปกินอีกที เออ...ปลา ตกลงงานบอลจะเอาไง”

“ยังไม่รู้เลย เอาไงดีล่ะ แต่ถ้าไป ปลาคงชวนสาวๆ ไปด้วยแหล่ะ นกชอบล่ะสิ ฮ่าๆๆ ” ฉันแซวนกพลางหัวเราะร่วน นึกในใจว่า จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ไม่ชอบผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆ หลายๆ คน ต่อให้เป็นนกก็เถอะ ทว่าพอได้ยินเขาตอบกลับมา ทำเอาฉันอึ้งไปเลย

“อะไรปลา อย่ามาเหมารวมแบบนี้สิ ไม่รู้หรือว่านกนะรักเดียวใจเดียวนะจะบอกให้” ฉันไม่ได้ตอบกลับในทันที แต่พยายามจะหาคำตอบให้ตัวเองว่า มีความหมายอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า ก่อนจะตอบกลับไป

“ไม่ไปดีกว่า เดี๋ยวปลาโทรไปบอกเชาว์เอง”

“ทำไมล่ะปลา มีอะไรหรือเปล่า” นกถามด้วยความเป็นห่วง แต่ฉันไม่อยากจะพูดถึงมันอีกจึงเฉไฉไปเรื่องแทน

“ยังไม่ได้อ่านหนังสือเลยสักตัว นี่ก็ใกล้จะสอบเทียบแล้วด้วย นกไปสิ ไปเชียร์เพื่อนๆไง”

“คงไม่ล่ะ นกก็อยากอ่านหนังสือเหมือนกัน”

“งั้นเหรอ ว่าไง...ว่าตามกันอยู่แล้ว นกแค่นี้ก่อนนะ พอดีแม่จะใช้โทรศัพท์”

“โอเค” ฉันพูดตัดบทพลางวางหูโทรศัพท์ สมองยังคิดถึงเรื่องงานบอลจัตุรมิตรอยู่เลย สาเหตุที่ฉันไม่ไปดูแข่งบอลก็เพราะอยากรักษาน้ำใจเพื่อนทั้งสองคนเอาไว้ เลยคิดว่า ถ้าเลี่ยงได้ก็คงจะดี เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว วันรุ่งขึ้นจึงได้โทรไปบอกเชาว์ แม้ว่าเขาจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ขณะที่ฉันสิกลับรู้สึกแย่ไปเลย


ความอลังการงานสร้างของฟุตบอลประเพณีจัตุรมิตรค่ะ ปัจจุบันก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ค่ะ




เป็นเวลาปีกว่าแล้วที่ฉันต้องเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มเพื่อนที่สอบเทียบด้วยกัน นั่นหมายความว่าขณะที่มิตรภาพของเราสามคนดำเนินอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับหนุ่มเทคโนคนนั้นก็เริ่มงอกงามขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จำได้ว่าฉันเคยเล่าให้นกฟัง ว่าฉันรู้จักพี่กฤตมาก่อนจะเจอพวกเขา


“เล่มนี้หนังสือใหม่ ยืมได้แค่สามวันนะคะ” เสียงบรรณารักษ์จำเป็นเพื่อนของฉันเอง กำลังพูดกับกลุ่มเด็กเทคโนที่เข้ามายืมหนังสือในห้องสมุด ขณะที่ฉันยืนต่อคิวยืมหนังสือเช่นกันจึงได้หันไปมอง พอเห็นว่าเป็นใครก็อดที่จะนึกค่อนอยู่ในใจไม่ได้

“โถ...นึกว่าใครที่ไหน ที่แท้ก็พ่อคนปากกล้าวันนั้นนั่นเอง” ฉันนึกพลางแสยะยิ้มออกมา เมื่อได้ยินบทสนทนาแสนเลี่ยนที่ตามมา

“ถ้าเอามาคืนหลังวันที่สามจะโดนปรับหรือเปล่าครับ แต่ถึงโดนพี่ก็ยอม” ฉันไม่รู้ว่าพี่กฤตตั้งใจพูดให้คนอื่นได้ยินหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ ฉันคนหนึ่งล่ะที่ได้ยิน พลางนึกในใจว่า “โอย...พูดออกมาได้ไง ฟังแล้วอยากจะอ้วก หวังว่ายายแอ๊วคงไม่บ้าจี้ตามไปด้วยหรอกนะ” ก่อนจะโพล่งออกไปด้วยความรำคาญปนหมั่นไส้


“นี่...จะคุยกันอีกนานไหม คนอื่นเขาจะได้ยืมบ้าง”

“เออใช่...ไปจีบกันที่อื่นเลยไป” หนึ่งในเพื่อนพี่กฤตแขวะเข้าให้ ฉันฟังแล้วสะใจจริงๆ  

“เฮ้ยจีบเจิบที่ไหน เอ่อ น้องชื่ออะไรครับ”

“แอ๊วค่ะ” ยายแอ๊วลอยหน้าลอยตาตอบ แถมส่งยิ้มกว้างให้อีกต่างหาก แต่พอหันมาเห็นสายตาที่บ่งบอกถึงความไร้สาระเต็มทีของฉัน เท่านั้นแหล่ะ หุบยิ้มแทบไม่ทัน ขณะที่พี่กฤตยังคงหยอดต่อไป ไม่ได้สนใจเลยว่า เพื่อนๆ จะแซวอะไรบ้าง ช่างไม่รู้ตัวบ้างเลย

“น้องแอ๊วชอบสีอะไรครับ”

“น้องเขาจะชอบสีอะไร แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับเอ็งด้วยวะ ไอ้กฤต”

“พวกเอ็งไม่เข้าใจหรอก ว่าแต่น้องแอ็วชอบสีอะไร พี่ก็ชอบสีนั้นด้วยครับ ใช่ไหมจ๊ะน้องปลา...” เขายังไม่เลิกหยอก ขณะที่ฉันชักเบื่อที่จะต้องคอยแล้ว แต่แล้วจู่ๆ ก็หันมาถามเอาดื้อๆ ทำเอาฉันมึนไปเลย ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของพ้องเพื่อน ฉันเลยเหลืออดโพล่งออกไป

“ที่นี่ห้องสมุดนะ ถ้าอยากจะคุยก็ออกไปข้างนอก เสร็จหรือยังแอ๊ว มัวแต่คุยอยู่ได้” พูดจบฉันก็หันกลับมาเล่นงานยายแอ๊วทันที น้ำเสียงห้วนห้าวผสมกับท่าทางเอาเรื่องของฉันทำให้เสียงโห่ฮิ้วคิกคักเงียบไปเลย

“เสร็จแล้วจ๊ะ” แอ๊วตอบลนลาน คงจะเกรงใจฉันอยู่ไม่น้อย ขณะที่ฉันรู้สึกไม่ค่อยชอบขี้หน้าพวกพี่เขาสักเท่าไหร่ ก่อนทุกอย่างจะเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเราได้รู้จักกันมากขึ้น และยิ่งมากขึ้นเมื่อพี่กฤตโทรมาหาฉัน

“สวัสดีครับ ขอสายปลาหน่อยครับ”

“ใครต้องการจะพูดด้วยคะ” ฉันอดถามออกไปด้วยความแปลกใจไม่ได้

“รุ่นพี่ครับ” คนพูดทำเสียงอึกๆ อักๆ กว่าจะตอบกลับมาได้ ทว่าฉันกลับกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ

“ใครวะโทรมาลองดี เดี๋ยวเถอะจะป่วนให้มึนไปเลย ว่าแต่...เสียงคุ้นๆ นะ แต่คงไม่ใช่หรอก เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” ฉันนึกค้านอยู่ในใจ ก่อนจะถามออกไปอย่างไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก

“รุ่นพี่ที่ไหนกัน ฉันเรียนอยู่โรงเรียนหญิงล้วนนะยะ ไปเอาเบอร์นี้มาจากที่ไหน รีบบอกมาเร็วเลย เดี๋ยวเถอะ...”ฉันใส่เป็นชุด แทบไม่หยุดหายใจ หรือเปิดโอกาสให้ปลายสายได้พูดแก้ตัวสักคำ จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกฟาก

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นั่นปลาใช่ไหม พี่กฤตเองครับ”

“กฤตไหน...อย่ามาอำกันเสียให้ยากเลย” ฉันยังแหวใส่ไม่เลิก ไม่เคยนึกเลยว่าคนที่โทรมาจะเป็นหนุ่มเทคโนคนนั้นจริงๆ “ก็แหม...เห็นเล่นตัวอยู่เป็นนาน จนเราเกือบจะถอดใจอยู่แล้วเชียว นี่ถ้าไม่ใช้ไม้ตาย บอกว่าจะเลิกเขียนจดหมายไปหาแล้วละก็ คงไม่โทรมาหรอก” ฉันนึกขวางอยู่ในใจ แต่ไอ้ที่คิดเอาไว้จะใช่หรือเปล่า อันนี้ไม่รู้จริงๆ


วันนั้นกว่าจะคุยกันรู้เลย คาดว่าพี่กฤตคงจะปวดหัวน่าดู แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี เหมือนกับความสัมพันธ์ของเราสองคนที่ดีวันดีคืนรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ไม่ค่อยจะได้เจอกันสักเท่าไหร่ นกกับเชาว์เสียอีกที่ใช้เวลาอยู่ด้วยมากกว่า อาจเป็นเพราะอย่างนี้เองที่ทำให้เราต่างดึงดูดความสนใจซึ่งกันและกัน ทำให้ความสัมพันธ์พัฒนาข้ามขั้นของคำว่าเพื่อนไปในที่สุด


“ปลา พรุ่งนี้พี่ไปหาตอนเลิกเรียนนะ” จู่ๆ วันหนึ่งพี่กฤตก็พูดขึ้นขณะที่โทรมาหา ทำเอาฉันงงไปเลย

“ค่ะ” ฉันรับคำสั้นๆ ทว่าในใจคิดไปต่างๆ นานา “เอ...หรือว่า เขาก็สนใจเราอยู่เหมือนกัน เอาวะ...เป็นไงเป็นกัน” ฉันนึกในใจ


วันรุ่งหลังเลิกเรียนพี่กฤตก็มาหาฉันจริงๆ เราสองคนนั่งรถสาย 65  อ้อมไปอ้อมมา ก่อนจะไปลงหาไอศครีมกินที่ร้านทิพย์รสแถวเตาปูน จากนั้นพี่เขาก็นั่งรถเมล์ไปส่งฉันที่หน้าปากซอยบ้าน แค่นั้นจริงๆ ฉันเลยยังไม่ค่อยแน่ใจว่า สิ่งที่เราสองคนทำนั้นเรียกว่า คบกัน หรือเปล่า หรือว่าเป็นแค่การที่รุ่นพี่พารุ่นน้องไปกินไอติมเท่านั้น คิดแล้วยังสับสนไม่หาย กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ใช้เวลานานทีเดียว


ร้านไอติมไทยแท้ ทิพยรส เตาปูน เมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว ตอนนี้โกอินเตอร์ปรับปรุงจนแทบจำไม่ได้
รสชาตไอติมรสไทย เช่นทุเรียนนี่ สุดยอดดดค่ะ


อันนี้รสชานมไทยค่ะ ถ้าเดาไม่ผิดนะ



ปล.ขอบคุณรูปทั้งหมดจากอินเตอร์เนตค่ะ




มีต่อค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่