บทที่ 2 ค่ายอัมพวา
หากการได้รู้จักใครสักคนต้องใช้เวลา การที่ฉัน นกและเชาว์ได้มาอยู่ในสถานที่เดียวกัน ได้มารู้จักและเรียนรู้นิสัยใจคอซึ่งกันและกัน ย่อมช่วยส่งเสริมให้มิตรภาพระหว่างเรางอกงามรวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
สองอาทิตย์ต่อมา ฉันก็ได้เข้าร่วมค่ายสัมมนากับนกและเชาว์อีกครั้ง พวกเรานัดเจอกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่ขณะที่ฉันและกลุ่มเพื่อนสนิทได้นัดเจอกันก่อนแล้ว เมื่อมาถึงที่นัดหมายฉันก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นนกคนเดียว แต่พ่วงเพื่อนมาด้วยอีกสองคน เขาส่งยิ้มให้ทันทีที่เจอกัน ก่อนจะแนะนำเพื่อนของเขาให้รู้จัก
“นี่หนึ่ง ส่วนคนตัวดำๆนี่ดุล” เขาพูดพลางหันมายิ้มล้อเลียนเพื่อนที่ชื่อดุล เพื่อนจึงทำท่าแยกเขี้ยวใส่ เรียกเสียงคิกคักจากพวกเราได้ทันที
“สวัสดีค่ะ ปลานะคะ คนนี้อุ๊ คนนี้นก ชื่อเหมือนนกเลย แต่นั่นนกรินทร์ งั้นเรียกว่านกทรายแก้วละกัน ส่วนคนสวยๆนี่ชื่อแอน” ฉันแนะนำเพื่อนสนิททั้งสาวคนให้สามหนุ่มได้รู้จักอย่างเป็นทางการ
“ยินดีทีรู้จักครับ” นกพูดแล้วยิ้ม เช่นเดียวกับเพื่อนอีกสองคน ฉันรู้สึกได้ในทันทีว่าพวกเขาดูนิสัยดีทุกคน ไม่เหมือนเด็กมัธยมชายล้วนข้างโรงเรียนที่มีแต่ความคะนองและหยาบคาย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นทุกคนหรอกนะ ฉันนึกในใจ พวกเราใช้เวลาไม่นานนักในการจดจำชื่อเพื่อนใหม่ แม้ว่าต่างฝ่ายต่างยังสงวนท่าทีกันอยู่บ้างก็ตาม เป็นเรื่องธรรมดา...มิตรภาพต้องใช้เวลา และพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ขณะที่มิตรภาพระหว่างฉัน นก และเชาว์ได้ข้ามขั้นนั้นมาแล้ว
“เชาว์ล่ะ ยังไม่มาหรือ?”
“ไม่เห็นนะ นั่นไงพูดถึงก็มาพอดี ไง…เมื่อคืนซ้อมหนักสิเพื่อน” นกตอบฉัน ก่อนจะหันไปถามเชาว์ที่เดินเข้ามาสมทบ
“เออ…ใกล้ลงแข่งแล้ว หวัดดีปลา”
“หวัดดีเชาว์ แข่งอะไรกันเหรอ บอลใช่ป่ะ”
“อืม” เชาว์ตอบสั้นตามเคย ฉันเลยถือโอกาสแนะนำเพื่อนๆเสียเลย
“เพื่อนๆ นี่เชาว์จากเทพศิรินทร์ ส่วนพวกนั้นลืมบอกไปว่ามาจาก…”
“กรุงเทพคริสเตียน ปลาเคยเล่าให้เราฟังแล้วไง จำไม่ได้เหรอ” แอนท้วงขึ้นพลางส่งยิ้มหวานให้ ฉันเลยหัวเราะแก้เก้อ หันมาแนะนำเพื่อนๆ ต่อไป
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็นี่ แอน อุ๊ นกทรายแก้ว และโน้นดุล กับหนึ่งเพื่อนนก” ฉันผายมือไปทางพวกผู้ชาย แนะนำแทนนกเสร็จสรรพ เชาว์หันมาสวัสดีครับกับสาวๆ และพยักหน้าให้หนุ่มๆเป็นการทักทาย ซึ่งฉันมารู้ตอนหลังว่าพวกเขารู้จักกันก่อนแล้ว มิน่า! เชาว์ถึงทำท่าอย่างนั้น
ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็มาถึงที่นัดหมายเอาไว้ ค่ายนี้ไม่มีการลงทะเบียนและไม่เป็นทางการเหมือนค่ายเยาวชนที่ฉันเคยไป พวกเราจึงเกาะกลุ่มกันเป็นส่วนใหญ่ มีแต่เชาว์ที่ปลีกตัวไปนั่งกับเพื่อนที่มาสมทบทีหลัง ระยะทางจากสามย่านถึงท่าเรืออัมพวาใช้เวลาไม่นานอย่างที่คิด แต่กว่าจะรวมพลกันติดและออกเดินทางได้ก็ร่วมห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว พอถึงท่าเรือพวกเราจึงมีเวลาทานข้าวกันไม่มากนัก โชคดีที่พี่ๆจัดเตรียมข้าวกล่องมาให้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใช้เวลาร่วมชั่วโมง
หลังจากนั้นจึงพากันทยอยลงเรือ พวกเราลงเรือลำเดียวกันหมด มีแต่เชาว์ที่ตามมาทีหลัง แต่สุดท้ายก็ไม่ไปลำเดียวกัน เพราะเรือเต็มจึงต้องตามมาทีหลัง ฉันไม่รู้ว่าไอ้ที่เรียกว่าเต็ม นั้นมันขนาดไหน เพราะมองออกไปก็เห็นแต่ความมืดมิด ยิ่งพอเรือเลี้ยวเข้าคลองยิ่งแทบมองไม่เห็นอะไรเลย รู้แต่ว่ากาบเรือห่างจากผิวน้ำไม่ถึงคืบดีเท่านั้นเอง นั่นหมายความว่ามันคงต้องแบกน้ำหนักทั้งคนและของเกินอัตราแน่ๆเลย และถ้ารู้มาก่อนว่าจะเป็นแบบนี้จะไม่มาด้วยเด็ดขาด บอกตามตรงเลยว่า กลัว ไม่ใช่กลัวความมืดหรือความยากลำบาก แต่เป็นเพราะฉันว่ายน้ำไม่เป็น คิดแล้วใจคอไม่สู้ดี มือเกาะกระเป๋าแน่น นึกในใจว่า ไม่น่ามาเลย มืดก็มืด เงียบก็เงียบ แค่สองสามทุ่มชาวบ้านก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว
“แอน ว่ายน้ำเป็นใช่ป่ะ”
“เป็นแต่ไม่แข็ง ทำไมเหรอ”
“เปล่าถามดูเฉยๆ”
ฉันอดที่จะถามหาที่พึ่งไม่ได้ แต่พอได้รับคำตอบก็ต้องทำใจ นึกอยากจะตะโกนถามนก หวังว่าจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย แต่เขาก็อยู่ไกลเหลือเกิน อีกอย่างคงไม่เหมาะ จึงได้แค่หันกลับไปมอง เห็นเขายืนอยู่ที่ท้ายเรือ กำลังมองตรงมาเช่นกัน ทำท่าขยับปากคล้ายจะถามอะไรสักอย่างแต่ไม่ได้ยิน ฉันหันกลับมาเลี้ยวมองไปรอบๆตัวด้วยความไม่สบายใจนัก ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรบ้าง รู้แต่ว่าบรรยากาศมันเงียบมากแทบไม่มีใครพูดกับใครเลย ได้ยินแต่เสียงเครื่องยนต์เรือกับเสียงกระเพื่อมของน้ำเท่านั้น
ไม่นานนักเรือก็แล่นมาถึงบ้านที่เราจะเข้าไปพัก ฉันมองไม่เห็นรายละเอียดของบ้านมากนัก อย่างที่บอกว่ามันมืดมาก รู้แต่ว่าศาลาท่าน้ำค่อนข้างใหญ่ พอเรือเทียบท่าพวกเราก็ทยอยกันขึ้นบันได
“มานกช่วยถือ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลังของฉัน พอหันกลับไปก็เห็นนกส่งยิ้มให้ แม้ว่ามันจะมืดมาก แต่แสงไฟสลัวภายในศาลาก็เพียงพอให้ฉันเห็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยนนั้นได้
“ไม่เป็นไร ไม่หนัก” ฉันหยุดเท้าหันมาบอกนก แอนซึ่งเดินตามมาติดๆจึงหยุดตาม
“แอนล่ะ” นกหันมาถามแอนแทน แอนส่ายหน้าเช่นกัน พวกเรายืนหลบข้างทาง หลีกให้เพื่อนๆเดินไปก่อน รอจนคนเริ่มซาจึงค่อยเดินตามเข้าไป ก็เห็นเชาว์เดินขึ้นบันไดมาพอดี
“มาเร็วดีนี่” ฉันตะโกนถาม
“อืม คนอื่นๆล่ะ”
“ไปกันหมดแล้ว” นกพูด
“งั้นก็ไปสิ ดึกแล้วไม่ง่วงหรือไง” เชาว์ตอบพลางเข้ามาฉวยกระเป๋าจากมือฉันไปถือแล้วเดินลิ่ว พวกเราจึงเดินตามกันเข้าบ้านไปก่อนจะแยกย้ายกันไปหาที่ซุกหัวนอน พวกผู้หญิงดีหน่อยได้นอนในบ้าน ส่วนพวกผู้ชายก็ตัวใครตัวมัน คืนนั้นไม่ต้องบอกก็เป็นที่รู้กันว่าซักแห้งกันทั่วหน้า ฉันและพวกเพื่อนๆนอนรวมกันในห้องใหญ่ ไม่นานนักก็ผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อย
มีต่อค่ะ
เหนือกว่ารัก บทที่ 2 ค่ายอัมพวา
หากการได้รู้จักใครสักคนต้องใช้เวลา การที่ฉัน นกและเชาว์ได้มาอยู่ในสถานที่เดียวกัน ได้มารู้จักและเรียนรู้นิสัยใจคอซึ่งกันและกัน ย่อมช่วยส่งเสริมให้มิตรภาพระหว่างเรางอกงามรวดเร็วยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
สองอาทิตย์ต่อมา ฉันก็ได้เข้าร่วมค่ายสัมมนากับนกและเชาว์อีกครั้ง พวกเรานัดเจอกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แต่ขณะที่ฉันและกลุ่มเพื่อนสนิทได้นัดเจอกันก่อนแล้ว เมื่อมาถึงที่นัดหมายฉันก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นนกคนเดียว แต่พ่วงเพื่อนมาด้วยอีกสองคน เขาส่งยิ้มให้ทันทีที่เจอกัน ก่อนจะแนะนำเพื่อนของเขาให้รู้จัก
“นี่หนึ่ง ส่วนคนตัวดำๆนี่ดุล” เขาพูดพลางหันมายิ้มล้อเลียนเพื่อนที่ชื่อดุล เพื่อนจึงทำท่าแยกเขี้ยวใส่ เรียกเสียงคิกคักจากพวกเราได้ทันที
“สวัสดีค่ะ ปลานะคะ คนนี้อุ๊ คนนี้นก ชื่อเหมือนนกเลย แต่นั่นนกรินทร์ งั้นเรียกว่านกทรายแก้วละกัน ส่วนคนสวยๆนี่ชื่อแอน” ฉันแนะนำเพื่อนสนิททั้งสาวคนให้สามหนุ่มได้รู้จักอย่างเป็นทางการ
“ยินดีทีรู้จักครับ” นกพูดแล้วยิ้ม เช่นเดียวกับเพื่อนอีกสองคน ฉันรู้สึกได้ในทันทีว่าพวกเขาดูนิสัยดีทุกคน ไม่เหมือนเด็กมัธยมชายล้วนข้างโรงเรียนที่มีแต่ความคะนองและหยาบคาย แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นทุกคนหรอกนะ ฉันนึกในใจ พวกเราใช้เวลาไม่นานนักในการจดจำชื่อเพื่อนใหม่ แม้ว่าต่างฝ่ายต่างยังสงวนท่าทีกันอยู่บ้างก็ตาม เป็นเรื่องธรรมดา...มิตรภาพต้องใช้เวลา และพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ขณะที่มิตรภาพระหว่างฉัน นก และเชาว์ได้ข้ามขั้นนั้นมาแล้ว
“เชาว์ล่ะ ยังไม่มาหรือ?”
“ไม่เห็นนะ นั่นไงพูดถึงก็มาพอดี ไง…เมื่อคืนซ้อมหนักสิเพื่อน” นกตอบฉัน ก่อนจะหันไปถามเชาว์ที่เดินเข้ามาสมทบ
“เออ…ใกล้ลงแข่งแล้ว หวัดดีปลา”
“หวัดดีเชาว์ แข่งอะไรกันเหรอ บอลใช่ป่ะ”
“อืม” เชาว์ตอบสั้นตามเคย ฉันเลยถือโอกาสแนะนำเพื่อนๆเสียเลย
“เพื่อนๆ นี่เชาว์จากเทพศิรินทร์ ส่วนพวกนั้นลืมบอกไปว่ามาจาก…”
“กรุงเทพคริสเตียน ปลาเคยเล่าให้เราฟังแล้วไง จำไม่ได้เหรอ” แอนท้วงขึ้นพลางส่งยิ้มหวานให้ ฉันเลยหัวเราะแก้เก้อ หันมาแนะนำเพื่อนๆ ต่อไป
“งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็นี่ แอน อุ๊ นกทรายแก้ว และโน้นดุล กับหนึ่งเพื่อนนก” ฉันผายมือไปทางพวกผู้ชาย แนะนำแทนนกเสร็จสรรพ เชาว์หันมาสวัสดีครับกับสาวๆ และพยักหน้าให้หนุ่มๆเป็นการทักทาย ซึ่งฉันมารู้ตอนหลังว่าพวกเขารู้จักกันก่อนแล้ว มิน่า! เชาว์ถึงทำท่าอย่างนั้น
ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็มาถึงที่นัดหมายเอาไว้ ค่ายนี้ไม่มีการลงทะเบียนและไม่เป็นทางการเหมือนค่ายเยาวชนที่ฉันเคยไป พวกเราจึงเกาะกลุ่มกันเป็นส่วนใหญ่ มีแต่เชาว์ที่ปลีกตัวไปนั่งกับเพื่อนที่มาสมทบทีหลัง ระยะทางจากสามย่านถึงท่าเรืออัมพวาใช้เวลาไม่นานอย่างที่คิด แต่กว่าจะรวมพลกันติดและออกเดินทางได้ก็ร่วมห้าโมงเย็นเข้าไปแล้ว พอถึงท่าเรือพวกเราจึงมีเวลาทานข้าวกันไม่มากนัก โชคดีที่พี่ๆจัดเตรียมข้าวกล่องมาให้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใช้เวลาร่วมชั่วโมง
หลังจากนั้นจึงพากันทยอยลงเรือ พวกเราลงเรือลำเดียวกันหมด มีแต่เชาว์ที่ตามมาทีหลัง แต่สุดท้ายก็ไม่ไปลำเดียวกัน เพราะเรือเต็มจึงต้องตามมาทีหลัง ฉันไม่รู้ว่าไอ้ที่เรียกว่าเต็ม นั้นมันขนาดไหน เพราะมองออกไปก็เห็นแต่ความมืดมิด ยิ่งพอเรือเลี้ยวเข้าคลองยิ่งแทบมองไม่เห็นอะไรเลย รู้แต่ว่ากาบเรือห่างจากผิวน้ำไม่ถึงคืบดีเท่านั้นเอง นั่นหมายความว่ามันคงต้องแบกน้ำหนักทั้งคนและของเกินอัตราแน่ๆเลย และถ้ารู้มาก่อนว่าจะเป็นแบบนี้จะไม่มาด้วยเด็ดขาด บอกตามตรงเลยว่า กลัว ไม่ใช่กลัวความมืดหรือความยากลำบาก แต่เป็นเพราะฉันว่ายน้ำไม่เป็น คิดแล้วใจคอไม่สู้ดี มือเกาะกระเป๋าแน่น นึกในใจว่า ไม่น่ามาเลย มืดก็มืด เงียบก็เงียบ แค่สองสามทุ่มชาวบ้านก็ปิดไฟนอนกันหมดแล้ว
“แอน ว่ายน้ำเป็นใช่ป่ะ”
“เป็นแต่ไม่แข็ง ทำไมเหรอ”
“เปล่าถามดูเฉยๆ”
ฉันอดที่จะถามหาที่พึ่งไม่ได้ แต่พอได้รับคำตอบก็ต้องทำใจ นึกอยากจะตะโกนถามนก หวังว่าจะเป็นที่พึ่งสุดท้าย แต่เขาก็อยู่ไกลเหลือเกิน อีกอย่างคงไม่เหมาะ จึงได้แค่หันกลับไปมอง เห็นเขายืนอยู่ที่ท้ายเรือ กำลังมองตรงมาเช่นกัน ทำท่าขยับปากคล้ายจะถามอะไรสักอย่างแต่ไม่ได้ยิน ฉันหันกลับมาเลี้ยวมองไปรอบๆตัวด้วยความไม่สบายใจนัก ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรบ้าง รู้แต่ว่าบรรยากาศมันเงียบมากแทบไม่มีใครพูดกับใครเลย ได้ยินแต่เสียงเครื่องยนต์เรือกับเสียงกระเพื่อมของน้ำเท่านั้น
ไม่นานนักเรือก็แล่นมาถึงบ้านที่เราจะเข้าไปพัก ฉันมองไม่เห็นรายละเอียดของบ้านมากนัก อย่างที่บอกว่ามันมืดมาก รู้แต่ว่าศาลาท่าน้ำค่อนข้างใหญ่ พอเรือเทียบท่าพวกเราก็ทยอยกันขึ้นบันได
“มานกช่วยถือ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลังของฉัน พอหันกลับไปก็เห็นนกส่งยิ้มให้ แม้ว่ามันจะมืดมาก แต่แสงไฟสลัวภายในศาลาก็เพียงพอให้ฉันเห็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยนนั้นได้
“ไม่เป็นไร ไม่หนัก” ฉันหยุดเท้าหันมาบอกนก แอนซึ่งเดินตามมาติดๆจึงหยุดตาม
“แอนล่ะ” นกหันมาถามแอนแทน แอนส่ายหน้าเช่นกัน พวกเรายืนหลบข้างทาง หลีกให้เพื่อนๆเดินไปก่อน รอจนคนเริ่มซาจึงค่อยเดินตามเข้าไป ก็เห็นเชาว์เดินขึ้นบันไดมาพอดี
“มาเร็วดีนี่” ฉันตะโกนถาม
“อืม คนอื่นๆล่ะ”
“ไปกันหมดแล้ว” นกพูด
“งั้นก็ไปสิ ดึกแล้วไม่ง่วงหรือไง” เชาว์ตอบพลางเข้ามาฉวยกระเป๋าจากมือฉันไปถือแล้วเดินลิ่ว พวกเราจึงเดินตามกันเข้าบ้านไปก่อนจะแยกย้ายกันไปหาที่ซุกหัวนอน พวกผู้หญิงดีหน่อยได้นอนในบ้าน ส่วนพวกผู้ชายก็ตัวใครตัวมัน คืนนั้นไม่ต้องบอกก็เป็นที่รู้กันว่าซักแห้งกันทั่วหน้า ฉันและพวกเพื่อนๆนอนรวมกันในห้องใหญ่ ไม่นานนักก็ผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อย
มีต่อค่ะ