ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ แค่เพียงให้คำปรึกษา ไม่ใช่ข้อยุติ

กระทู้สนทนา
หากดูเงื่อนไข การขอประชามติ  มี 3 กรณี
1.กรณีการออกเสียงประชามติที่จะถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติ (มาตรา 165 (1) ของรัฐธรรมนูญ)
การออกเสียงประชามติในกรณีนี้จะต้องมีผู้มาออกเสียงเป็นจำนวนเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงทำประชามติ และจะต้องมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น
2.กรณีการออกเสียงประชามติเพื่อให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี (มาตรา 165 (1) ของรัฐธรรมนูญ)
การออกเสียงประชามติในกรณีนี้ ให้ถือเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามติ
3.กรณีการออกเสียงประชามติตามที่กฎหมายบัญญัติ (มาตรา 165 (2) ของรัฐธรรมนูญ)
การออกเสียงประชามติในกรณีนี้ ให้ถือจำนวนคะแนนเสียงตามที่กฎหมายนั้นบัญญัติ แต่ถ้ากฎหมายดังกล่าวมิได้บัญญัติจำนวนคะแนนเสียงไว้ ให้นำความในข้อ 1 และ 2 แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับโดยอนุโลม

ผู้ขอทำประชามติ  มีเพียงรัฐบาล  หรือ ตามกฎหมายกำหนด

มาดูการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ไม่มีกฎหมายข้อใดบัญญัติให้ต้องทำประชามติก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญได้  การแก้ไขเป็นอำนาจของสมาชิกรัฐสภาเท่านั้น  ขืนรัฐบาลขอให้ทำประชามติเพื่อหาข้อยุติตามเหตุข้อ 1.(ม.165-1) ที่ต้องใช้เสียงผู้มาลงคะแนนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง  รัฐบาลก็จะโดนสมาชิกรัฐสภาฟ้องร้องเอาผิดฐานละเมิดรัฐธรรมนูญเสียเอง  เพราะฉะนั้นจะต้องทำประชามติเพื่อเป็นคำปรึกษาแก่รัฐบาล หรือ สมาชิกรัฐสภาเท่านั้น ตามเหตุผลข้อ 2.  ถึงจะไม่ผิดรัฐธรรมนูญ โดยหากเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเห็นด้วยให้แก้ไข หรือ ไม่เห็นด้วย สมาชิกรัฐสภาก็ยังมีอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ดี  เพียงแต่หากผลออกมาให้แก้ไขได้ รัฐบาลอาจนำไปเป็นเกราะคุ้มกันไม่ให้ผู้คิดจะต่อต้านคัดค้านสร้างความวุ่นวายได้  

ส่วนที่มีบางคนเริ่มออกมารณรงค์ไม่ให้ออกไปใช้สิทธิ  ก็ทำได้ตอนนี้  แต่พอมีการออก พรก.ประชามติออกมาแล้ว  ก็ระวังจะผิดกฎหมาย  ฐานหลอกลวงไม่ให้ออกไปสิทธิด้วยละ่กัน  เพราะจะอ้างว่าการแก้ไขทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ในขณะที่ยังไม่มี สสร และยังไม่เห็นร่างแก้ไขเลย  จะอ้างได้อย่างไร  คุณสดศรีถึงได้ออกมาเตือน  เอาไว้ สสร. ยกร่างออกมาแล้วไม่เห็นด้วยจะเชิญชวนให้นอนหลับทับสิทธิด้วยเหตุใดใด ก็อาจจะพอฟังขึ้น  มีหลักฐานไปอ้างกับศาลได้บ้าง  ตามรายละเอียดข้างล่างนี้

มาตรา 43  ผู้ใดกระทำการ ดังต่อไปนี้
  (3)  หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ หรือใช้อิทธิพลคุกคาม เพื่อให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง ออกเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ออกเสียง หรือเพื่อให้สำคัญผิดในวัน เวลา ที่ออกเสียง หรือวิธีการลงคะแนนออกเสียง

ผู้ใดกระทำตาม (1) (2) (3) หรือ (4) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท และผู้กระทำตาม (5) หรือ (6) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับตั้งแต่    สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ไม่เกินห้าปีด้วยก็ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่