เหนือกว่ารัก เป็นนิยายแนวทดลองงานเขียนปัจจุบันของมนต้นไม้ที่เขียนขึ้นมาเป็นเรื่องที่สอง หลังจากที่เขียนเรื่องคาบาเร่ต์เร่รักทิ้งเอาไว้ได้สองปีกว่าแล้ว หากมีข้อแนะนำอย่างไร โปรดจัดเต็มให้เหมือนเดิมนะคะ (เรื่องนี้ไม่มีสต๊อก เขียนไปลงไป หากเจอคำผิดอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของคนเขียน โปรดอภัยให้ด้วยนะคะ แอบอ้อน ฮ่าๆๆ)
เหนือกว่ารักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก มิตรภาพ และความผูกพันธ์อันยาวนานของคนสามสี่คน ที่เอามาจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนในบางส่วน และอีกหลายส่วนถูกแต่งเติมขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียน หากพาดพิง อ้างอิงไปถึงผู้หนึ่งผู้ใด หรือไปพ้องกับเรื่องราวของใครเข้าโดยบังเอิญ ต้องขออภัยเอาไว้ด้วยค่ะ ส่วนเรื่องราวจะดำเนินไปแบบไหนอย่างไร ต้องตามอ่านกันต่อไปค่ะ
ปล. บทนำสั้นมากก ตามเคย อย่าเพิ่งว่ากันนะ
บทนำ
ฉันจำวันนั้นได้ดี มันเป็นวันหยุดช่วงปิดภาคเรียนในเดือนที่ร้อนที่สุด แต่แทนที่จะได้หยุดพักผ่อนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ฉันกลับต้องมาโรงเรียนเพื่อกรอกเอกสารสำคัญบางอย่างตามคำสั่งของครูหัวหน้ากิจกรรม แม้ว่าจะงงๆอยู่บ้างที่จู่ๆถูกเรียกตัวมาอย่างกระทันหัน แต่พอได้รับฟังคำอธิบายว่า ทางโรงเรียนได้รับเชิญให้เข้าร่วมโครงการผู้นำเยาวชน จึงได้คัดเลือกตัวแทนเพื่อส่งไปเข้าร่วมโครงการสรุปว่า ฉันต้องไปนอนที่เขาใหญ่ห้าคืนกับตัวแทนผู้นำเยาวชนจากโรงเรียนต่างๆอีกหลายสิบคน สองอาทิตย์หลังจากที่ฉันถูกเรียกตัวไปกรอกใบสมัคร ฉันก็หิ้วกระเป๋าใบใหญ่ต่อรถเมล์สองต่อมาจนถึงที่นัดหมาย สวนลุมพินีหน้าพระรูป รัชกาลที่ 5 หลังจากที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่นานพอสมควรก็มีเด็กมอปลายคนหนึ่งท่าทางสุภาพเข้ามาเรียบๆเคียงๆถามฉันว่า
“มาเข้าค่ายเยาวชนหรือครับ”
แหม...พูดเพราะเสียด้วย ฉันนึกในใจ พยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไร ก็จะให้พูดอะไรล่ะ ในเมื่อไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย เด็กหนุ่มคนนั้นคงเห็นว่าท่าทางฉันไม่น่าจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังอุตส่าห์ส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันหลังไปถามอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามา
“มาเข้าค่ายหรือเปล่า”
“ใช่ ต้องไปลงชื่อที่ไหน”
ฉันหูผึ่งทันทีที่ได้ยิน เออใช่...เกือบลืมไปเลยว่าต้องไปลงชื่อ ฉันนึกในใจ ก้มลงหยิบกระเป๋าที่วางเอาไว้เมื่อครู่เดินตามสองคนนั้นไปลงชื่อกับพี่เลี้ยงที่จะช่วยดูแลพวกเรา
“เรานกนะ นครินทร์”
“ปานใจ เรียกเราว่า ปลาเฉยๆก็ได้”
“ปลาเฉยๆ ชื่อเก๋นะ เราชื่อเชาว์ เชาวลิต”
“เชาเชา ก็เข้าท่าดีนะ” ฉันพูดแล้วอมยิ้ม ยืนมองหน้าเพื่อนใหม่ที่ชื่อเชาวลิต ขณะที่คนชื่อนกกลับหัวเราะ ฉันเลยพลอยหัวเราะตามไปด้วย แต่เชาว์แค่ยืนอมยิ้ม เขาไม่หัวเราะตามพวกเรา เพิ่งมานึกได้ว่าเขาเก็บอารมณ์เก่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว
“เออใช่...เชาว์ๆ ปลาเฉยๆ” นกพูดสมทบแล้วหัวเราะต่อ เขาเป็นของเขาอย่างนี้ทุกทีแหล่ะ ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปีก็ตาม
เราสามคนถูกต้อนให้ขึ้นรถบัสคันเดียวกัน ห้าคืนหกวันที่เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คือการเริ่มต้นของมิตรภาพที่ยั่งยืน นับแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ร่วมสามสิบปีแล้ว จากเด็กมัธยมปลายจนจบมหาวิทยาลัย จนถึงวันทำงานและมีครอบครัว ฉัน นกและเชาว์ ยังคงคบกันเหนี่ยวแน่น หลายคนหลายคู่แต่งงานจนเลิกลาเลิกคบกันไปเป็นชาติแล้ว แต่สำหรับพวกเรามิตรภาพไม่เคยเปลี่ยน และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
เหนือกว่ารัก
เหนือกว่ารักเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก มิตรภาพ และความผูกพันธ์อันยาวนานของคนสามสี่คน ที่เอามาจากประสบการณ์จริงของผู้เขียนในบางส่วน และอีกหลายส่วนถูกแต่งเติมขึ้นตามจินตนาการของผู้เขียน หากพาดพิง อ้างอิงไปถึงผู้หนึ่งผู้ใด หรือไปพ้องกับเรื่องราวของใครเข้าโดยบังเอิญ ต้องขออภัยเอาไว้ด้วยค่ะ ส่วนเรื่องราวจะดำเนินไปแบบไหนอย่างไร ต้องตามอ่านกันต่อไปค่ะ
ปล. บทนำสั้นมากก ตามเคย อย่าเพิ่งว่ากันนะ
บทนำ
ฉันจำวันนั้นได้ดี มันเป็นวันหยุดช่วงปิดภาคเรียนในเดือนที่ร้อนที่สุด แต่แทนที่จะได้หยุดพักผ่อนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ฉันกลับต้องมาโรงเรียนเพื่อกรอกเอกสารสำคัญบางอย่างตามคำสั่งของครูหัวหน้ากิจกรรม แม้ว่าจะงงๆอยู่บ้างที่จู่ๆถูกเรียกตัวมาอย่างกระทันหัน แต่พอได้รับฟังคำอธิบายว่า ทางโรงเรียนได้รับเชิญให้เข้าร่วมโครงการผู้นำเยาวชน จึงได้คัดเลือกตัวแทนเพื่อส่งไปเข้าร่วมโครงการสรุปว่า ฉันต้องไปนอนที่เขาใหญ่ห้าคืนกับตัวแทนผู้นำเยาวชนจากโรงเรียนต่างๆอีกหลายสิบคน สองอาทิตย์หลังจากที่ฉันถูกเรียกตัวไปกรอกใบสมัคร ฉันก็หิ้วกระเป๋าใบใหญ่ต่อรถเมล์สองต่อมาจนถึงที่นัดหมาย สวนลุมพินีหน้าพระรูป รัชกาลที่ 5 หลังจากที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่นานพอสมควรก็มีเด็กมอปลายคนหนึ่งท่าทางสุภาพเข้ามาเรียบๆเคียงๆถามฉันว่า
“มาเข้าค่ายเยาวชนหรือครับ”
แหม...พูดเพราะเสียด้วย ฉันนึกในใจ พยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไร ก็จะให้พูดอะไรล่ะ ในเมื่อไม่ได้รู้จักกันสักหน่อย เด็กหนุ่มคนนั้นคงเห็นว่าท่าทางฉันไม่น่าจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังอุตส่าห์ส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันหลังไปถามอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามา
“มาเข้าค่ายหรือเปล่า”
“ใช่ ต้องไปลงชื่อที่ไหน”
ฉันหูผึ่งทันทีที่ได้ยิน เออใช่...เกือบลืมไปเลยว่าต้องไปลงชื่อ ฉันนึกในใจ ก้มลงหยิบกระเป๋าที่วางเอาไว้เมื่อครู่เดินตามสองคนนั้นไปลงชื่อกับพี่เลี้ยงที่จะช่วยดูแลพวกเรา
“เรานกนะ นครินทร์”
“ปานใจ เรียกเราว่า ปลาเฉยๆก็ได้”
“ปลาเฉยๆ ชื่อเก๋นะ เราชื่อเชาว์ เชาวลิต”
“เชาเชา ก็เข้าท่าดีนะ” ฉันพูดแล้วอมยิ้ม ยืนมองหน้าเพื่อนใหม่ที่ชื่อเชาวลิต ขณะที่คนชื่อนกกลับหัวเราะ ฉันเลยพลอยหัวเราะตามไปด้วย แต่เชาว์แค่ยืนอมยิ้ม เขาไม่หัวเราะตามพวกเรา เพิ่งมานึกได้ว่าเขาเก็บอารมณ์เก่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว
“เออใช่...เชาว์ๆ ปลาเฉยๆ” นกพูดสมทบแล้วหัวเราะต่อ เขาเป็นของเขาอย่างนี้ทุกทีแหล่ะ ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปีก็ตาม
เราสามคนถูกต้อนให้ขึ้นรถบัสคันเดียวกัน ห้าคืนหกวันที่เราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน คือการเริ่มต้นของมิตรภาพที่ยั่งยืน นับแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ร่วมสามสิบปีแล้ว จากเด็กมัธยมปลายจนจบมหาวิทยาลัย จนถึงวันทำงานและมีครอบครัว ฉัน นกและเชาว์ ยังคงคบกันเหนี่ยวแน่น หลายคนหลายคู่แต่งงานจนเลิกลาเลิกคบกันไปเป็นชาติแล้ว แต่สำหรับพวกเรามิตรภาพไม่เคยเปลี่ยน และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป