เหนือกว่ารัก เป็นนิยายแนวทดลองงานเขียนปัจจุบันของมนต้นไม้ที่เขียนขึ้นมา หากมีข้อแนะนำอย่างไร โปรดจัดเต็มให้เหมือนเดิมนะคะ (เรื่องนี้ไม่มีสต๊อก เขียนไปลงไป หากเจอคำผิดอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของคนเขียน โปรดอภัยให้ด้วยนะคะ แอบอ้อน ฮ่าๆๆ)
เหนือกว่ารักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก มิตรภาพ และความผูกพันธ์อันยาวนานของคนสามสี่คน ที่เอามาจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนในบางส่วน และอีกหลายส่วนถูกแต่งเติมขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียน หากพาดพิง อ้างอิงไปถึงผู้หนึ่งผู้ใด หรือไปพ้องกับเรื่องราวของใครเข้าโดยบังเอิญ ต้องขออภัยเอาไว้ด้วยค่ะ ส่วนเรื่องราวจะดำเนินไปแบบไหนอย่างไร ต้องตามอ่านกันต่อไปค่ะ
บทที่ 3
ก่อนไปค่ายอัมพวาสองวันผมจำได้ว่าโทรไปหาเชาว์ แต่ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาเจอพวกเราก่อนจะไปรวมพลกันที่จุฬาหรือเปล่า เพราะตอนที่โทรไปเขายังกลับไม่ถึงบ้านจึงได้แต่ฝากบอกเอาไว้ ในตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าเชาว์มีน้องสาว และเหมือนว่าจะเรียนอยู่ที่เดียวกับปลาเสียด้วย ผมไม่รู้ว่าปลารู้หรือเปล่า แต่คงได้คุยกัน พอถึงวันนัดผมพาเพื่อนสนิทมายืนรออยู่ก่อนแล้วพอปลามาถึงก็ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ผมไม่ได้พูดอะไรได้แต่ส่งยิ้มให้ คิดในใจว่าเอาไว้ค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง ก่อนจะแนะนำเพื่อนๆให้รู้จักกับพวกปลา
“คนนี้หนึ่ง ส่วนตัวดำๆนี่ดุล” ผมแนะนำพลางหันมาส่งยิ้มยียวนให้เพื่อน พอเห็นพวกมันทำท่าแยกเขี้ยวเลยรีบหันกลับไป นึกในใจว่า เอาแล้วงานนี้มีฮานอกรอบแน่ๆ โชคดีที่ปลาแนะนำเพื่อนๆของเธอเสียก่อน พวกมันเลยไม่มีโอกาสเอาคืน ผมเลยรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
“สวัสดีค่ะ ปลานะคะ คนนี้อุ๊ คนนี้นก ชื่อเหมือนกันเลย งั้นเรียกว่า นกทรายแก้วละกัน ส่วนคนสวยๆนี่ชื่อแอน”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมหนึ่งครับ”
“ผมดุลครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”ผมพูดส่งท้ายพลางส่งยิ้มให้ตามปกติ ก่อนจะหันมามองหน้าไอ้สองตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นพวกมันยิ้มอย่างมีเลศนัย กำลังนึกด่าในใจว่า เผลอไม่ได้ไอ้พวกนี้ ก็พอดีปลาถามขึ้นเสียก่อน
“เชาว์ล่ะ ยังไม่มาหรือนก”
“ไม่เห็นนะ นั่นไงพูดถึงก็มาพอดี ไง…เมื่อคืนซ้อมหนักสิเพื่อน” ผมตอบปลาพลางหันไปเห็นเชาว์เดินมาสมทบพอดี ความจริงผมอยากจะถามให้มากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยอยากเสวนากับผมสักเท่าไหร่ กลับหันไปให้ความสนใจปลาแทน
“เออ…ใกล้ลงแข่งแล้ว หวัดดีปลา”
“หวัดดีเชาว์ แข่งอะไรกันเหรอ บอลใช่ป่ะ”
“อืม” คำตอบสั้นๆของเชาว์ทว่ากลับสะกิดใจผมได้ “หรือแข่งบอลที่ว่า จะเป็นงานจัตุรมิตร” ผมนึกเล่นๆอยู่ในใจ ขณะได้ยินเสียงใสๆของปลาแนะนำเพื่อนๆให้เชาว์รู้จัก
“เพื่อนๆ นี่เชาว์จากเทพศิรินทร์ ส่วนพวกนั้นลืมบอกไปว่ามาจาก…”
“กรุงเทพคริสเตียน ปลาเคยเล่าให้ฟังแล้วไง จำไม่ได้เหรอ” แอนพูดขึ้นขณะส่งยิ้มหวานให้พวกเรา ไม่ใช่สิ...น่าจะยิ้มให้ไอ้เสือยิ้มยากมากกว่า ผมคิดในใจไม่รู้ว่าคนอื่นทันสังเกตเห็นเหมือนผมหรือเปล่า รู้แต่ว่าตอนนี้แอนทำปลาเขินน่าดู
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็นี่ แอน อุ๊ นกทรายแก้ว และโน้นดุล กับหนึ่งเพื่อนนก” ปลาผายมือมาทางพวกผมพลางแนะนำแทนเสร็จสรรพ ไอ้เสือยิ้มยากจึงเอ่ยทักทายสาวๆ ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้พวกผม ด้วยท่าทางยียวนกวนบาทาเหมือนเคย ปลาคงเห็นและคงสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้พูดอะไร ตอนหลังผมจึงเล่าให้ฟังว่าพวกเราเคยเล่นบอลด้วยกันมาก่อน
หลังจากนั้นพวกเราพากันมาที่นัดหมาย ผมและพวกเพื่อนๆยังคงเกาะกลุ่มกันเป็นส่วนใหญ่ มีแต่เชาว์ที่ปลีกตัวออกไป เขามักจะเป็นเช่นนี้เสมอ จากนั้นพวกเราจึงออกเดินจนกระทั่งมาถึงท่าเรืออัมพวาจึงรีบทานข้าวกล่องที่พี่ๆเตรียมไว้ให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะทยอยลงเรือไป พวกสาวๆลงไปก่อน พวกผมจึงค่อยตามลงไป กว่าสามสิบชีวิตที่ยัดเยียดเบียดกันในเรือหางยาวขนาดใหญ่สองลำ พอรวมเข้ากับน้ำหนักกระเป๋าและข้าวของที่เตรียมมาก็แทบล่มไปเลย ผมมองกาบเรือที่ปริ่มน้ำแล้วนึกเสียวไส้ พลอยทำให้นึกห่วงปลาขึ้นมา
ความที่ไม่รู้จริงๆว่าปลาว่ายน้ำเป็นหรือเปล่าจึงได้มองหาดู ผมพยายามเพ่งมองเข้าไปในตัวเรือจนกระทั่งสายตาปรับเข้ากับความมืดได้ จึงค่อยเห็นว่าพวกเราลงเรือลำเดียวกันหมด ยกเว้นเชาว์...ผมไม่ยักเห็นเขา ขณะที่มองอยู่นั้นเอง จู่ๆปลาก็หันมา แม้จะมืดมากแต่แสงไฟสลัวบนหลังคาเรือก็สว่างพอที่จะทำให้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเธอได้ มีอะไรหรือเปล่า? ผมนึกห่วงอยู่ในใจ อยากจะตะโกนถามออกไปทว่าเธอนั่งอยู่ไกลเกินไป จึงได้แต่ส่งความห่วงใยผ่านทางสายตาแทน ไม่รู้ว่าปลาจะเข้าใจหรือเปล่า รู้แต่ว่าเธอเหลียวมองมาอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะหันกลับไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ใจผมหล่นวูบเลยทีเดียว
ผมเฝ้ามองปลาพลางคิดโน้นนี่ไปเรื่อยเปื่อย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงนกหวีดสลับกับเสียงตะโกนของเด็กท้ายเรือดังขึ้น จึงเห็นว่าเรือกำลังเข้าเทียบท่าหน้าบ้านพักแล้ว เมื่อเรือจอดสนิทผมและเพื่อนๆจึงทยอยกันขึ้นมา พอพ้นบันไดท่าน้ำมาได้ไม่เท่าไหร่ ผมก็ชะลอฝีเท้าลงปล่อยให้ดุล หนึ่งและคนอื่นๆเดินไปก่อน รอจนกระทั่งปลาเดินผ่านไปจึงได้ทักขึ้น
“มานกช่วยถือ” ผมส่งยิ้มให้ปลาพลางเอื้อมมือออกไป ก่อนจะหดกลับมาเมื่อได้ยินคำตอบจากเธอ
“ไม่เป็นไร ไม่หนัก” ปลาหันมาตอบผมแล้วอมยิ้ม ไม่รู้ว่าเธอเขินหรือว่าไม่อยากโดนเพื่อนๆล้อกันแน่ แต่ที่แน่ๆขัดใจผมน่าดู “เฮ้ย...ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะปลา” ผมคิดแต่ไม่กล้าพูด ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆกลับไป ก่อนจะหันไปถามแอนแทน
“แอนล่ะ” ผมถามตามมารยาท แอนส่ายหน้าเช่นกัน แม้คำตอบจะไม่ต่างกัน แต่แปลกตรงที่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย พวกเราหยุดยืนคุยกันข้างทาง ปล่อยให้คนอื่นๆเดินนำไปก่อน รอจนคนเริ่มซาจึงค่อยเดินตามเข้าไป ก็พอดีเห็นเชาว์เดินขึ้นบันไดมา
“มาเร็วดีนี่” ปลาถามทันทีที่เชาว์เดินมาสมทบ
“อืม คนอื่นๆล่ะ”
“ไปกันหมดแล้ว” ผมตอบพลางมองหน้า เดาไม่ถูกเลยว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่
“งั้นก็ไปสิ ดึกแล้วไม่ง่วงหรือไง” ไม่พูดเปล่าเชาว์ยังเอื้อมมือมาคว้ากระเป๋าไปจากมือปลาหน้าตาเฉย พลางเดินนำลิ่วเข้าบ้านไป ปล่อยให้ผมมองตาค้างตามไป ในใจรู้สึกตะหงิดๆขึ้นมา แต่รับรองว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน ผมนึกในใจขณะเดินตามปลาเข้าบ้านไป เมื่อเข้าไปถึงตัวบ้านพวกสาวๆแยกไปนอนในห้อง ส่วนพวกผมใครใคร่นอนตรงไหนก็ตามใจ คืนนั้นทั้งๆที่เหนื่อยกับการเดินทาง ทว่ากว่าผมจะข่มตาหลับลงได้ก็กินเวลานานนับชั่วโมง
ผมตื่นก่อนไก่ขันเพราะนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน จึงลุกขึ้นไปยืนดูท้องฟ้าเปลี่ยนสี ข้างนอกหน้าต่างฟ้าเริ่มแจ้งแล้ว รัศมีสีทองเริ่มแผดจ้าขึ้นทีละน้อยก่อนจะค่อยๆจางหายไปในที่สุด อากาศยามเช้าปลอดโปร่งเย็นสบายจนผมอดไม่ได้ที่จะออกไปเดินเล่นที่ศาลาท่าน้ำ ชั่วอึดใจเพื่อนผมสองคนจึงได้เดินตามมาสมทบ พวกเรานั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยพอได้ยินเสียงไก่ขันจึงได้เดินกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ขณะเดินผ่านชานบ้านแล่นกลาง ผมอดที่จะมองหาปลาไม่ได้
“มองหาอะไรวะ เขายังไม่ตื่นหรอกไอ้นก” ดุลพูดพลางพยักหน้าอย่างรู้ทันให้หนึ่งที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ
“เฮ้ย...เปล่า เอ็งก็พูดไปเรื่อยไอ้ดุล” ผมแก้ตัวพัลวัน
“ไม่ต้องเลยไอ้นก แค่มองตาก็เห็นไปถึงลิ้นไก่แล้ว ใช่ไหมวะหนึ่ง” ไอ้ดุลยังแซวไม่เลิก แถมยังหันมาพยักหน้าให้ไอ้หนึ่งอีกคน ผมเลยต้องหุบปากแทน นึกอยู่ในใจว่า ไม่น่าพลาดเลยเรา ปกติผมเป็นคนค่อนข้างรอบครอบ ไม่ค่อยแสดงออกให้ใครเห็นง่ายๆ แต่ไม่รู้ทำไมพวกมันถึงจับไต๋ผมได้ หรือว่าผมจะแสดงออกมากเกินไป
หลังอาบน้ำพวกผมจึงเดินกลับขึ้นมา ก็พอดีเห็นอุ๊ แอนและนกทรายแก้วกำลังเดินลงไปที่ศาลาท่าน้ำพอดี ปลาไปไหน?ทำไมไม่มาด้วยกัน ผมนึกอยากถามอยู่ครามครัน แต่ว่าไม่ได้พูดออกไปเพราะกลัวถูกเพื่อนแซว เลยเก็บความสงสัยเอาไว้ พลางทักออกไปตามมารยาท
“สวัสดีครับ” ผมพูดแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่คำพูดที่ตอบกลับมาเล่นเอาผมหน้าชาไปเลย “ให้มันได้อย่างนี้สิ สาวๆ” ผมนึกอยู่ในใจ
“เดี๋ยวปลาตามมา กำลังคุยอยู่กับเชาว์ทางโน้น” อุ๊สาธยาเสร็จสรรพ ขณะที่นกทรายแก้วพยักหน้าหงึกๆเห็นด้วย มีแต่แอนที่ยืนฟังนิ่งไม่พูดและก็ไม่ยิ้มด้วย เหมือนกับมีอะไรอยู่ในใจ ผมสังเกตเห็นได้แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“อ้อ...อ่า ขอบคุณครับ” มามุขนี้...ไปไม่เป็นเลยผม เลยได้แต่ทำเสียงเอ้ออ้าไปตามประสา ก่อนจะย้ายกันไป แต่พอลับหลังสาวๆยังไม่ทันไร ผมก็ได้เสียงหัวเราะคิกคักชอบใจของไอ้สองตัวที่เดินตาม พลอยทำให้ผมฮาตามไปด้วย
” เฮ้ย...เขารู้กันทั้งบางแล้วหรือนี่” ผมนึกในใจ เดินพ้นประตูเข้าไปไม่เท่าไหร่ก็สวนกับปลาเข้าพอดี พอเห็นสภาพพวกผมใส่ผ้าขาวม้าลายดำแดง คอมีผ้าขนหนูพาดเอาไว้ เดินถือขันตามกันมา ปลาก็ส่งสายตาเป็นเชิงล้อเลียนว่า นุ่งเป็นกันด้วยหรือ? ก่อนจะเดินก้มหน้าอมยิ้มผ่านพวกผมไป แต่ก็ทำให้ไอ้หนึ่งกับไอ้ดุลอายได้เหมือนกัน ขณะที่ผมมองตามไป อดที่จะถามออกไปไม่ได้
“ระวังตกน้ำนะปลา” ผมพูดแล้วยืนอมยิ้ม ปลาหันมามองผมอยู่ชั่วอึดใจ คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะส่งยิ้มให้พลางถามกลับมา
“ทำมาพูดดี เห็นเพื่อนปลาหรือเปล่า”
“เห็นอยู่ตรงโน้น” ผมตอบพลางชี้นิ้ว
“งั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวเพื่อนรอ” ปลาพูดพลางโบกมือแล้วเดินลิ่วไปสมทบกับเพื่อน เมื่อผมหันกลับมาก็เห็นสายตาพิฆาตของไอ้ดุลที่ยืนจ้องอยู่ก่อน ก่อนจะได้ยินเสียงโห่ฮิ้วของมันสองคนตามมา
“ปากก็บอกว่าไม่ โธ่เอ้ย...ไอ้นก” ไอ้ดุลค่อนผมขณะที่ไอ้หนึ่งไม่พูดอะไร เอาแต่ยืนตัวโยนหัวเราะชอบใจแทน
“รีบไปๆ พี่เรียกแล้วเห็นไหม” ผมรีบพูดตัดบทพลางดันหลังไอ้หนึ่งให้เดินนำไปก่อน ไอ้ดุลถึงได้เดินตามมา เป็นอันว่าบทสนทนาทั้งหลายจึงได้ยุติลง
หลังอาหารเช้าพวกเรารวมตัวกันเพื่อแบ่งกลุ่มเตรียมอาหารและทำกิจกรรม ผมเหลียวมองหาปลาทันทีที่จับฉลากได้ ขยับเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่จับได้เบอร์ห้าเหมือนกัน ก่อนจะส่งยิ้มให้ปลาแต่ไกลเมื่อเห็นว่าอยู่กลุ่มทำอาหารเดียวกัน
“5 ใครได้เบอร์ห้า มารวมทางนี้เลยครับ” พี่หมาตะโกนเรียกทุกคน ผมจึงขยับเข้าไปนั่งข้างๆ ปลาจึงเดินตามมานั่งถัดไป
“งานนี้จะกินได้ไหมเนี่ย ฝีมือนก” ปลาพูดเพราะรู้อยู่แล้วว่าผมทำกับข้าวไม่เป็น
“อย่าดูถูกเชียวนะปลา ระดับนกแล้ว...” ผมแก้ตัวไปอย่างนั้นเอง
“...กินไม่ลงใช่ไหม” ปลาแซวต่อ
“โห...ดูถูกกันเห็นๆ เดี๋ยวคอยดูฝีมือนกแล้วกัน” ผมแกล้งพูดไม่ยอมลงให้เหมือนกัน
“ได้เลย ไงปลาก็ทำใจไว้แล้ว ว่าแต่นกเอายาแก้ท้องเสียมาด้วยป่ะ”
คราวนี้ผมไม่ตอบ แต่หัวเราะหึ หึแทน นึกในใจว่า ผู้หญิงอะไรฉลาดทันคนชะมัด แล้วแกล้งทำเป็นส่ายหัว แต่กลับเรียกรอยยิ้มจากปลาได้ทันที ก่อนที่เราสองคนจะแยกย้ายไปทำกิจกรรมกันต่อไป ผมมองตามหลังปลาไปจนกระทั่งรู้ว่าเธออยู่กลุ่มไหนจึงค่อยหันกลับมาใส่ใจกิจกรรมของตัวเองบ้าง ตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายผมยอมรับเลยว่า ไม่อาจละสายตาไปเธอได้เลย กระทั่งได้เจอเพื่อนใหม่อีกคน เธอมีชื่อว่า เปิ้ล เราอยู่กลุ่มเดียวกัน ผมสังเกตเห็นว่าเธอมีอะไรๆหลายๆอย่างที่คล้ายปลาทีเดียว
“เรียกพี่ว่าพี่หมาละกัน” พี่หมาแนะนำตัวสั้นๆ ทว่าเรียกเสียงฮาจากน้องๆในกลุ่ม รวมทั้งผมด้วยได้ทันที
โฉมหน้าที่แท้จริงของ นก กับดุล ในเรื่องค่ะ
ลองทายเอาเองว่าคนไหน
(ขออนุญาตท่านอื่นที่ติดมาในรูปด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ)
มีต่อค่ะ
เหนือกว่ารัก บทที่ 3
เหนือกว่ารักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก มิตรภาพ และความผูกพันธ์อันยาวนานของคนสามสี่คน ที่เอามาจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนในบางส่วน และอีกหลายส่วนถูกแต่งเติมขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียน หากพาดพิง อ้างอิงไปถึงผู้หนึ่งผู้ใด หรือไปพ้องกับเรื่องราวของใครเข้าโดยบังเอิญ ต้องขออภัยเอาไว้ด้วยค่ะ ส่วนเรื่องราวจะดำเนินไปแบบไหนอย่างไร ต้องตามอ่านกันต่อไปค่ะ
บทที่ 3
ก่อนไปค่ายอัมพวาสองวันผมจำได้ว่าโทรไปหาเชาว์ แต่ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาเจอพวกเราก่อนจะไปรวมพลกันที่จุฬาหรือเปล่า เพราะตอนที่โทรไปเขายังกลับไม่ถึงบ้านจึงได้แต่ฝากบอกเอาไว้ ในตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าเชาว์มีน้องสาว และเหมือนว่าจะเรียนอยู่ที่เดียวกับปลาเสียด้วย ผมไม่รู้ว่าปลารู้หรือเปล่า แต่คงได้คุยกัน พอถึงวันนัดผมพาเพื่อนสนิทมายืนรออยู่ก่อนแล้วพอปลามาถึงก็ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย ผมไม่ได้พูดอะไรได้แต่ส่งยิ้มให้ คิดในใจว่าเอาไว้ค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง ก่อนจะแนะนำเพื่อนๆให้รู้จักกับพวกปลา
“คนนี้หนึ่ง ส่วนตัวดำๆนี่ดุล” ผมแนะนำพลางหันมาส่งยิ้มยียวนให้เพื่อน พอเห็นพวกมันทำท่าแยกเขี้ยวเลยรีบหันกลับไป นึกในใจว่า เอาแล้วงานนี้มีฮานอกรอบแน่ๆ โชคดีที่ปลาแนะนำเพื่อนๆของเธอเสียก่อน พวกมันเลยไม่มีโอกาสเอาคืน ผมเลยรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
“สวัสดีค่ะ ปลานะคะ คนนี้อุ๊ คนนี้นก ชื่อเหมือนกันเลย งั้นเรียกว่า นกทรายแก้วละกัน ส่วนคนสวยๆนี่ชื่อแอน”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมหนึ่งครับ”
“ผมดุลครับ”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”ผมพูดส่งท้ายพลางส่งยิ้มให้ตามปกติ ก่อนจะหันมามองหน้าไอ้สองตัวที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นพวกมันยิ้มอย่างมีเลศนัย กำลังนึกด่าในใจว่า เผลอไม่ได้ไอ้พวกนี้ ก็พอดีปลาถามขึ้นเสียก่อน
“เชาว์ล่ะ ยังไม่มาหรือนก”
“ไม่เห็นนะ นั่นไงพูดถึงก็มาพอดี ไง…เมื่อคืนซ้อมหนักสิเพื่อน” ผมตอบปลาพลางหันไปเห็นเชาว์เดินมาสมทบพอดี ความจริงผมอยากจะถามให้มากกว่านี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยอยากเสวนากับผมสักเท่าไหร่ กลับหันไปให้ความสนใจปลาแทน
“เออ…ใกล้ลงแข่งแล้ว หวัดดีปลา”
“หวัดดีเชาว์ แข่งอะไรกันเหรอ บอลใช่ป่ะ”
“อืม” คำตอบสั้นๆของเชาว์ทว่ากลับสะกิดใจผมได้ “หรือแข่งบอลที่ว่า จะเป็นงานจัตุรมิตร” ผมนึกเล่นๆอยู่ในใจ ขณะได้ยินเสียงใสๆของปลาแนะนำเพื่อนๆให้เชาว์รู้จัก
“เพื่อนๆ นี่เชาว์จากเทพศิรินทร์ ส่วนพวกนั้นลืมบอกไปว่ามาจาก…”
“กรุงเทพคริสเตียน ปลาเคยเล่าให้ฟังแล้วไง จำไม่ได้เหรอ” แอนพูดขึ้นขณะส่งยิ้มหวานให้พวกเรา ไม่ใช่สิ...น่าจะยิ้มให้ไอ้เสือยิ้มยากมากกว่า ผมคิดในใจไม่รู้ว่าคนอื่นทันสังเกตเห็นเหมือนผมหรือเปล่า รู้แต่ว่าตอนนี้แอนทำปลาเขินน่าดู
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็นี่ แอน อุ๊ นกทรายแก้ว และโน้นดุล กับหนึ่งเพื่อนนก” ปลาผายมือมาทางพวกผมพลางแนะนำแทนเสร็จสรรพ ไอ้เสือยิ้มยากจึงเอ่ยทักทายสาวๆ ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้พวกผม ด้วยท่าทางยียวนกวนบาทาเหมือนเคย ปลาคงเห็นและคงสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้พูดอะไร ตอนหลังผมจึงเล่าให้ฟังว่าพวกเราเคยเล่นบอลด้วยกันมาก่อน
หลังจากนั้นพวกเราพากันมาที่นัดหมาย ผมและพวกเพื่อนๆยังคงเกาะกลุ่มกันเป็นส่วนใหญ่ มีแต่เชาว์ที่ปลีกตัวออกไป เขามักจะเป็นเช่นนี้เสมอ จากนั้นพวกเราจึงออกเดินจนกระทั่งมาถึงท่าเรืออัมพวาจึงรีบทานข้าวกล่องที่พี่ๆเตรียมไว้ให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะทยอยลงเรือไป พวกสาวๆลงไปก่อน พวกผมจึงค่อยตามลงไป กว่าสามสิบชีวิตที่ยัดเยียดเบียดกันในเรือหางยาวขนาดใหญ่สองลำ พอรวมเข้ากับน้ำหนักกระเป๋าและข้าวของที่เตรียมมาก็แทบล่มไปเลย ผมมองกาบเรือที่ปริ่มน้ำแล้วนึกเสียวไส้ พลอยทำให้นึกห่วงปลาขึ้นมา
ความที่ไม่รู้จริงๆว่าปลาว่ายน้ำเป็นหรือเปล่าจึงได้มองหาดู ผมพยายามเพ่งมองเข้าไปในตัวเรือจนกระทั่งสายตาปรับเข้ากับความมืดได้ จึงค่อยเห็นว่าพวกเราลงเรือลำเดียวกันหมด ยกเว้นเชาว์...ผมไม่ยักเห็นเขา ขณะที่มองอยู่นั้นเอง จู่ๆปลาก็หันมา แม้จะมืดมากแต่แสงไฟสลัวบนหลังคาเรือก็สว่างพอที่จะทำให้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเธอได้ มีอะไรหรือเปล่า? ผมนึกห่วงอยู่ในใจ อยากจะตะโกนถามออกไปทว่าเธอนั่งอยู่ไกลเกินไป จึงได้แต่ส่งความห่วงใยผ่านทางสายตาแทน ไม่รู้ว่าปลาจะเข้าใจหรือเปล่า รู้แต่ว่าเธอเหลียวมองมาอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะหันกลับไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ใจผมหล่นวูบเลยทีเดียว
ผมเฝ้ามองปลาพลางคิดโน้นนี่ไปเรื่อยเปื่อย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงนกหวีดสลับกับเสียงตะโกนของเด็กท้ายเรือดังขึ้น จึงเห็นว่าเรือกำลังเข้าเทียบท่าหน้าบ้านพักแล้ว เมื่อเรือจอดสนิทผมและเพื่อนๆจึงทยอยกันขึ้นมา พอพ้นบันไดท่าน้ำมาได้ไม่เท่าไหร่ ผมก็ชะลอฝีเท้าลงปล่อยให้ดุล หนึ่งและคนอื่นๆเดินไปก่อน รอจนกระทั่งปลาเดินผ่านไปจึงได้ทักขึ้น
“มานกช่วยถือ” ผมส่งยิ้มให้ปลาพลางเอื้อมมือออกไป ก่อนจะหดกลับมาเมื่อได้ยินคำตอบจากเธอ
“ไม่เป็นไร ไม่หนัก” ปลาหันมาตอบผมแล้วอมยิ้ม ไม่รู้ว่าเธอเขินหรือว่าไม่อยากโดนเพื่อนๆล้อกันแน่ แต่ที่แน่ๆขัดใจผมน่าดู “เฮ้ย...ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยนะปลา” ผมคิดแต่ไม่กล้าพูด ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆกลับไป ก่อนจะหันไปถามแอนแทน
“แอนล่ะ” ผมถามตามมารยาท แอนส่ายหน้าเช่นกัน แม้คำตอบจะไม่ต่างกัน แต่แปลกตรงที่ผมไม่รู้สึกอะไรเลย พวกเราหยุดยืนคุยกันข้างทาง ปล่อยให้คนอื่นๆเดินนำไปก่อน รอจนคนเริ่มซาจึงค่อยเดินตามเข้าไป ก็พอดีเห็นเชาว์เดินขึ้นบันไดมา
“มาเร็วดีนี่” ปลาถามทันทีที่เชาว์เดินมาสมทบ
“อืม คนอื่นๆล่ะ”
“ไปกันหมดแล้ว” ผมตอบพลางมองหน้า เดาไม่ถูกเลยว่า เขากำลังคิดอะไรอยู่
“งั้นก็ไปสิ ดึกแล้วไม่ง่วงหรือไง” ไม่พูดเปล่าเชาว์ยังเอื้อมมือมาคว้ากระเป๋าไปจากมือปลาหน้าตาเฉย พลางเดินนำลิ่วเข้าบ้านไป ปล่อยให้ผมมองตาค้างตามไป ในใจรู้สึกตะหงิดๆขึ้นมา แต่รับรองว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน ผมนึกในใจขณะเดินตามปลาเข้าบ้านไป เมื่อเข้าไปถึงตัวบ้านพวกสาวๆแยกไปนอนในห้อง ส่วนพวกผมใครใคร่นอนตรงไหนก็ตามใจ คืนนั้นทั้งๆที่เหนื่อยกับการเดินทาง ทว่ากว่าผมจะข่มตาหลับลงได้ก็กินเวลานานนับชั่วโมง
ผมตื่นก่อนไก่ขันเพราะนอนไม่หลับตั้งแต่เมื่อคืน จึงลุกขึ้นไปยืนดูท้องฟ้าเปลี่ยนสี ข้างนอกหน้าต่างฟ้าเริ่มแจ้งแล้ว รัศมีสีทองเริ่มแผดจ้าขึ้นทีละน้อยก่อนจะค่อยๆจางหายไปในที่สุด อากาศยามเช้าปลอดโปร่งเย็นสบายจนผมอดไม่ได้ที่จะออกไปเดินเล่นที่ศาลาท่าน้ำ ชั่วอึดใจเพื่อนผมสองคนจึงได้เดินตามมาสมทบ พวกเรานั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยพอได้ยินเสียงไก่ขันจึงได้เดินกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ขณะเดินผ่านชานบ้านแล่นกลาง ผมอดที่จะมองหาปลาไม่ได้
“มองหาอะไรวะ เขายังไม่ตื่นหรอกไอ้นก” ดุลพูดพลางพยักหน้าอย่างรู้ทันให้หนึ่งที่ยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ
“เฮ้ย...เปล่า เอ็งก็พูดไปเรื่อยไอ้ดุล” ผมแก้ตัวพัลวัน
“ไม่ต้องเลยไอ้นก แค่มองตาก็เห็นไปถึงลิ้นไก่แล้ว ใช่ไหมวะหนึ่ง” ไอ้ดุลยังแซวไม่เลิก แถมยังหันมาพยักหน้าให้ไอ้หนึ่งอีกคน ผมเลยต้องหุบปากแทน นึกอยู่ในใจว่า ไม่น่าพลาดเลยเรา ปกติผมเป็นคนค่อนข้างรอบครอบ ไม่ค่อยแสดงออกให้ใครเห็นง่ายๆ แต่ไม่รู้ทำไมพวกมันถึงจับไต๋ผมได้ หรือว่าผมจะแสดงออกมากเกินไป
หลังอาบน้ำพวกผมจึงเดินกลับขึ้นมา ก็พอดีเห็นอุ๊ แอนและนกทรายแก้วกำลังเดินลงไปที่ศาลาท่าน้ำพอดี ปลาไปไหน?ทำไมไม่มาด้วยกัน ผมนึกอยากถามอยู่ครามครัน แต่ว่าไม่ได้พูดออกไปเพราะกลัวถูกเพื่อนแซว เลยเก็บความสงสัยเอาไว้ พลางทักออกไปตามมารยาท
“สวัสดีครับ” ผมพูดแล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่คำพูดที่ตอบกลับมาเล่นเอาผมหน้าชาไปเลย “ให้มันได้อย่างนี้สิ สาวๆ” ผมนึกอยู่ในใจ
“เดี๋ยวปลาตามมา กำลังคุยอยู่กับเชาว์ทางโน้น” อุ๊สาธยาเสร็จสรรพ ขณะที่นกทรายแก้วพยักหน้าหงึกๆเห็นด้วย มีแต่แอนที่ยืนฟังนิ่งไม่พูดและก็ไม่ยิ้มด้วย เหมือนกับมีอะไรอยู่ในใจ ผมสังเกตเห็นได้แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
“อ้อ...อ่า ขอบคุณครับ” มามุขนี้...ไปไม่เป็นเลยผม เลยได้แต่ทำเสียงเอ้ออ้าไปตามประสา ก่อนจะย้ายกันไป แต่พอลับหลังสาวๆยังไม่ทันไร ผมก็ได้เสียงหัวเราะคิกคักชอบใจของไอ้สองตัวที่เดินตาม พลอยทำให้ผมฮาตามไปด้วย
” เฮ้ย...เขารู้กันทั้งบางแล้วหรือนี่” ผมนึกในใจ เดินพ้นประตูเข้าไปไม่เท่าไหร่ก็สวนกับปลาเข้าพอดี พอเห็นสภาพพวกผมใส่ผ้าขาวม้าลายดำแดง คอมีผ้าขนหนูพาดเอาไว้ เดินถือขันตามกันมา ปลาก็ส่งสายตาเป็นเชิงล้อเลียนว่า นุ่งเป็นกันด้วยหรือ? ก่อนจะเดินก้มหน้าอมยิ้มผ่านพวกผมไป แต่ก็ทำให้ไอ้หนึ่งกับไอ้ดุลอายได้เหมือนกัน ขณะที่ผมมองตามไป อดที่จะถามออกไปไม่ได้
“ระวังตกน้ำนะปลา” ผมพูดแล้วยืนอมยิ้ม ปลาหันมามองผมอยู่ชั่วอึดใจ คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนจะส่งยิ้มให้พลางถามกลับมา
“ทำมาพูดดี เห็นเพื่อนปลาหรือเปล่า”
“เห็นอยู่ตรงโน้น” ผมตอบพลางชี้นิ้ว
“งั้นไปก่อนนะ เดี๋ยวเพื่อนรอ” ปลาพูดพลางโบกมือแล้วเดินลิ่วไปสมทบกับเพื่อน เมื่อผมหันกลับมาก็เห็นสายตาพิฆาตของไอ้ดุลที่ยืนจ้องอยู่ก่อน ก่อนจะได้ยินเสียงโห่ฮิ้วของมันสองคนตามมา
“ปากก็บอกว่าไม่ โธ่เอ้ย...ไอ้นก” ไอ้ดุลค่อนผมขณะที่ไอ้หนึ่งไม่พูดอะไร เอาแต่ยืนตัวโยนหัวเราะชอบใจแทน
“รีบไปๆ พี่เรียกแล้วเห็นไหม” ผมรีบพูดตัดบทพลางดันหลังไอ้หนึ่งให้เดินนำไปก่อน ไอ้ดุลถึงได้เดินตามมา เป็นอันว่าบทสนทนาทั้งหลายจึงได้ยุติลง
หลังอาหารเช้าพวกเรารวมตัวกันเพื่อแบ่งกลุ่มเตรียมอาหารและทำกิจกรรม ผมเหลียวมองหาปลาทันทีที่จับฉลากได้ ขยับเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่จับได้เบอร์ห้าเหมือนกัน ก่อนจะส่งยิ้มให้ปลาแต่ไกลเมื่อเห็นว่าอยู่กลุ่มทำอาหารเดียวกัน
“5 ใครได้เบอร์ห้า มารวมทางนี้เลยครับ” พี่หมาตะโกนเรียกทุกคน ผมจึงขยับเข้าไปนั่งข้างๆ ปลาจึงเดินตามมานั่งถัดไป
“งานนี้จะกินได้ไหมเนี่ย ฝีมือนก” ปลาพูดเพราะรู้อยู่แล้วว่าผมทำกับข้าวไม่เป็น
“อย่าดูถูกเชียวนะปลา ระดับนกแล้ว...” ผมแก้ตัวไปอย่างนั้นเอง
“...กินไม่ลงใช่ไหม” ปลาแซวต่อ
“โห...ดูถูกกันเห็นๆ เดี๋ยวคอยดูฝีมือนกแล้วกัน” ผมแกล้งพูดไม่ยอมลงให้เหมือนกัน
“ได้เลย ไงปลาก็ทำใจไว้แล้ว ว่าแต่นกเอายาแก้ท้องเสียมาด้วยป่ะ”
คราวนี้ผมไม่ตอบ แต่หัวเราะหึ หึแทน นึกในใจว่า ผู้หญิงอะไรฉลาดทันคนชะมัด แล้วแกล้งทำเป็นส่ายหัว แต่กลับเรียกรอยยิ้มจากปลาได้ทันที ก่อนที่เราสองคนจะแยกย้ายไปทำกิจกรรมกันต่อไป ผมมองตามหลังปลาไปจนกระทั่งรู้ว่าเธออยู่กลุ่มไหนจึงค่อยหันกลับมาใส่ใจกิจกรรมของตัวเองบ้าง ตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายผมยอมรับเลยว่า ไม่อาจละสายตาไปเธอได้เลย กระทั่งได้เจอเพื่อนใหม่อีกคน เธอมีชื่อว่า เปิ้ล เราอยู่กลุ่มเดียวกัน ผมสังเกตเห็นว่าเธอมีอะไรๆหลายๆอย่างที่คล้ายปลาทีเดียว
“เรียกพี่ว่าพี่หมาละกัน” พี่หมาแนะนำตัวสั้นๆ ทว่าเรียกเสียงฮาจากน้องๆในกลุ่ม รวมทั้งผมด้วยได้ทันที
โฉมหน้าที่แท้จริงของ นก กับดุล ในเรื่องค่ะ
ลองทายเอาเองว่าคนไหน
(ขออนุญาตท่านอื่นที่ติดมาในรูปด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ)
มีต่อค่ะ