รถประจำทาง มุมมองที่สี่ (2 : จบมุมมอง)

กระทู้สนทนา
รถประจำทาง
 
              มุมมองที่สี่ (2 : จบมุมมอง)
 
              ลงที่ป้ายรถเมล์ป้ายถัดไปเลยก็แล้วกัน...คิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงตัดสินใจรีบลุกจากที่นั่ง เบียดแทรกตัวเองผ่านช่วงเข่าของเขาที่ขวางทางอยู่ออกไป แต่เขากลับรู้ทันและไม่ปล่อยให้ฉันได้ทำอย่างนั้นโดยง่าย

              ข้อมือถูกฉุดดึงเหนี่ยวรั้งและบีบอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บแปลบ แล้วเขาก็ลุกพรวดตามมาติด ๆ อย่างที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว หลังจากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามสัญชาตญาณ ใช่...ฉันหมายความตามที่พูดจริง ๆ

              เมื่อถูกฉุดแบบไม่รู้ตัวจนร่างกายเซถลากลับไปทางด้านหลัง ใจก็หล่นวูบจนแทบจะหายไป พอข้อมือถูกพันธนาการจนเจ็บ สมองก็ตีความว่าขณะนี้กำลังถูกคุกคาม และสิ่งเหล่านี้ก็คือความไม่ปลอดภัยในชีวิต

              เสี้ยววินาทีนั้นร่างกายจึงตอบโต้ไปโดยอัตโนมัติ ฉันหมุนตัวพร้อมยกฝ่ามือขึ้นและเหวี่ยงกลับไป โดยไม่ได้เล็งผลแห่งการกระทำใด ๆ เลย นอกไปเสียจากการเอาตัวรอดจากการถูกจับยึดไว้เท่านั้น

              ทว่าฝ่ามือเจ้ากรรมก็ดันเข้าปะทะตรงจุด ตบเข้าฉาดใหญ่ที่แก้มของเขาพอดิบพอดี อย่างน่าเหลือเชื่อและน่าเขกกะโหลกตัวเองชะมัด แน่นอนว่านี่เป็นการกระทำและผลลัพธ์ที่น่าตกใจสำหรับฉัน เพราะรู้ดีแก่ใจอยู่แล้วว่ามันจะทำให้เขายิ่งทวีความโมโหขึ้นไปอีกหลายเท่า

              “ต้องถึงขนาดลงไม้ลงมือ ต้องตบหน้ากันเลยหรือวะ อีนี่”

              ใบหน้าที่แดงจนไม่คิดว่าจะแดงไปกว่านี้อีกแล้วของเขากลับยังคงแดงขึ้นได้อีก คงเป็นด้วยแรงตบผสมกับความเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า ร่างของเขากำลังสั่นอย่างหนัก เหลือบมองลงต่ำเห็นหมัดกำลังกำแน่น ไม่ต้องวิเคราะห์หรือคิดพิจารณาก็รับรู้ได้เองว่า เขาคงเกิดอยากจะชกฉันให้สะใจขึ้นมาจริง ๆ สักหมัดเป็นแน่

              “เออ...กับคนแบบน่ะ แค่พูดเฉย ๆ คงไม่เข้าหูเข้าหัวสมองหรอก ต้องตบต้องออกแรงลงไม้ลงมือกันหนัก ๆ แบบนี้นี่ละ จะได้ซึมผ่านเข้ากะโหลกหนา ๆ ของได้บ้าง”

              โอ๊ย...นี่ฉันพูดอะไรออกไปนี่ ทำไมยังกล้าเติมเชื้อเพลิงเข้าไปอีกก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิด ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแท้ ๆ ว่าสถานการณ์นี้ฉันควรต้องสงบปากสงบคำไว้ แต่ปากมันก็ดันไวกว่าความคิดทุกทีสิน่า

              กลายเป็นว่าต่างคนต่างยืนตะเบ็งใส่กันไม่ยั้ง ใช้ความดังและคำหยาบคายแสนรุนแรงต่าง ๆ นานาเพื่อข่มกัน ใช้ความโกรธเกรี้ยวซึ่งถูกผลักดันโดยอารมณ์เดือดดาลจากภายใน เข้าต่อสู้ห้ำหั่นเพื่อเอาชนะในแบบที่ไม่ควรจะเป็น ทว่าก็กลับไม่มีใครในเวลานี้ยอมถอย หรือลดราวาศอกอ่อนข้อให้กันเลยสักนิด

              “หนอย มันจะมากไปแล้วนะโว้ย พอเห็นกูยอมให้หน่อยก็เอาใหญ่เหมือนอย่างที่ทำทุกที ถึงขนาดกล้าลงไม้ลงมือตบกูแบบนี้ ถ้าเกิดกูเอาจริงแล้วเจ็บตัวขึ้นมา อย่ามาหาว่ากูรังแกผู้หญิงทีหลังนะ”

              “ทำไมกูจะพูดไม่ได้ ทำกูก็คือรังแกผู้หญิงนั่นแหละ แล้วก็นะ สำหรับน่ะมากกว่านี้กูก็กล้าทำโว้ย ไอ้ผู้ชายเฮงซวยอย่างโดนแบบนี้ก็สมควรแล้วไง อ้อ ไม่สิ ควรต้องโดนให้หนักกว่านี้เยอะ ๆ ถึงจะสาสมสะใจกู”

              ทุกอย่างมันสับสนวุ่นวายจนเกินระงับยับยั้งไปแล้ว ฉันรู้สึกหูอื้อตาลายอย่างหนักชนิดที่จับภาพหรือได้ยินอะไรไม่ถนัดเลย รู้สึกร่างกายเบา ๆ ลอย ๆ อย่างไรพิกล รอบกายก็ดูชุลมุนมั่วซั่วไปหมด จนฉันเองก็จำไม่ได้และไม่แน่ใจเลยว่านับจากวินาทีนี้ ฉันได้พูดอะไรออกไปบ้าง หรือได้ทำอะไรที่หนักหนาสาหัสกว่านี้ออกไปอีก

              จำได้เพียงมีใครบางคนจับพวกเราทั้งสองแยกออกจากกัน ฉันถูกจับให้ถอยห่างออกมาจากบานประตูรถ ส่วนเขาก็ถูกกันและถูกบังคับให้ต้องลงจากรถเมล์คันนี้ไป
 

              “อย่าให้กูเจอวันหลัง อย่าเฉียดอย่าโผล่หน้ามาให้กูเห็นอีกนะ กูเอาตายไม่ยั้งมือแน่ ๆ จะเอาให้นอนหยอดน้ำข้าวต้ม ให้ทรมานจนต้องร้องขอชีวิตกูเลย”

              “โอ๊ย กลัวมากค่ะ นอกจากกลัวแล้วยังรำคาญเสียงนกกาหมาเห่าด้วยค่ะ ก็มีดีแค่เห่าหอนเหมือนอย่างทุกทีนั่นละ แน่จริงก็ขึ้นมาตอนนี้เลยสิวะ ยิ้ม
 

              และนี่ก็คือสองประโยคสุดท้ายของกันและกันที่ฉันจำได้ ทุกอย่างที่พูดออกไปก็เพื่อความสะใจของตัวเองแท้ ๆ ฉันแค่อยากระบายทุกสิ่งออกมา ทิ้งความอัดอั้นที่เก็บกดภายในใจทั้งหมดไปกับคำพูดพวกนั้น

              ก็แค่อยากรู้สึกเป็นผู้ชนะ แค่รู้สึกสะใจที่ได้เห็นเขาโมโหโกรธาหัวฟัดหัวเหวี่ยง ทั้งที่อันที่จริงฉันก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

              ประตูปิดลงพร้อม ๆ กับรถเคลื่อนตัวออก ทิ้งเขาไว้ให้ยืนอยู่ลำพังที่ข้างหลังตรงจุดเดิมอันมืดสลัวตรงนั้น ให้เขากลายเป็นคนเก่า เป็นเรื่องราวแห่งอดีตที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไป เป็นตัวตนซึ่งเลือนลางและจางหายไปกับความหม่นมัวของระยะห่างแห่งกาลเวลา

              เสียงเอะอะด่าทอเบาบางจนเหลือเพียงเสียงแว่ว กระทั่งความเงียบได้ดึงบรรยากาศสงบสุขตามปกติให้กลับคืนมาสู่รถอีกครั้ง สติซึ่งเคยถูกอารมณ์พลุ่งพล่านสาดซัดจนกระเจิดกระเจิงไปไกล ก็หวนคืนกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้งหนึ่ง

              ผู้โดยสารทั้งคันมีฉันกำลังยืนอยู่เพียงคนเดียว ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยของใครสักคนที่เบาที่สุดให้ได้ยิน ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาทำอะไรของตนอยู่อย่างขมักเขม้น แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่รู้ไม่ชี้ต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเริ่มต้นและจบไปเมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา

              ทำราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ไม่มีเรื่องร้ายหรือเหตุโกลาหลใด ๆ สักนิดมาก่อนเลยบนรถคันนี้

              มือขวาจับกำเสาราวรถแน่นเสียจนรู้สึกเจ็บ ก้มหน้ามองสำรวจตรวจสอบสารรูปของตัวเอง ที่ต่อให้ไม่มองก็รู้สึกได้เองว่าคงโทรมจนดูไม่ได้ขนาดไหน...และฉันก็รู้ดีว่าทุกคนบนรถคันนี้กำลังมองมาที่ฉัน กำลังตั้งใจเงี่ยหูฟัง ในใจของพวกเขากำลังคิดอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ได้เป็นไปในทางที่ดีเท่าไหร่นักแน่นอน

              พวกเขาแกล้งไม่มองทั้งที่อยากเห็นอยากรู้จนตัวสั่น ทำเป็นไม่ฟังไม่ใส่ใจทั้งที่อยากได้ยินจนแทบทนฝืนเก็บอาการไว้ไม่ไหว ใช่...ฉันรู้ว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น เพราะมันก็เป็นแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไร และก็คงจะเป็นแบบนี้ตลอดไปนั่นละ

              ถอนหายใจหนัก ๆ และบอกตัวเองให้เลิกสนใจสายตาของคนอื่น พาร่างกายอันปวกเปียกให้โซซัดโซเซไปจนถึงเบาะนั่งเดี่ยวฝั่งตรงข้ามกับที่นั่งเดิม แล้วจึงทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงไปอย่างคนสิ้นไร้เรี่ยวแรง

              จบกันเสียที...ถอนหายใจหนักออกมาอีกหน แต่คราวนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากความรู้สึกใดกันแน่ ปลอดโปร่งโล่งสบายคล้ายคนที่ปลดเปลื้องสิ่งพันธนาการทุกอย่างออกไป แต่ก็กลับหนักในอกแถมยังรู้สึกปวดมวนในช่องท้องแบบแปลก ๆ

              ดีใจที่อารมณ์ความรู้สึก รวมถึงสถานการณ์อันคลุมเครือเรื้อรัง คาราคาซังมานานแสนนานทั้งหมดจะได้หายและจบลงไป แต่ความเสียใจเสียดายในวันชื่นคืนสุขที่เคยได้สร้างสัมพันธ์ร่วมกันมา ก็กลับผุดแทรกขึ้นมาให้ต้องเจ็บแปลบตรงกลางใจเสียอย่างนั้น

              มันคืออะไร เป็นอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนกันแน่ บอกตามตรงว่าฉันไม่รู้หรอก และก็คงจะไม่มีวันรู้ตลอดไปนั่นละ

              ทอดสายตาเหม่อมองผ่านกรอบหน้าต่างออกไปสู่ภายนอก ภาพวิวทิวทัศน์อันมืดสลัวหม่นมัวซัวเลื่อนไหลต่อเนื่องอย่างไม่สะดุดหยุดหย่อน สายลมโกรกไปตามแต่จังหวะที่มันจะโบกพัดมา ไอเย็นนำความสดชื่นให้คืนกลับมาสู่สภาพร่างกายและจิตใจอีกครั้ง

              พอเริ่มรับรู้ได้ถึงความสุขสงบ ภาพเรื่องราวแห่งอดีตที่ราวกับจดจ่อเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว ต่างก็พร้อมใจกันหลั่งไหลออกมาจากสายธารความทรงจำอย่างไม่ขาดสาย อาจเพื่อให้ฉันได้ใช้เวลาคิด ได้มีเวลาให้ไตร่ตรอง ได้ทบทวนทุกแง่มุมจากทุกความจริง ซึ่งผ่านมาและผ่านไปโดยละเอียดก็เป็นได้

              จะว่าอย่างไรดีล่ะ...เอาเป็นว่าความจริงแล้วฉันรู้ดี ฉันว่าฉันค่อนข้างจะเข้าใจเป็นอย่างดีเลยด้วยซ้ำ ว่าทุกเรื่องราวทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดมา ตั้งแต่วันแรกที่ฉันและเขาตัดสินใจคบหาดูใจกัน จนกระทั่งเดินผ่านมาจนถึงบทสรุปในวันนี้

              ความจริงแล้วเขาไม่ได้ผิดอะไรเลยสักนิด และฉันก็เหมือนกันที่ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด

              หรือหากจะให้มองกลับในอีกแง่มุมหนึ่ง ก็อาจบอกได้เหมือนกันว่า บางที...ก็เราทั้งคู่นี่ละที่ไม่มีใครเป็นฝ่ายถูกมาตั้งแต่แรก

              ฉันและเขา...เราสองคนไม่ได้มีอะไรดีเลิศหรือพิเศษแตกต่างกว่ากันเลยสักนิด ดังนั้น จึงไม่สมควรมีใครที่จะต้องถูกผลักให้กลายเป็นผู้ร้าย ต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นแต่เพียงผู้เดียว หรือหากไม่อย่างนั้น ก็ต้องเป็นเราทั้งคู่นี่ละที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันเหมือน ๆ กัน
 

              “เธอน่ารักดี มาเป็นแฟนกันไหม”
 

              คำพูดห้วน ๆ อันแสนตรงไปตรงมาคำนี้เมื่อแรกพบ สาดใส่ความประทับใจมายังฉันเต็ม ๆ รู้สึกใจเต้นขึ้นมาดื้อ ๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย อดหวั่นไหวไม่ได้เลยกับความน่ารักสดใส ทั้งยังเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นอกมั่นใจสุดพลังของเขา

              ยิ่งประกอบเข้าด้วยกันกับรูปร่างสูงโปร่งสมส่วน ใบหน้าหล่อเหลาที่มองจากมุมไหนก็ดูดีหล่อเหลาไปหมด แถมท้ายด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่ทำให้สาว ๆ ต้องหลงใหลได้ปลื้มมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ด้วยแล้ว ทุกอย่างก็เพอร์เฟกต์จนยากจะปฏิเสธ
 

              “จะดีหรือ แก”

              “รู้จักเขาใช่ไหม เจน”

              “ตานั่นน่ะตัวพ่อยังต้องกราบ เสือผู้หญิงตัวจริงเสียงจริงเลยนะ ควงสาวแต่ละวันแทบจะไม่ซ้ำหน้าเลยมั้งนั่น ข่าวก็มีแต่เรื่องเสีย ๆ หาย ๆ ใช้เงินว่าเก่งแล้วนะ เปลี่ยนหน้าผู้หญิงเก่งกว่าใช้เงินอีกหลายเท่าเลยเชียว แก”
 

              ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ผู้ชายก็ต้องอย่างนี้สิถึงจะเป็นสีสันมีรสชาติในชีวิตดี สาวที่ไหนก็ชอบหนุ่มแบดบอยเสน่ห์แรงไม่ใช่หรือไง...เวลานั้นที่เหล่าบรรดาเพื่อนต่างออกปากร้องปราม ฉันเลือกที่จะไม่ตอบอะไร ทำเพียงส่งยิ้มให้แล้วทำหน้าสวย ๆ รับคำที่เพื่อนเตือนไว้เท่านั้น

              แล้ววันต่อมาฉันและเขาก็ควงกันไปไหนต่อไหนให้ทั่วไปหมด ตัดสินใจคบเป็นแฟนตั้งแต่วินาทีนั้น

              ว่าใครโทษใครไม่ได้เลย เป็นพวกเราสองคนที่ตัดสินใจกันเอง ตอนนั้นทั้งฉันและเขาต่างก็รู้เช่นเห็นชาติ รับรู้นิสัยใจคอของกันและกันดีอยู่แล้ว เวลานั้นเอง...ที่พวกเราทั้งคู่ต่างก็คิดว่ายอมรับทั้งความคิดและการกระทำของอีกฝ่ายได้

              ฉันรู้แต่แรกแล้วละว่าเขาเป็นคนอย่างไร ก็เหมือนกันกับที่เขารู้ว่าฉันเป็นอย่างไรนั่นละ

              แต่ไหนแต่ไรเขาก็เป็นคนชอบผิดนัด เพราะเป็นพวกหลงตัวเอง มั่นใจในตัวเองสูงลิบ ก็เลยไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของคนอื่นเลยสักเรื่องมาตลอด

              มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันจำได้ชนิดติดตาตรึงใจไม่มีวันลืมเลย เขานัดฉันไปเที่ยวห้างสรรพสินค้ากันสองคน วางแผนสวยหรูว่าจะพากันไปกินมื้อเที่ยงยังร้านอาหารญี่ปุ่นซึ่งเพิ่งมาเปิดสาขาใหม่ที่นี่ พออิ่มแล้วก็ต่อด้วยดูหนังภาคต่อชื่อดังที่เพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์

              บ่ายแก่ ๆ ตอนหนังจบก็มาเดินดูข้าวของ ซื้อเสื้อผ้าให้กันสักคนละสองชุด และจบด้วยการหาข้าวเย็นในร้านอาหารหรูกินอีกสักมื้อ ก่อนเขาจะนั่งรถมาด้วยกันเพื่อส่งฉันกลับบ้าน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบนรถต่ออีกนิดหน่อย ยืดเวลาให้ได้ออดอ้อนร่ำลากันต่ออีกพักหนึ่ง

              โรแมนติกชะมัดเลยใช่ไหม ก็นั่นละ ฉันก็คิดแบบนั้น วาดฝันไว้เสียสวยหรู วางแผนอย่างดิบดีขนาดนี้แท้ ๆ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่มา ปล่อยให้ฉันรอเก้อไปหลายชั่วโมงอยู่ที่ตรงนั้น ด้วยสาเหตุแค่เพราะคืนก่อนวันนัด เขาดันไปเลี้ยงสังสรรค์ดื่มกินกับเพื่อนของเขา เมาหนักเสียจนมาตื่นฟื้นคืนสติก็เมื่อเวลาเย็นของวันนัดแล้ว

              โทรศัพท์มือถือก็โทรฯ ไม่ติด จะถามว่าเอาอย่างไรต่อก็เลยทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทำได้เพียงแค่คิดไปเองเรื่อยต่าง ๆ นานา จะกลับก็ไม่กล้าเพราะเผื่อเขาออกจากบ้านมาแล้ว ถึงสถานที่นัดก็จะสวนทางไม่เจอฉันอีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่